¦ ¦ ¦ ¦


ฉบับที่ 10 : ประจำวันที่ 15 เมษายน 2568


Your Highness-คนของคุณ
โดย : พาราดี




เป็นคุณเสมอที่ปล่อยมือจากฉัน
ฉันอยากอยู่ใกล้ อยากลูบไล้ความอบอุ่นของคุณทุกคืน
ทุกซอก ทุกส่วนของเนื้อหนังอ่อนนุ่มที่ปกคลุมโครงร่าง ต้นคอ ด้านหลัง ใต้ชั้นของช่องท้อง เป็นสิ่งล้ำค่า แต่ก็เป็นมือของคุณที่ฉันถวิลหาและอยากครอบครองไว้เพียงผู้เดียว อยากให้มือทั้งสองเกาะกุมแนบเคียงกัน แต่เพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น ก็เป็นคุณ เป็นคุณก่อนเสมอที่ปล่อยมือจากกัน
รู้นะว่าคุณรักฉัน เพราะไม่เช่นนั้น ทำไมเรายังอยู่ด้วยกันจนถึงทุกวันนี้ แม้มีเสียงจากคนที่ทำงานซุบซิบลับหลังถึงรอยปื้นใหญ่บนแก้ม ข้อมือ และรอยขูดยาวบนแขน คราบแดงใต้ตาซ้ายที่สุดท้ายกลายเป็นแผลเป็น ไม่ต้องพูดถึงเส้นขีดยาวหนาบนต้นขาที่ไม่ได้มาจากความซุกซนของเรื่องใต้ร่มผ้า แต่ฉันก็ไม่เคยคิดจากไป
ถ้าฉันไป แล้วใครจะดูแลคุณกันเล่า
บางที ความรักคือการพึ่งพา ไม่มีสาระใดมากกว่านั้น และอาจเป็นแค่นี้ที่ฉันมีความหมายในโลกของคุณ แต่ไม่ว่าจะเป็นความซ้ำซากหรือหน้าที่ แม้ไม่มีใครเรียกร้อง แต่ฉันก็ไม่เคยกล้าจะบอกลาความรักครั้งนี้
ที่พักที่สะอาดสะอ้าน อาหาร ของใช้ ไม่เคยขาดตกบกพร่อง ป่วยไข้ก็เป็นฉันที่เรียกหมอ ตามพยาบาล ทำทุกอย่างเพื่อให้เรามีชีวิตที่มีความสุขด้วยกัน แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเย็นชา เป็นคนแปลกหน้าภายใต้ชายคาเดียวกัน
ฉันจำได้ว่าเคยมีคุณมารอต้อนรับเมื่อกลับถึงบ้าน อ้อมกอดและความอบอุ่นของคุณลบความอ่อนล้าจากที่ทำงาน เราเดินคู่กัน ฉันหัวเราะกิ๊กกั๊ก พลางหยิบของออกจากถุงผ้า เนื้อไก่ เส้นพาสต้า เห็ดแชมปิญองขาว นมข้าวโอ๊ต ไวน์แดงจากชิลี และกระดาษทิชชูม้วนใหญ่
วันนี้มีไก่เป็นอาหารเย็นนะ
คุณมองฉันด้วยสายตาเปล่งประกาย โน้มใบหน้ามาใกล้ ฝากรอยจูบไว้บนแก้มซ้ายและขวา ก่อนจะไปรอที่ห้องสุดท้ายปลายทางเดินระหว่างที่ฉันเตรียมอาหารและทำความสะอาด เริ่มจากห้องครัว ห้องนอน และห้องน้ำที่ฉันมักหลงลืมและขาดการเอาใจใส่เรื่องสุขอนามัยจนคุณอารมณ์เสียอยู่บ่อยครั้ง
นั่นเป็นอดีตที่ห่างไกล ถุงอาหารใบใหญ่ยังมีอยู่เต็มสองมือเช่นคราวนั้น แต่วันนี้ไม่มีคุณ ไม่มีเสียงหัวเราะ เหลือแค่ตัวฉันเพียงลำพังในห้องครัว
เราเคยกอดกันในห้องนี้ ชิดใกล้แนบติดกายกันที่นี่ ความชื้นจากปลายจมูก ความอบอุ่นริมปลายหู เรากอดกันนานแสนนาน ฉันโอบกอดคุณอย่างใจต้องการ มือของเราทั้งสองผสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ฉันเคยเชื่อว่ามันคือหลักฐานของความรัก
แซลมอนนะวันนี้ โอเคไหม
ฮืมมมม
ฮืมมมม
มีแค่เสียงพัดลมของเครื่องระบายอากาศที่ตอบกลับมา
เงียบอย่างนี้ ก็กินปลาแล้วกันนะ
ฉันหยิบของออกจากถุงผ้า ปลาแซลมอน ผักโขม นมข้าวโอ๊ต ขวดน้ำส้ม ไข่สิบฟอง กล่องเนยแบบหวาน ชีสแท่ง โยเกิร์ตรสวนิลลาและสตรอเบอร์รี่ที่เป็นของโปรดของคุณ
เห็นไหม เมื่อไหร่ ที่ไหน ฉันนึกถึงคุณเสมอ
ไม่อยากเดินทางไกลหลายวัน กังวลเมื่อคุณอยู่เพียงลำพังในวันที่ฉันกลับดึก ไปทำงานก็อยากรีบกลับมา มนุษย์ในโลกข้างนอกช่างน่ารำคาญและใจร้าย แต่คุณคือความอบอุ่นและความปลอดภัย คุณทำให้ความหมายของคำว่าบ้านของหัวใจเป็นจริง ไม่ใช่เรื่องแต่ง ไม่ใช่เนื้อร้องในทำนองที่ใครอื่นขับขาน
"ถ้ามาช้ากว่านี้ คุณผู้ชายอาจะจะช็อกและหมดสติได้เลยนะคะ”
เสียงผู้หญิงแปลกหน้าแทรกผ่านความวุ่นวายในห้องเพดานสูง ฉันก้มมองพื้นปูกระเบื้องยางทรงสี่เหลี่ยมขนาดสองคืบเรียบและลื่นสีเขียวปนเทาและผนังคอนกรีตเรียบทาสีเหมือนเนื้อกล้วยดิบ วัสดุของสถานที่ที่ไม่รู้จักพวกนั้นยังไม่น่าเศร้าใจเท่ากับความร้ายแรงของ ประโยคที่ว่า “คุณผู้ชายจะหมดสติ”
แม้เสียงผู้พูดนั้นฟังดูกังวลมากกว่าคำตำหนิ แต่ฉันกลับมองเสื้อสีเขียวมิ้นต์ด้วยความไม่ไว้ใจ หากเป็นคนในเครื่องแบบสีขาวที่น่าแสดงความเป็นมืออาชีพมากกว่าหรือเปล่า ไม่ใช่หรอก ไม่จริงหรอก ต้องมีการเข้าใจผิด ฉันเกาะขอบโต๊ะทรงสูงไว้แน่น กลัวเหลือเกินว่าความจริงหลังจากนี้จะแยกเราจากกัน โต๊ะไม้สูงเท่าหัวไหล่ตัวนี้คงรองรับฝ่ามือและได้ฟังเรื่องราวของใครหลายคนมาไม่รู้เท่าไหร่ และครั้งนี้เป็นมือของฉัน สองมือที่ไม่รู้จะหันไปหาใคร สองมือที่โหยหาสัมผัสจากคุณกว่าครั้งไหน
เสียงจากผู้หญิงคนเดิมเรียกฉันออกจากความคิดและนำทางไปอีกห้องหนึ่ง ความสว่างของหลอดไฟสีจ้าจนต้องหรี่ตาเพื่อปรับการมองเห็น ผนังด้านหนึ่งบุกระเบื้องสีขาว อีกด้านเป็นตู้อะลูมิเนียมคล้ายตู้เย็นที่บานเปิดกว้างกว่าปกติเรียงรายตลอดทั้งฝั่ง ตรงกลางห้องไร้หน้าต่างตรงนั้น คือคุณที่นอนอยู่บนแผ่นทรงสี่เหลี่ยมสีเงิน
ฉันเดินเข้าไปใกล้ คุณพยายามยกและโน้มใบหน้าเข้ามาหา ไออุ่นจากสัมผัสของคุณที่คุ้นเคย ความชื้นของปลายจมูกแตะแก้มซ้ายและขวา ฉันยิ้มให้แล้วถามว่า “เป็นยังไงบ้าง”
สายตาของคุณดูไม่ดีเลย เราไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นและทำไมถึงต้องอยู่ที่นี่ ผู้หญิงหัวไหล่หนาใหญ่ตัวสูงเฉียดขอบบานประตูในชุดสีขาวเดินเข้ามาในห้องพร้อมเอกสารและกระดาษสีรุ้งขนาดเท่าฝ่ามือ หลังจากหยอดนั่น ผสมนี่ลงหลอดแก้วแล้วเริ่มอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น คำพูดอันยืดยาวฟังแล้วเหมือนภาษาของโลก ฉันไม่เข้าใจมันสักนิด มีแค่ประโยคเดียวเท่านั้นที่สำคัญ นั่นคือไม่กี่คำที่บอกว่า “น่าจะราบรื่น”
คืนนั้นเป็นครั้งแรกที่ฉันเข้านอนเพียงลำพัง เป็นคืนที่ไม่มีกระทั่งมือของคุณที่เคยปล่อยมือจากฉัน
เคยได้ยินเรื่อง 7 ปีอาถรรพ์กันไหม
ฉันน่ะสงสัยนักว่าไอ้ทฤษฎีวิกฤติ 7 ปีในความรักมันเกิดขึ้นได้จริง หรือเป็นแค่ข้ออ้าง เป็นการหาเหตุผลง่ายๆ ให้กับคนที่หมดหวัง หมดใจในความรักและอยากเลิกรากันแน่
ว่ากันว่า ความรัก ความสัมพันธ์ที่หาทางประคับประคองในช่วง 5-6 ปีแรกไม่ได้นั้นมีแนวโน้มที่จะแยกทางกันสูง ก็คงใช่ล่ะมั้ง เพราะปีแรกๆ ก็รักกัน ตื่นเต้นไปเสียทุกอย่าง วางแผนดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ตามใจอย่างที่คนรักชื่นชอบ เลือกกระโปรง กางเกงแบบไหน เสื้อผ้าใช้แล้ว เปิด-ปิดฝาชักโครก เวลาเข้านอน การจัดบ้านอย่างไร วิธีสื่อสาร น้ำเสียงที่ใช้ ยิ้มมุมใดถึงจะถูกใจ กระทั่งหวังว่าอีกฝ่ายจะเลิกนิสัยที่เราไม่ชอบ หากไม่พูด ไม่บอก ไม่ทำความเข้าใจให้ตรงกัน ใครจะอยากรออีกเป็นปีๆ จนถึงวันที่คนรักเป็นอย่างที่ต้องการ
เป็นไปได้จริงๆ น่ะหรือ ที่จะยอมรับตัวตนของอีกคนได้ทั้งหมด ทั้งดีและร้ายอย่างเต็มใจ หรือต้องยอมรับในตัวตนของกันและกันมากแค่ไหนถึงจะครองชีวิตคู่ได้ เราอดทนเกินไปหรือเปล่า เราทำเพื่อใคร ทำไมความรักถึงมีแต่คำถาม
เราอยู่ด้วยกันมานานแค่ไหนแล้วนะ
ปีที่ 7 หรือ 6 หรือปีที่ 5 จำไม่ได้แล้ว แต่อย่างนั้น เราผ่านกันมาแล้วมากมายหลายอารมณ์เหลือเกิน เราทะเลาะ ขึ้นเสียง จูงมือ พิงไหล่ ฟังเสียงร้องไห้ของกันในวันที่ผิดพลาด กระแทกประตู หน้าบูดบู้ใส่กัน เราคือคนแปลกหน้า เราคือคนรัก สิ่งที่คุณไม่ชอบ ฉันก็เลิกทำ ฉันว่าดีแล้วแต่คุณกลับมองต่างไป โอ๊ย! ง่ายเสียที่ไหน ฉันพยายาม แต่ไม่เคยแน่ใจเลยว่าดีพอหรือยัง มันอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าต้องปรับตัวเสียขนาดนี้ อยู่คนเดียวดีกว่าไหม ไม่ต้องตามใจ ไม่ต้องแบ่งปัน ไม่ต้องดูแล ไม่ต้องต่อรองกับนิสัยของอีกคนให้หงุดหงิด
ไม่เคยคิดเลยว่า การใช้ชีวิตกับคนที่เราอยากอยู่ด้วยนั้นเหนื่อยขนาดนี้ ต้องมีทั้งสติ ปัญญา เมตตา กรุณา ให้อภัย ต้องเป็นมนุษย์มากความสามารถ ยากกว่าซื้อดอกไม้ ฉลองวันครบรอบ เลือกแหวน จองร้านอาหาร และยากกว่าการเอ่ยปากบอกคำว่ารักเสียอีก
เพราะความรัก และเรารักกันจึงยังอยู่ด้วยกัน ใช่ไหมล่ะ
ฉันเคยเชื่อว่านี่คือเหตุผล แต่เมื่อคิดทบทวนอีกทีกลับพบว่าความรักเป็นแค่จุดเริ่มต้นไม่ใช่พาหนะที่ขับเคลื่อน ระหว่างทางต่างหากคือสิ่งสำคัญว่าคนสองคนจะไปต่ออย่างไร ไปอย่างเท่าเทียมกัน ไปอย่างมีผู้นำเพียงหนึ่งเดียว หรือเป็นการเดินทางที่คนหนึ่งพึ่งพิงอีกฝ่ายเป็นการรับมากกว่าให้ เป็นการเดินทางที่มีจำนวนสมาชิกใหม่จากสองเป็นสาม สี่ หรือมากกว่า
คำถามที่ต้องตอบให้ได้คือเราอยากเดินต่อไปด้วยกันไหม สำรวจหัวใจกันเสียหน่อย ว่ามีใครอยากโบกรถ ขึ้นรถไฟ จองเครื่องบินไปที่อื่นหรือเปล่า แต่หากทบทวนแล้วว่า ใช่ ข้อถัดไป แล้วเราต้องใช้อะไรในการเดินทางนี้
ฉันถามตัวเอง
ฉันถามตัวเองอีกครั้งในคืนนี้ คืนที่ฉันเข้านอนคนเดียว
คุณพยายามโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้
ผ้าผืนหยาบสีขาวทอเส้นเป็นตารางสีขาวที่ติดไว้อย่างแน่นหนาเป็นอุปสรรคในการเคลื่อนไหว กลิ่นกายคุณที่ฉันคุ้นเคยถูกแทนที่ด้วยละอองไอของน้ำยาฆ่าเชื้อ แม้ขยับเขยื้อนอย่างเชื่องช้า แต่สายตาแสนอ่อนล้าคู่นั้นยื้อยุดฉันไว้คล้ายจะบอกว่า อย่าไปไหนนะ อย่าจากไปไกล ขอให้อยู่ตรงนี้ ลมหายใจกับความชื้นของปลายจมูกแตะเบาๆ บนแก้มซ้ายและขวา ฉันจับมือแล้วประคองใบหน้าของคุณขึ้นมา กระซิบบอกว่าวันนี้จะได้กลับบ้านแล้ว “
ต้องเปลี่ยนอาหาร และต้องควบคุมปริมาณการดื่มน้ำ”
เสียงเฉียบขาดของผู้หญิงในชุดเสื้อสีขาวดังแทรกขึ้นมาพร้อมคำอธิบายยาวเหยียดจนฟังแทบไม่ทัน ฉันจดทุกรายรายละเอียดของโภชนาการแบบใหม่ลงในกระดาษ ได้แต่หวังว่าคุณจะชื่นชอบการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ “
ไม่ต้องกังวลนะคะ” เสียงจากหญิงเสื้อสีเขียวมิ้นต์ที่มีชีวิตชีวากว่าปลอบใจ พร้อมชี้แจงถึงอาการสะลึมสะลือครึ่งหลับครึ่งตื่นของคุณที่จะมีต่อเนื่องไปถึงพรุ่งนี้ “
อย่าลืมนะ คุณผู้ชายต้องกินอาหารแบบนี้ตลอดไป”
ตลอดไป ...
เห็นไหม หน้าที่อันยิ่งใหญ่ก็อยู่ที่ฉัน บอกแล้วไง จะมีใครดูแลคุณได้ดีกว่านี้ ไม่มีหรอกคนๆ นั้น
อาถรรพ์ 7 ปีมีจริงไหม การพึ่งพา หน้าที่ คำสัญญา ความอดทน การยอมรับ การเปลี่ยนแปลง ความสัมพันธ์คือสิ่งใด ทุกอย่างถูกคลี่คลายด้วยคำตอบเดียวคือ ฉันเลือกสิ่งนี้และยืนยันเช่นนั้น ทุกๆ วัน คุณคือคนที่ฉันเลือก ฉันยอมรับและยังโอบกอดสิ่งนี้ไว้ เราจะมีกัน จะมีฉันและคุณอยู่คู่เคียงข้างกันในการเดินทางนี้ ไม่ว่าจุดหมายปลายทางคือที่ใด แต่เมื่อไหร่ที่หันมา ตรงนั้นจะมี “เรา”
ถุงอาหารใบใหญ่พร้อมกระเป๋าสะพายอยู่ที่ไหล่ขวา แม้มีเพียงเสียงครางจากเครื่องระบายอากาศในห้องถัดไป แต่ใบหน้าของคุณที่พิงซบไหล่ ความหมายของคำว่าบ้านก็ครบถ้วนและไม่มีสิ่งไหนฉันปรารถนามากไปกว่านี้
อาหารเย็นคือปลาแซลม่อนที่ถูกเตรียมตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ อันที่จริง เนื้อปลาของคุณก็ยังเป็นสีเช่นเดิม ต่างไปเพียงแค่กลิ่นและรูปทรงเท่านั้น ส่วนมื้อนั้นของฉันคือฟักทองอบคู่กับสลัดผักเขียวโรยด้วยผักชีฝรั่ง แก้วเรียวสูงคือไวน์แดงจากแคว้นบอร์โดซ์ บนขวดแก้วใกล้กันเขียนเป็นภาษาอิตาลีที่คล้ายคำว่าน้ำ คุณแทบไม่แตะต้องของบนจานและผล็อยหลับไประหว่างที่ฉันเริ่มทำความสะอาด
เสร็จจากห้องหับก็คือเรือนร่างที่ต้องการความเอาใจใส่ น้ำอุ่น เสื้อสะอาดชุดใหม่ ชะโลมกายด้วยครีมกลิ่นมัสก์แทรกความเดียงสาจากลูกแพร์และความอ่อนหวานของดอกกุหลาบ จุดหมายของฉัน ณ คืนนั้น คือห้องสุดท้ายด้านซ้ายปลายทางเดิน
คุณอยู่ที่นั่น
เช่นเดียวกับไออุ่นจากทุกส่วนของเนื้อหนังอ่อนนุ่มที่ปกคลุมโครงร่าง ก้อนชิ้นเนื้อใต้ชั้นช่องท้องสีขาวทอดตัวยาวในยามวิกาล ฉันสำรวจเนื้อที่ส่วนตัวด้วยความระมัดระวัง เริ่มจากพื้นผิวส่วนท้าย เลื่อนกายลงเคียงข้าง เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าจนมาถึงด้านหลังต้นคอและซอกหู เมื่อสองร่างแนบใกล้ กลิ่นมัสก์ของฉันคือผู้มีชัยในสังเวียนของค่ำคืนนี้ คุณอยู่ที่นั่นและพร้อมจะมอบทุกสิ่งอย่างให้ฉันได้เป็นผู้ครอบครอง มือทั้งสองจะเป็นของกันและกัน ไม่ใช่แค่เพียงวินาทีหากแต่ยาวนานกว่านั้น ไม่ว่าจะวันนี้หรือวันใด จะไม่มีใครปล่อยมือจากกัน และคุณจะไม่ปล่อยมือจากฉันอีกแล้ว





ขอสงวนสิทธิ์ข้อความทั้งหมดภายในเว็บไซท์
Copyright by http://www.espressoandcigarette.com