¦ ¦ ¦ ¦


ฉบับที่ 10 : ประจำวันที่ 15 เมษายน 2568


ร่างกาย / ความทรงจำ
โดย : ธนภูมิ ทองรับแก้ว



1

“ฮัลโหล?” เสียงเธอผ่านมาทางปลายสาย เป็นเสียงของเธอจริงๆ เสียงเหมือนเมื่อครั้งผมยังแรกรัก
“ว่าไ-” ผมพูดไม่จบประโยค สิ่งคล้ายหัวใจเต้นรัวเร็ว น้ำสังเคราะห์ไหลออกจากมือ ทั้งที่ไม่จำเป็นแต่มันก็ยังไหลออกมา ทำเอามือนี้เหนียวเหนอะ
“ติดต่อใครคะ?” เสียงเธอยังคงแล่น แต่ปากผม…ปากที่เสมือนปากนี้ไม่อาจขยับ กล่องเสียงปลอมนี้ทำงานได้ดีไม่พร่อง แต่สมองเทียมของผมกลับยั้งมันไว้
ผมตัดสายทิ้งแล้ววางโทรศัพท์ไว้บนเตียง หย่อนก้นบนเตียงนุ่ม มองไปนอกหน้าต่าง เห็นแสงสีส้มอาบฟ้าที่รำไรพร้อมล่ำลาดวงตะวัน ฝูงนกการ้องสลับกับนกกาเหว่า พวกมันบินตัดกับตัวอาทิตย์ เห็นเป็นเงาตัดไปราวท้องฟ้าถูกเจาะ ผมแยกไม่ออกเลยว่าตัวไหนคือกาหรือกาเหว่า แต่จะแยกได้อย่างไร ขนาดแม่กายังแยกลูกกาเหว่าไม่ออก
เวลาเกือบ 2 ปีที่เราไม่เจอหน้ากัน ผมเคยเป็นทหารรับใช้ชาติ เสียชีวิตจากการถูกโดรนทิ้งระเบิดใส่ ก่อนตายผมเห็นมันลอยล่องอยู่บนฟ้า คู่หูของผมเห็นเค้าว่าเราไม่รอดแน่ เขาใช้ปืนพกปลิดชีพตนต่อหน้า กลิ่นคาวเลือดยังคลุ้งอยู่ทุกครั้งที่ผมหายใจ-หรือแสร้งว่าหายใจ-ส่วนผมก็กลายเป็นก้อนเนื้อหลังจากที่เพื่อนผมปลิดชีพตัวเอง กี่นาทีหลังจากนั้นผมไม่แน่ชัด แต่ระบบในหัวผมคำนวณไปเองว่า 9 นาที 47 วินาที
ผมกลับมานั่งดูนกบินได้ เพราะระเบิดเจ้ากรรมไม่ได้ระเบิดสมองผมไปด้วย ผิดกับคู่หูข้างกายที่ระเบิดหัวตัวเองไปเสียก่อน แต่ผมคิดว่าคงจะดีกว่าหากโดรนนั่นระเบิดสมองผมไปด้วย
ร่างใหม่นี้ไม่ต่างกับร่างเดิม ผมเป็นผู้ชายคนเดิม เสียงเหมือนเดิม สูงเท่าเดิม หุ่นเช่นเดิม ความทรงจำเดิม สามารถกินเข้าทางปาก รับรู้รสทางลิ้น แต่ผมกลับไม่ได้รู้สึกว่าผมเป็นผม ความทรงจำนี้เป็นเพียงการเรียนรู้จากความทรงจำเดิม แล้วประกอบสร้างขึ้นมาใหม่ ทุกอย่างวนเวียนในสมองเทียมนี้มาแล้วหลายล้านรอบด้วยพลังของซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ในหัว
ความสับสนนี้เองจึงทำให้ผมไม่อาจเชื่อได้ว่าตัวเองคือตัวเอง หากว่าเธอเจอผมเข้าล่ะ หากเธอรู้ว่าผมกลับมาเกิดใหม่ เธอคงจะสับบสนไม่ต่างกัน
ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลสั่งห้ามเด็ดขาดไม่ให้ผมแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ในสมองเทียมนี้มีระบบประมวลผลเป็นเลิศ แต่เมื่อผมพยายามจะบอกกล่าวเรื่องนี้กับใครที่พบหน้า ปากก็จะหยุดนิ่งไปโดยไร้รู้ตัว เว้นเสียแต่การพูดคุยกับคนในห้องทดลองที่สร้างผมขึ้นมา

2


ผมตื่นมาอีกทีก่อนแปดโมงเช้า แสงสว่างจากภายนอกฉายเข้ามาก่อนที่เสียงนาฬิกาปลุกจะดัง ผมทำกิจวัตรเหมือนตอนเป็นมนุษย์ อาบน้ำ ชงกาแฟ อ่านข่าวรายวัน และออกจากห้องพักราวเก้าโมงครึ่ง เพื่อไปห้องทดลอง
“เข้ามาสิ วินสตัน” ศาสตราจารย์เรียกผมจากหลังประตู
หลังเปลี่ยนถ่ายร่างต้องอยู่ที่นี่เกือบปี จากนั้นก็ต้องกลับมาตรวจร่างกายเดือนละครั้ง ‘หรือมากกว่านั้นก็ได้ถ้ามีอะไรอยากถาม’ ศาสตราจารย์บอกเช่นนี้กับผมก่อนที่ผมจะออกจากห้องทดลอง
ผมตอบรับคำขอ ในห้องทำงานของศาสตราจารย์ยังเหมือนเดิม ราวกับหลุดมาจากศตวรรษที่ 20 ที่ยังคงไว้ซึ่งเครื่องไม้ขัดเงาสีน้ำตาลอมแดงสีเข้ม ขัดกับผลงานและงานวิจัยของเขาที่ถ่ายสมองมนุษย์เข้ามาในร่างหุ่นยนต์
“ชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง” เขาถามพร้อมลุกขึ้นมาจากโต๊ะทำงานและผายมือให้ผมนั่งที่เก้าอี้นวม
“เหมือนเคยครับ” ผมตอบและนั่งลงบนเก้าอี้ตัวนั้น เขานั่งลงบนเก้าอี้อีกตัว
“ยังคงไม่ใช่ตัวตนเดิม?”
“ถูกต้องครับ ไม่เคยรู้สึกว่าผมเป็นวินสตัน สมิธ”
“เวลาจะช่วยคุณคุ้นเคยกับร่างกายใหม่นี้เอง และเมื่อวันนั้นมาถึงคุณก็จะเป็นวินสตัน สมิธ”
“แต่จนถึงตอนนี้ ผมก็ไม่สามารถไปพบหน้าจูเลียได้” ผมเว้นห้วงหายใจ “ผมขอถามเถอะครับ สมองเทียมของผมห้ามไม่ให้ผมแพร่งพรายเรื่องนี้กับใครหรือเปล่า”
“ไม่มีหรอกวินสตัน” เขามองเข้ามาในดวงตาผม “ไม่มีใครใส่อะไรแบบนั้นไว้หรอก เราต้องการให้คุณเป็นคุณ ไม่ใช่หุ่นยนต์”
“ถ้าเช่นนั้น ทำไมผมถึงไม่บอกใครได้ ทุกครั้งที่คิดจะปริปาก มันกลับแข็งทื่อ”
“นั่นแหละวินสตัน...คุณเป็นมนุษย์”
ความสงบชั่วครู่เข้ามาเยียวยาใจ ความเงียบงันเข้ามาแทรกกลาง สายลมเฉื่อยชิวคอยเลี้ยงให้กิ่งหมากสูงเด่ในสวนเล็กๆ นอกหน้าต่างบานใหญ่ของห้องทำงานสั่นไหว บางต้นมีกล้วยไม้คอยเกาะอาศัยอยู่กับมัน โคนต้นประดับประดาด้วยไม้พุ่มและกอดอกไม้ไม่ทราบชนิด เราทั้งสองต่างจ้องมันด้วยดวงตาที่ไม่ไหวติง
“ผมอยากเจอจูเลีย” เสียงผมผุดขึ้นมาท่ามกลางความสงัด “ผมอยากเป็นอิสระจากฝันร้ายนี้ อยากบอกให้เธอได้รู้ว่าผมกลับมา”
“คุณมีอิสระวินสตัน คุณเป็นมนุษย์คนหนึ่ง” เขาลุกขึ้นเดิน แนบชิดหน้าต่างบานใหญ่ เงยหน้ามองต้นหมาก อีกาขาจรบินมาเกาะ ปีกของมันดำเงาสำท้อนแสงยามสายสวยงามนัก “คุณย่อมทำในสิ่งที่คุณต้องการได้”
ผมรักจูเลียแบบไม่อาจหาสิ่งใดมาเปรียบ ความรู้สึกแรกเจอกับเธอคล้ายกับการเหยียบดวงจันทร์ครั้งแรกของมนุษยชาติ ลับลวงแต่อุดมไปด้วยความสุข เธอเป็นหญิงสาวผู้ไม่อาจคาดเดา นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมรักเธอมากกว่าใคร แต่ความทรงจำนั้นมันกำลังฉีกทึ้งร่างผม
“หรือคุณสามารถลบความทรงจำให้ผมได้ไหม” ผมมองแผ่นหลังของเขา
“ไม่ได้” เขายังคงมองไปที่เดิม “ผมไม่ได้ชุบชีวิตคุณขึ้นมาเพื่อทำลายมันทิ้ง”
“ลบความทรงจำ ไม่ได้ฆ่าผมทิ้งเสียหน่อย” อีกาตัวนั้นกระพือปีก บินสู่นภาสีฟ้าหยาดเยิ้ม ขนมันร่วงติดกับกิ่งหมาก
“เรามีชีวิตก็เพราะความทรงจำ” เขากล่าว “แม้มันจะทำร้ายคุณก็ตาม”
“จะมีประโยชน์อะไร หากผมไร้สุข”
“คุณมี เพราะคุณมีสุขเหลือเกิน คุณจึงทุกข์ร้อนวิ่งหามันอีกรอบ ทุกข์สุขจากความทรงจำนี่เองวินสตัน ที่ทำให้เราเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เพราะร่างกายเปลือกนอก” เขาหันกลับมาทางผม “หากคุณเชื่อเช่นนั้นได้อย่างเต็มจิตแล้ว คุณก็จะเป็นอิสระจากผม จากรัฐบาล จากทุกสิ่ง”
“แล้วผมจะรู้ได้อย่างไร ต้องกลับมาให้คุณวิเคราะห์ทุกเดือนเช่นนี้หรือ”
“เปล่าเลยวินสตัน เรื่องนี้คุณจะรู้เอง” ศาสตราจารย์แก่หันกลับมา แล้วสายลมปริศนาก็พัดพาให้ขนนกดำนั่นร่างหล่นสู่พื้นหญ้า

3


ในห้องที่ไร้ซึ่งแสงไฟ โดยไม่ทันได้นึกคิดว่าคือที่ใด ไฟดวงน้อยสีส้มก็ติดขึ้น แม้จะลางเรือน แต่ก็พอให้เห็นสิ่งของภายในห้อง ไฟดวงนั้นเริ่มขยับเขยื้อนเหมือนมันมีจิตนึกคิด ผมย่างก้าวอย่างระมัดระวังเข้าไปหามัน ยิ่งเข้าใกล้ไฟดวงนั้นยิ่งรู้สึกอบอุ่น เป็นความอบอุ่นจากภายในที่ไม่อาจลืมเลือน
ดวงไฟนั้นคือตะเกียงน้ำมันก๊าด พอเข้าไปใกล้แสงสว่างมันก็เริ่มทบทวี เผยให้เห็นใบหน้าผู้ถือ หญิงสาวผิวขาวนวล ใบหน้าคมสวยจมูกเข้ารูป ขนตายาวงอนราวนางฟ้าจากสรวงสวรรค์ ริมฝีปากอวบอิ่มของเธอเริ่มขยับให้เห็นฟันขาวสวย เสียงจากลำคอลอดออกมาทางปากนั้น
“วินสตัน คุณจะกลับมาหาฉันใช่ไหม” สายตาของเธอจับจ้องมาที่ผม สี่ตาเราประสานกันเป็นหนึ่ง สองข้างจากมนุษย์เพศหญิง สองข้างจากมนุ- ไม่สิ จากหุ่นยนต์เพศชาย
ขาเหล็กผมไม่อาจก้าวออก มันถูกตรึงไว้กับพื้นราวถูกตอกด้วยตะปูหนาหนัก ริมฝีปากผมหายไป กลายเป็นเพียงแผ่นผิวหนังไร้ทางออก แม้จะพยายามเปล่งเสียงมากแค่ไหนมันก็ได้เพียงวิ่งวนอยู่ในลำคอและปลายลิ้น
เธอเดินเข้ามาใกล้ผม แสงตะเกียงเจิดจรัสราวแสงยามเที่ยงวัน แต่ไม่ระคายเคืองดวงตาของเราสอง มันฉายให้เห็นทั่วบริเวณ แต่สิ่งที่ผมเห็นมีเพียงความมืดมิด
“นี่แหละจิตใจคุณวินสตัน” เธอกล่าวพร้อมรุดหน้ามาแทบชิดผม ปลายจมูกเราห่างกับเพียงขนาดมด “ดำมืดแม้รอบข้างจะเต็มไปด้วยแสงสว่าง”

4


เหงื่อโชกตัวผม ความทรงจำทั้งหลายพรั่งพรูร้อยเรียงเข้าสมอง ชีวิตของผมที่ผ่านมาเลื่อนไปอย่างรวดเร็วเหมือนเปิดวิดีโอดูด้วยความเร็วสิบเท่า ผมหายใจเฮือกใหญ่ เหงื่อยังไหลออกมาราวต่อมผิวหนังเริ่มมีชีวิตของมันเอง อัตราการเต้นของหัวใจผมวิ่งไป 167 ครั้งต่อนาที
ผมลุกขึ้นจากเตียง พยายามมองออกไปที่เส้นขอบฟ้านอกหน้าต่าง แสงอรุณยังไม่ปรากฏ แต่ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนจากทมิฬมืดเป็นสีครามสดแล้ว ผมนั่งมองขอบฟ้าเปลี่ยนผ่านโดยไม่ยี่หระกับเสียงรถติดและความวุ่นวายภายนอก แสงสีครามเริ่มถูกดันไปด้านบน แสงสีส้มเข้ามาแทนที่ โดยไม่ทันได้หายใจ อาทิตย์อัสดงก็ปรากฏ ทำลายความมืดมิดออกไปจนหมดสิ้น และเมื่อมันเปลี่ยนผืนฟ้าหลายเฉดสีให้กลายเป็นสีฟ้าเพียงหนึ่งเดียว หัวใจผมก็เข้าสู่อัตราการเต้นปกติที่ 102 ครั้งต่อนาที
หลังจากความฝันและความทรงจำโจมตี ผมก็ไม่อาจหลับตาต่อได้อีก ยังดีที่การได้อาบน้ำเย็นยามเช้าช่วยให้ร่างกายผมตื่นตัวตามดวงตาที่ไม่อาจหลับนอน มันกลายเป็นความสดชื่นที่ผมไม่เคยค้นพบมาก่อนตั้งแต่ลืมตาดูโลก
ผมออกมาสูดอากาศยามเช้า กลิ่นของไอน้ำเจือปนกับแสงแดด ปะทะกับความหอมกรุ่นของกาแฟจากคาเฟ่ที่เดินผ่าน ตามด้วยกลิ่นดอกไม้นานาชนิดจากร้านขายดอกไม้ร้านถัดมา ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน แต่ผมกลับไม่รู้สึกถึงมันเลย เช่นเดียวกัน ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยเดินเล่นยามเช้ามาก่อน แต่ว่าผมกลับไม่เคยชื่นชมช่วงเวลานี้เท่าตอนนี้เลย
ผมตัดสินใจเข้าร้านกาแฟอีกร้านที่ห่างออกไปห้าบล็อก เป็นร้านที่ผมไม่มาเหยียบอีกเลยตั้งแต่ตายจากสงคราม บรรยากาศในร้านยังไม่แปรเปลี่ยน พนักงานบริษัทผลัดกันเข้าออก ไม่มีใครนั่งแช่อยู่บนโต๊ะนานเกิน 10 นาที ทว่าบาริสตาร์คนสนิทของผมหายไป จากชายชรากลายเป็นชายหนุ่ม
ผมตรงดี่เข้าไปสั่งคาปูชิโน่ร้อน เอสเพรสโซ่สองช็อต ไม่ใส่น้ำเชื่อม อันเป็นเมนูประจำที่ต้องสั่งกับบาริสต้าเฒ่า ผมนั่งโต๊ะริมหน้าต่าง พลางเชยชมบรรยากาศยามเช้าที่รีบเร่ง เด็กหนุ่มทำกาแฟด้วยความไวว่อง แค่เชยมองท่าทางของเขาก็พอรู้ได้ ว่าเป็นคนรักการสกัดน้ำมันออกจากผงกาแฟบดสดขนาดไหน ไม่นานนักบาริสต้าหนุ่มก็เดินมาวางถ้วยกาแฟสีขาวนวลบนโต๊ะ กลิ่นของมันไม่ต่างอะไรกับตอนบาริสต้าชราเป็นคนชงเลย
ผมกล่าวขอบคุณและลองลิ้มกาแฟตรงหน้า ความเข้มของกาแฟคั่วกลางเข้มสองช็อต ผสานกับฟองนมละมุนนุ่มคล้ายปุยเมฆ จิบแรกพาผมหวนถึงวันวานแห่งความทรงจำเมื่อคราแรกที่เธอพาเข้ามาคาเฟ่เล็กๆ แห่งนี้ จิบที่สองทำให้ผมคิดถึงบาริสต้าคนเก่า เพราะรสชาติไม่ต่างจากก่อนผมออกรบเลย
“มาสเตอร์ลิแบโร ไม่ชงกาแฟเองแล้วหรือครับ?” ผมหันหน้าไปถามบาริสต้าหนุ่มหลังจากลูกค้าคนล่าสุดเดินออกร้านไป เขาชะงักเงียบ หยุดการเคาะกากกาแฟ แววตาเบิกโพลน
“อ๋อ...” เขาเว้นช่วงหายใจ “คุณตาไม่ได้เข้าร้านทุกวันแล้วครับ แกบอกอยากนอนพัก” เขาตอบอย่างกระอักกระอ่วน แล้วถอนหายใจยาว
“หรือครับ...ผมสนิทกับมาสเตอร์ หากว่ารู้ว่าเขาจะเข้าร้านวันไหนช่วยแจ้งผมทีนะครับ” พูดจบผมก็เดินไปที่เคาน์เตอร์ และยื่นเบอร์โทรที่จดลงกระดาษให้เขา
“ได้ครับ” เขารับกระดาษไปและไม่พูดอะไรอีก
รู้ตัวอีกทีเสียงรถบนถนนก็เริ่มเบาลง ผู้คนที่เดินขวักไขว่เริ่มซา คงถึงเวลาที่เครื่องจักรมนุษย์ต้องเข้างานกันแล้ว ผมเหม่อมองฟ้าราวกับมันเป็นสิ่งเดียวที่อยู่เคียงผม นกกาบินมาเกาะเสาไฟด้านนอก ขนมันดำเลื่อมเหมือนเหมือนทาด้วยน้ำมันมะกอก ความเงางามของมันตัดสลับกับความสดใสทำให้ผมยิ่งหลงใหล ผมกาแฟในแก้วจนเหลือไม่ถึงหยด แต่เผลอตัวอีกทีบาริสต้าหนุ่มก็มายืนอยูข้างโต๊ะผมแล้ว
“มีอะไรหรือเปล่าครับ” ผมหันไปถาม
“คุณวินสตันใช่ไหมครับ” เขาเอ่ยปาก “วินสตัน สมิธ?”
“คุณรู้จักผม?”
“รู้จักดีทีเดียวครับ” ถ้อยคำเขาชวนสงสัย “คุณจูเลียเล่าให้ผมฟังถึงคุณบ่อยๆ แต่เธอบอกว่าคุณจากเธอไปแล้ว ไกลแสนไกล อภัยผมด้วยแต่ผมคิดว่าคุณตายไปแล้วเสียอีก” เขาหัวเราะปิดท้าย แล้วนั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“ผมเคยไปสงครามครับ”
“สงครามฝั่งตะวันออกน่ะหรือครับ”
“ใช่ครับ” ผมเว้นช่วง หัวใจเริ่มเต้นแรง “ผมเพิ่งกลับมา...เมื่อวานนี้เอง”
“ยินดีด้วยครับที่รอดตายมาได้” เขายิ้มให้ผม “ไม่ใช่ทุกคนที่โชคดีได้กลับมาใช้ชีวิตนะครับ” เขายกข้อมือซ้ายดูนาฬิกา แล้วขอตัวกลับเข้าหลังเคาน์เตอร์ไป
หลังบาริสต้าหนุ่มจากไป เสียงระฆังจิ๋วตรงประตูก็ดังขึ้น หญิงสาวผิวราวนางฟ้าปรากฏตัว ดวงตาเราประสานกัน ดำดิ่งลึกเข้าไปในความทรงจำ
“วินสตัน...” เสียงนุ่มนวลเบื้องหน้าเอ่ย สายตาของหญิงสาวเบิกโพลนไม่ต่างกับบาริสต้าหนุ่มตอนเจอผม ตัวเธอแข็งทื่ออย่างเห็นได้ชัด ปลายนิ้วมือสั่นระริกไร้การควบคุม สองดวงตานั้นเริ่มมีน้ำสีใสไหลออกมา สายน้ำกำลังอาบแก้มเธอ
ผมรู้สึกเหมือนโลกเดินช้าลง เสียงภายนอกเริ่มเงียบ คนเริ่มเดินช้าลง รถเริ่มหยุดแล่นบนถนน ผมเริ่มเห็นทุกการขยับเยื้อนของแผงปีกนกกานอกหน้าต่างตอนที่มันออกตัวบิน และทุกอย่างก็เริ่มหยุด แต่เหงื่อผมเริ่มไหล หัวใจเริ่มเต้นแรง ปลายมือสั่นเทาไม่ต่างจากเธอ เผลอๆ อาจมากกว่าด้วยซ้ำไป ผมอยากตอบกลับไปว่าเป็นผม แต่ปากนี้ไม่อาจปริ
“คุณยังมีชีวิตอยู่” พูดไม่ทันจบประโยคเธอก็โผเข้ากอดผม ขณะที่ผมยังยืนแข็งทื่อไม่อาจขยับได้แม้ปลายนิ้ว “คุณกลับมาหาฉันแล้ว วินสตัน สมิธ”
ไออุ่นจากร่างของเธอเข้าห่อหุ้มร่างของผม เราสองกลับมาผสานเป็นหนึ่ง ภายใต้กลิ่นกาแฟอันหอมหวาน ภายใต้อาทิตย์แรกของวัน ดวงตาผมเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำ ไม่ทันไรมันก็แปรเปลี่ยนเป็นสายน้ำเชี่ยวท่วมท้นทั้งใบหน้าผม ผมอ้าแขมและโอบกอดเธอเหมือนที่เธอโอบกอดผม ถ่ายทอดไออุ่นกลับไปให้เธอ
“ผมกลับมาแล้ว จูเลีย”





ขอสงวนสิทธิ์ข้อความทั้งหมดภายในเว็บไซท์
Copyright by http://www.espressoandcigarette.com