¦ ¦ ¦ ¦


ฉบับที่ 6: ประจำวันที่ 31 ธันวาคม 2567


สิ่งสุดท้ายที่ให้ได้
โดย : สามกมน



สิ่งสุดท้ายที่ให้ได้
ผมเกลียดเวลา 04.49 น.เข้าไส้ แล้วอีกเดี๋ยวมันจะวนมาถึง ดังนั้นผมจะเล่าตามลำดับให้ชัดเจน
ปีแรกที่ผมรู้จักคุณ คุณเพิ่งเกษียณ นอกจากเส้นผมสีขาวที่แซมขึ้นมาประปรายแล้วคุณดูเหมือนชายอายุต้นห้าสิบต้น คุณทั้งกระฉับกระเฉงและอารมณ์ดี เราบังเอิญเจอกันในซอยหลายครั้ง ครั้งหนึ่งคุณถามว่าผมชื่ออะไร ครั้งถัดมาคุณทักทำไมมาอยู่ที่นี่ ครั้งถัดมาอีกคุณสงสัยว่าผมมีพี่น้องหรือเปล่า เหมือนคุณโผล่มาจากมุมนั้นมุมนี้เพื่อตั้งข้อสังเกตที่ไม่มีใครเคยใส่ใจ เราเริ่มจากการเป็นคนแปลกหน้า แล้วในไม่ช้าก็กลายเป็นเพื่อน
คุณคุยกับผมแทบทุกวัน ส่วนใหญ่เป็นเรื่องต้นไม้ ผมชอบที่คุณเล่าว่าดอกไม้ในสวนหน้าบ้านบานแล้ว ทั้งแก้ว พุดซ้อน ลีลาวดี คุณมีกุหลาบพันธุ์ฝรั่งเศสด้วย แต่มันดูแลยาก ต้องหมั่นเติมปุ๋ยคอกดอกถึงจะออกสะพรั่งในหน้าหนาว รองมาก็เรื่องหลานชายแก้มยุ้ยของคุณ เจ้าหนูอายุสี่ขวบที่แม่พามาส่งทุกวันเสาร์ แกมักนั่งอยู่บนจักรยานเด็กสี่ล้อและพูดจ้อไม่หยุดปาก สำหรับคุณหลานคือเทวดาตัวน้อย ๆ เสียงหัวเราะของแกช่วยให้หัวใจคุณชุ่มชื่น
แล้วก็เหมือนที่เรารู้กัน ความสุขผ่านไปไวเสมอ
เมื่อหกเดือนก่อน ผมเห็นคุณนั่งกุมขมับอยู่ที่โต๊ะกินข้าว พอถามว่าเกิดอะไรขึ้น คุณก็ตอบด้วยเสียงสั่นเครือว่า ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอก ตำรวจปลอมหนึ่งกับหน้าม้าอีกหนึ่งผลัดกันกุเรื่องว่าบัญชีธนาคารของคุณพัวพันกับคดีผิดกฎหมาย หากไม่ให้ตรวจสอบจะมีโทษร้ายแรงถึงจำคุก ด้วยความหวาดหวั่นคุณทำตามขั้นตอนที่พวกนั้นวางแผนไว้ กว่าจะรู้ตัวเงินเจ็ดหลักที่เฝ้าสะสมมาก็บินจากไปแล้ว
หลังจากแจ้งความและคดีไม่คืบหน้า คุณก่นด่าตัวเองสารพัดว่าโง่ ไม่รู้จักคิด ทำไมหลงเชื่อคำโกหกง่าย ๆ บางครั้งก็กลัวว่าถ้าลูกน้องที่ทำงานเก่ารู้เข้า พวกเขาคงหมดความนับถือ ผมจะพูดให้ฟังอีกครั้ง คุณไม่ได้โง่นะ คุณโดนคนโลภเอาเปรียบต่างหาก ในตอนนั้นคุณเก็บตัวราวกับกลัวว่าจะถูกสายตาหลายพันคู่เยาะเย้ย อยู่แต่ในบ้าน ไม่ยอมพูดจากับใคร ไม่นานผมของคุณก็ขาวขึ้นถนัดตา มีริ้วรอยหยักลึกกลางหน้าผาก แก้มซูบตอบ ซ้ำยังเดินไหล่ห่ออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
บ่ายวันหนึ่งช่วงที่อากาศร้อนจัด ผมพบว่าประตูหน้าถูกเปิดออกกว้างทั้งสองบาน ผมคิดว่า ดีจริง คุณคนเดิมกลับมาแล้ว สถานการณ์ต่าง ๆ น่าจะคลี่คลาย แต่ผมคิดผิด
บ้านอันสงบเงียบของคุณมีคนมารวมกันคับคั่งอย่างกับโรงทาน พวกเขาช่วยกันยกเฟอร์นิเจอร์ไม้สักขึ้นรถกระบะ เสร็จแล้วมาขนเครื่องใช้ไฟฟ้า อย่างเครื่องปรับอากาศ ทีวี ตู้เย็น เครื่องซักผ้าไล่ไปทีละห้อง ยังไม่พอรถญี่ปุ่นคันโปรดของคุณก็โดนลากไปด้วย ผมอารมณ์เสีย ไม่เข้าใจว่าเจ้าของบ้านปล่อยให้คนอื่นเข้ามาวุ่นวายได้อย่างไร ซึ่งคุณไม่มีแก่ใจตอบ เอาแต่มองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง เกิดพื้นที่ว่างโหวงขึ้นในบ้าน มันโล่งเสียจนน่าอึดอัด ผนังทั้งสี่ด้านดูเหมือนกล่องกระดาษใบใหญ่ ตรงกันข้ามตัวคุณกลับลีบเล็กลง และนั่งกอดเข่าหดหู่อยู่ตรงก้นกล่อง
โชคยังดีที่ลูกสาวคนเดียวของคุณยื่นมือเข้าช่วย แน่นอน เธอตกใจมาก แต่คนอ่อนโยนอย่างเธอไม่เคยพูดรื้อฟื้นให้คุณเสียใจ แถมยังแวะมาเยี่ยมบ่อยขึ้นพร้อมถุงกับข้าวพะรุงพะรัง พวกคุณใช้เวลาช่วงบ่ายด้วยกันสั้น ๆ ก่อนกลับเธอจะยัดเงินจำนวนหนึ่งใส่มือคุณแล้วค่อยไปรับลูกที่โรงเรียน เวลายืนส่งเธอหน้าบ้าน คุณมักลอบมองแผ่นหลังบอบบางและน้ำตาคลอทุกครั้งไป อย่างไรก็ตามหลานรักของคุณไม่โผล่หน้ามาให้เห็นเลย ลูกเขยอธิบายว่าแกควรใกล้ชิดปู่ย่าบ้าง ซึ่งมารู้ทีหลังที่ลูกสาวทะเลาะกับสามี สาเหตุมาจากเธอจัดการค่าใช้จ่ายให้คุณ ผู้ชายคนนั้นทำท่ารังเกียจคุณอย่างเห็นได้ชัด มีหนหนึ่งผมเห็นเขาตวัดสายตามองราวกับว่าเนื้อตัวคุณเต็มไปด้วยเห็บหมัด ผมล่ะเหม็นหน้าไอ้หมอนั่นจริง ๆ
คุณแบกความทุกข์หนักอึ้งไว้บนบ่า ไม่นานก็ตัดสินใจขายบ้านที่ร่วมกันสร้างกับภรรยา หล่อนเสียไปหลายปีแล้ว คุณเลยคิดว่าอีกฝ่ายคงให้อภัย บ้านของคุณเนื้อที่เยอะก็จริง แต่ทนแดดทนฝนมานานภายนอกจึงดูทรุดโทรม บวกกับทำเลที่อยู่ท้ายซอยตันทำให้เป็นจุดด้อยเมื่อเทียบกับบ้านหลังอื่น วันแล้ววันเล่าคุณรอใครสักคนติดต่อมา มีหวังสลับกับหมดหวัง จนผลสุดท้ายไร้วี่แววคนซื้อ ไฟแห่งความมุ่งมั่นที่จะหาเงินมาแบ่งเบาภาระลูกพลันมอดดับลง คุณพึมพำกับผมว่าทั้งหมดเป็นความผิดของคุณเอง
ขอพักหายใจหน่อย
ถึงตรงนี้ทีไรทำใจยากทุกที
คืนนั้นท้องฟ้าเปิด ผมเดินทอดน่องสบายอารมณ์อยู่ในสวน ปล่อยให้ฝ่าเท้าสัมผัสใบหญ้าอ่อนนุ่ม เสียงลมพัดทิวไม้ประสานกับเสียงเจื้อยแจ้วของแมลงเกิดเป็นเพลงยามราตรี ผมมาหยุดตรงกำแพงระหว่างบ้านคุณกับเพื่อนบ้าน เงยหน้ามองพระจันทร์ดวงโต แล้วแสงกระจ่างก็เผยให้เห็นร่างคนบนหลังคา ผมจ้องตาไม่กะพริบและพบว่าใบหน้านั้นเป็นของคุณ ส่วนร่างกายดูไม่ใช่เสียทีเดียว เพราะช่างเซื่องซึมแข็งทื่ออย่างกับหุ่น ผมเอียงคอพลางสงสัยว่าคุณขึ้นไปทำอะไรบนนั้น โดยไม่ทันตั้งตัวคุณขยับปลายเท้าไปข้างหน้าเล็กน้อย เกิดเสียงครืดแผ่วเบาที่แผ่นกระเบื้อง ทันทีที่สมองตีความได้ผมก็ร้อง
“อย่าโดด” แต่คำที่ออกมาเป็นเพียงเสียงคราง “เหมียว” เท่านั้น
ชั่วพริบตาเดียวคุณร่วงหล่นลงสู่พื้น
ผมพุ่งตัวมาดูคุณ หัวใจบีบรัดอยู่ในอก ตื่นตระหนกแทบคุมสติไม่ได้ มีกลิ่นคล้ายสนิมเข้มจัดลอยมาปะทะจมูก ผมสั่นสะท้านไปทั้งตัว ยิ่งคลานเข้าใกล้ยิ่งไม่อาจทนเห็นคุณเจ็บปวด จึงทำได้แค่เหลือบมองเงาพระจันทร์เต็มดวงที่ลอยเด่นบนกองเลือด จู่ ๆ เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ผมสะดุ้งโหยงรีบหาที่หลบตามสัญชาตญาณ พอยื่นหน้าออกมาก็พบเพื่อนบ้านสาวจอมจู้จี้ยืนคอตกอยู่ หล่อนใช้มือทั้งสองข้างยึดขอบกำแพงไว้ราวกับเกรงว่าจะล้มฟุบไปอีกคน เพื่อนบ้านตะโกนเรียกคุณด้วยเสียงแตกพร่า เมื่อไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ หล่อนผลุบเข้าบ้านและวิ่งลนลานออกมาพร้อมโทรศัพท์มือถือ
ผมซ่อนอยู่หลังต้นแก้วตอนที่บุรุษพยาบาลยกร่างคุณขึ้นเปล เสียงหวีดแหลมของไซเรนดังแสบแก้วหู หนำซ้ำแสงวิบวับบนหลังคารถยังทำผมเวียนหัว ที่นอกรั้วผู้คนแถวบ้านต่างหน้าตาตื่น พวกเขาจับกลุ่มคุยกันจ้อกแจ้ก เสียงมนุษย์กับเสียงในหัวผมตีกันจนแยกไม่ออกว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร คุณเป็นไงบ้าง นอนแน่นิ่งไปเลย ลูกสาวคุณรู้หรือยัง ทำไมคนดีต้องมาเจอเรื่องอย่างนี้ ต่อไปจะเป็นอย่างไร ผมปวดระบมทั่วตัวทั้งที่ไม่มีแผล ร่างกายหนักอึ้งเหมือนถูกหินก้อนยักษ์ทับไว้ คิดว่าถ้าได้หลับสักงีบคงจะดี ผมจึงเดินลอดขาใครบางคนออกมา มุ่งหน้าไปยังต้นไทรใหญ่กลางซอยและขดตัวนอนแถวโคนต้นไม้
ความหิวจู่โจมผมตั้งแต่ลืมตา ซึ่งเวลาผ่านไปค่อนวันเห็นจะได้ ผมจึงออกล่าสัตว์เล็กเป็นอาหาร น่าเสียดาย วันนั้นไม่มีจิ้งเหลนหรือหนูหริ่งเลยสักตัว เหลือทางรอดเดียวคือฝากท้องกับของเซ่นไหว้ศาลตายายใต้ต้นไทร ผมต้องฝืนเล็มข้าวที่แฉะเป็นยางแล้วประทังหิว พอเริ่มมีเรี่ยวแรง ผมเกือบเผ่นหนีไปพร้อมความรู้สึกสับสน แต่ความห่วงใยที่มีต่อคุณผลักดันผมให้ย้อนกลับบ้าน
ปรากฎว่าชามข้าวผมว่าง สวนก็ว่าง บ้านคุณยืนอ้างว้างอยู่หลังม่านใบลีลาวดี ถึงอย่างนั้นผมยังชะเง้อคอมองพลางเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าอันคุ้นเคย สักพักมีรถยนต์คันใหญ่เคลื่อนมาจอด ลูกสาวของคุณเป็นคนก้าวลงมา เธอสวมชุดกระโปรงสีดำสนิท ปากบอกกับสามีที่นั่งหน้าตายอยู่หลังพวกมาลัยว่ามาเอาเอกสารของพ่อแล้วจะรีบไป หญิงสาวหยิบกุญแจออกจากกระเป๋าถือด้วยมือสั่นน้อย ๆ เหมือนเธอพยายามกลั้นสะอื้นไว้ก่อนไขประตูรั้ว เรานิ่งมองกันครู่หนึ่ง ผมเห็นดวงตาเธอบวมช้ำ สีหน้าหม่นเศร้าราวกับโลกเพิ่งล่มสลาย และเธอยืนเดียวดายกลางซากปรักหักพัง วินาทีนั้นผมตระหนักว่าคุณได้จากไปแล้ว
ผมอยู่กับคุณตลอดทั้งก่อนและหลังรอยยิ้มเลือนหาย ซึ่งผมเชื่ออย่างสุดใจว่าคุณดิ้นรนสุดกำลังแล้ว แต่ถ้าถามว่าระหว่างเราคนไหนเข้าใกล้ความตายมากกว่ากัน คำตอบสมควรเป็นผม เพราะแมวเปรอะตัวผู้ส่วนใหญ่ขี้โรค อีกอย่างการเป็นแมวจรในเมืองหลวงก็เสี่ยงภัยไม่น้อย ที่ผ่านมาผมชินกับชีวิตโลดโผน จึงไม่อยากสุงสิงกับมนุษย์ ซึ่งคุณเป็นข้อยกเว้น ผมปรารถนาให้คุณสุขภาพดี อายุยืนยาวกระทั่งได้เป็นตาทวด หากคำพูดว่าแมวเก้าชีวิตเป็นจริง ผมยอมเหลือแปดไม่ก็เจ็ด และมอบลมหายใจนั้นให้กับคุณ
เมื่อพิธีศพสิ้นสุดลง คุณที่เคยเต็มไปด้วยเลือดเนื้อก็กลายเป็นเงา ไร้รูปทรง บางเบา และเย็นเยือกเหมือนไอหมอกหลังฝนตก ซ้ำร้ายความตายยังพรากเสียงทุ้มนุ่มนวลของคุณไปอีก ไม่มีแล้วคนเรียกผมว่า มีโชค ผมคงต้องเก็บชื่อที่คุณตั้งให้เอาไว้เป็นของที่ระลึก
ขอโทษที่เล่าเพลิน
ใกล้ 04.49 น. แล้ว ผมรู้ว่าคุณจะลอยขึ้นไปบนหลังคา
แต่ฟังนะ การตกลงมาจะไม่มีเสียง ไม่บาดเจ็บ ไม่มีกระดูกส่วนใดแตกหัก เพราะทุกอย่างจบสิ้นมาเป็นอาทิตย์แล้ว ครั้งแรกที่กระโดดจิตใจคุณบอบช้ำเกินทนไหว ส่วนครั้งที่สอง สาม สี่ และห้า คุณทำราวกับว่ากำลังโบยตีตัวเอง เหมือนบอกฉันนี่แหละตัวปัญหาของครอบครัว พอได้แล้ว หยุดทรมานตัวเองเสียที คุณจินตนาการไม่ออกหรอกว่าผมรู้สึกจุกในอกแค่ไหนตอนเห็นคุณคว่ำหน้าลงกับพื้นดินเย็น ๆ
ผมไม่ได้ผูกพันกับคุณเพียงเพราะคุณใจดีเลี้ยงอาหารหรือเปิดบ้านให้หลบภัย แต่คุณเป็นเพื่อนที่หาได้ยากยิ่งในชีวิตผม เราเป็นที่พึ่งทางใจของกันและกัน มาวันนี้ผมเป็นผู้เดียวที่มองเห็นวิญญาณคุณ ดังนั้นสิ่งที่ผมให้ได้เป็นครั้งสุดท้ายคือ การพูดความจริง ผมยินดีมาบ้านหลังนี้ทุกคืน เพื่อเล่าเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่าคุณจะรู้ตัว
ทำใจเถอะเพื่อน อย่าโดดอีกเลย คุณน่ะตายไปแล้ว





ขอสงวนสิทธิ์ข้อความทั้งหมดภายในเว็บไซท์
Copyright by http://www.espressoandcigarette.com