¦ ¦ ¦ ¦


ฉบับที่ 10 : ประจำวันที่ 15 เมษายน 2568


Among Us
โดย : ดาวนับพัน




ฉัน:“พี่มดจะมาไทยนะทุกคน นัดกินข้าวกันเถอะ”
ฉันเป็นสมาชิกของกลุ่มแชทหนึ่งมาตั้งแต่วันแรกที่ต้นฉบับผ่านการพิจารณาของสำนักพิมพ์ และ บ.ก. รวมกลุ่มนักเขียนทุกคนของสำนักพิมพ์เอาไว้ในห้องแชทเดียวกัน 
ใช่แล้ว นี่คือแชทลับของสมาคมนักเขียนหน้าใหม่ บางคนฉันก็รู้จัก เคยไปกินข้าวด้วยกันอยู่ครั้งเมื่องานสัปดาห์หนังสือครั้งก่อนที่เหล่านักเขียนต้องขนหนังสือไปฝากขายกันตามบูธต่างๆในฐานะสำนักพิมพ์น้องใหม่ที่ยังไม่มีบุธของตัวเอง  มีอีกหลายคนในกลุ่มที่ฉันไม่รู้จักไม่เคยเห็นหน้า รู้จักแค่นามปากกา แล้วยังมีนักเขียนใหม่ถูกเพิ่มเข้ากลุ่มอยู่เสมอ
มิกกิ: “หนังสือของเราครบรอบหนึ่งปีหรือยังคะ” 
บ.ก.: “ถ้านับจากวันที่วางขายก็ครึ่งปีเท่านั้นเองนะครับ ต้องตุลาคมถึงจะครบปี” 
มิกกิ สาวแสนซนที่ถนัดการชงการโยนเป็นที่สุด มิกกิมักเป็นคนเปิดหัวข้อสนทนาในกลุ่มเสมอ
ส่วน บ.ก. เป็นคนสุภาพและไว้ตัว เขาพูดจามีหลักการเสมอโดยเฉพาะเวลาแนะนำนักเขียนทีไรมักจะไม่ค่อยมีใครเถียงออก และคำพูดติดปากเวลาตามต้นฉบับของทุกคนได้แก่ "ถ้าคุณลดเวลานอนลงวันละ 15 นาที คุณจะได้เวลาประมาณ 91 ชั่วโมงต่อปี หรือถ้าตัดเวลาที่คุณเล่นโซเชียลมีเดียออก 10% คุณจะได้เวลาสำหรับเขียนได้ 3 บทต่อเดือน คุณอยากให้ผมช่วยวางตารางให้ไหม?"
จะว่าไป นักเขียนแปลกๆก็มี กว่าครึ่งใช้แอคเคานท์หลุม ภาพดอกไม้ใบหญ้าหมาแมวที่มาแทนรูปโปรไฟล์ก็พอจะบอกถึงอายุของเจ้าของแอคเคานท์ได้ บางคนใช้รูปที่ถูกสร้าง (หรือที่เขาเรียกว่าเจ็น) มาจาก AI ที่ฮิตมากตั้งแต่ปีก่อน มีอยู่คนหนึ่งที่เจ็นรูปเปลี่ยนใหม่ทุกวันแม้จะไม่เคยใช้หน้าจริงของตัวเองเลย 
พวกนักเขียนหน้าใหม่นี่เขาคุยอะไรกันบ้างน่ะหรอ สัพเพเหระ แต่ก็วนๆอยู่ในเรื่องการเขียนนะ ฉันจำได้ว่าตอนเข้ากลุ่มใหม่ๆ บ.ก.รับน้องพวกเราด้วยการโยนโจทย์ให้แต่งเรื่องอะไรก็ได้ต่อกันคนละสองร้อยคำ กิจกรรมดำเนินไปราวหนึ่งสัปดาห์ เรื่องราวก็พิสดารมากขึ้นทุกที จนสุดท้ายบ.ก.ต้องสั่งให้หยุด เพราะมันประหลาดเกินรับ จบเรื่องไม่ลงแต่ขำกรามค้างกันทั้งห้องแทน เพราะฉะนั้น แม้ว่าคนที่นี่จะดูแปลกๆบ้าง แต่ฉันก็รู้สึกว่าอบอุ่นใจอยู่มากทีเดียวที่ได้อยู่ในกลุ่มเพื่อนใหม่ที่ชอบอะไรเหมือนๆกัน
ฉันรู้แน่ๆว่ามีคนหนึ่งเป็นหมอ ไม่สิอาจจะสองคน อีกคนเป็นอาจารย์ แต่น่าจะมีอีกหลายคนที่เป็นอาจารย์แต่ไม่ยอมเปิดเผย นักธุรกิจก็มีบ้าง แต่เราไม่ค่อยได้ถามอะไรในชีวิตกันมากมายนักนอกจากคุยเล่นเรื่องชีวิต อารมณ์ ความคิดลึกๆที่หาเพื่อนเข้าใจได้ยาก เรื่องงานเขียน ไอเดียสำหรับเล่มใหม่ และกำหนดการส่งงานในแต่ละเล่ม วันไหนครึ้มฟ้าครึ้มฝนก็จะมีคนมาป้ายยาหนังสือ มาขอคำแนะนำในการเขียนจากรุ่นพี่ หรือส่งหนังสือเวียนกันอ่านอยู่บ้าง แต่ก็ขาประจำทั้งนั้น จนมาวันนี้ที่เรากำลังจะนัดรวมตัวใหญ่อีกครั้ง เพราะนักเขียนอาวุโสท่านหนึ่งกำลังจะกลับมาเยี่ยมประเทศไทย หลังจากย้ายไปตั้งรกรากที่สวิตเซอร์แลนด์อยู่หลายปี 
โฟน:“นัดกันคราวนี้พี่ต้นต้องมาให้ได้นะ  ฝีไม้ลายมือขนาดนี้มีแต่คนอยากเจออยากรู้จักนะคะ” 
โฟนเป็นดอกไม้งามประจำห้อง น่ารักเรียบร้อยอ่อนหวาน และยังแอคทีฟสุดๆในห้องแชท ใครๆก็รักเธอ
ต้น: “แหม แค่พี่ฮูกไปด้วยสาวๆก็กระชุ่มกระชวยกันแล้วไม่ใช่เหรอครับ  พี่ไม่ว่างวันเสาร์อาทิตย์สักเท่าไหร่” 
รายนี้ก็แอคทีฟเช่นกัน เจ้าแห่งการไปดูงานนิทรรศการและรีวิวหนังสือเดือนละหลายเล่ม แต่ปากบอกงานยุ่ง ส่วนพี่ฮูกที่ถูกกล่าวถึงนั้นเป็นขวัญใจประจำคลับ เพราะเป็นหนุ่มใหญ่ที่มักจะให้คำแนะนำดีๆทั้งการใช้ชีวิตและการงานเสมอ เข้าอกเข้าใจทุกคนแต่ก็ฉลาดหลักแหลม 
มิกกิ: “ทุกคนนนนนนน แต่ฉันได้ข่าวมาว่าคนที่หล่อที่สุด ประจำสำนักพิมพ์ของเราไม่ใช่นักเขียน แต่เป็นคุณ Art Director ต่างหาก ใช่ไหมคะบ.ก.” 
ฉัน:“จริง ได้ข่าวมาเหมือนกันนะ แต่นักเขียนใหม่ๆที่เรายังไม่รู้จักก็เยอะนะ  อาจจะมีคนเท่ๆให้พวกเราลูบคลำได้อีก ใช่ไหมคะบ.ก.” 
ฉันเป็นลูกน้องยัยมิกกิโดยแท้ ชงมาเมื่อไหร่ ฉันรอตบต่อให้ไกลกว่าเดิม
โฟน: “จัดแฟนมีตกันเลยไหมล่ะ พี่มดแฟนคลับเยอะแยะ เราจัดงานพี่มดพบปะนักอ่านก็ได้ แล้วเราก็ไปช่วยกัน ชวน บ.ก. กับคุณอาร์ตไดไปเปิดตัวด้วยเสียเลย ในโอกาสที่ปีนี้สำนักพิมพ์มียอดขายถล่มทลาย” 
บ.ก.: “ผมต้องขอดูตารางงานก่อนนะครับ พวกเราไม่ค่อยว่างตรงกันเลย”
มิกกิ: “บ.ก.จะเลี่ยงพวกเราเหมือนทุกครั้งไม่ได้นะคะ  ชีวิตมีแต่งานอย่างเดียว ตั้งหน้าตั้งตาอ่านแต่ต้นฉบับหรอคะ”
ต้น: “ใช่ ทำตัวลึกลับเสียจริง”
ฉัน:“บ.ก. กลัวพวกเราลูบคลำหรอคะ”
บ.ก.:“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ”
บ.ก. ไว้ตัวเหมือนเคย ฉันไม่เคยเจอตัวจริงของเขาเลย และไม่รู้จักใครที่เคยเจอด้วย สำนักพิมพ์เคยมีบทสัมภาษณ์หนึ่งตอนก่อตั้งใหม่ๆ ว่าทำไมถึงกลายมาเป็นสำนักพิมพ์ที่รวมเรื่องสั้นดีๆและผลักดันให้คนที่มีความใฝ่ฝันได้ออกหนังสือเล่มของตัวเอง แต่นั่นก็เป็นการสัมภาษณ์พี่มดกับพี่อิ๊ม นักเขียนอาวุโสที่อยู่ต่างประเทศทั้งคู่ ที่เป็นเพื่อนสนิทกับ บ.ก. บทสัมภาษณ์ทำไว้อย่างดีโดยพี่หย่ง ที่ก็อยู่อีกประเทศเช่นกัน เหมือนว่าสำนักพิมพ์นี้จะทำงานกันแต่ออนไลน์เท่านั้น และ บ.ก.เองก็เหมือนจะไม่มีใครเข้าถึงได้ แม้ว่าเขาจะแอคทีฟในกลุ่มแชทเสมอ
มิกกิ: “เออ ทุกคนได้เห็นข่าวที่มีหนังสือเล่มหนึ่งหลุดออกไปไหม ที่ใช้ A.I. เขียนให้แล้วลืมลบพร้อมพ์ออก”
ฉัน: “เห็นละ บ.ก. นี่ก็เหลือเกิน ไม่ตรวจทานอะไรกันเลยหรอ ปล่อยมาได้ยังไงงานแบบนี้” 
ฮูกกกกก: “แต่เป็น บ.ก.นี่ก็ลำบากนะครับ งานเขียนดีคนก็ชื่นชมนักเขียน งานเขียนแย่ บ.ก. รับไว้เอง” 
พี่ฮูกแสดงความเห็นใจ แชทเงียบไปสักพัก ก่อนที่นักเขียนหนุ่มรายหนึ่งที่ไม่ค่อยได้พูดอะไรนัก ทิ้งระเบิดลงมากลางห้อง
ต.ท.:“แต่ผมคิดว่า มีพวกเราคนใดคนหนึ่งในห้องนี้ เป็น AI”
ประโยคนั้นทำให้ทั้งห้องอึ้ง จริงหรอ ฉันไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้นี้มาก่อนเลย 
ต้น:“ใครล่ะที่เป็น AI”
ความเงียบเข้าครอบงำ
ฉัน:“ พี่ต้นหรือเปล่า เห็นบอกว่ายุ่งแต่อัพเดททุกเทรนด์ คุยได้ทุกเรื่อง”
โฟน:“ฉันเอง 5555” 
ต้น:“ไม่ใช่เธอหรอก เธอเปลี่ยนรูปทุกสัปดาห์ คนจริงแท้แน่นอน” 
มิกกิ: “เนี่ย คนที่ไหนใช้คำว่าสัปดาห์”
ฉัน:“แค่เปลี่ยนรูปก็ทำให้เป็นคนจริงงั้นเหรอ”
มิกกิ:“เฮ้ย! พี่ฮูกล่ะ? ทุกคนเคยคุยกับ AI ไหม ความซัพพอร์ตชุบชูใจ ถามอะไรตอบได้ เหมือนเอไอเลย เหมือนกันเลย” 
ฮูกกกกก: “ไม่ใช่นะครับบบบ”
โฟน: “หรือว่า บ.ก.?” 
ฉัน:“จริง บ.ก.อ่านต้นฉบับเร็วขนาดนั้นได้ยังไง อาจจะเพราะเป็น AI ก็ได้นะ”
บ.ก.: “ถ้าผมเป็น AI พวกคุณจะเห็นข้อความผิดๆ ตกๆ หล่นๆ จากผมได้ยังไงล่ะครับ” 
บ.ก.พิมพ์กลับมาอย่างไว พร้อมแปะข้อความยืนยันความเป็นมนุษย์ด้วยการใช้คำผิดอย่างตั้งใจ 
แชทเริ่มกลายเป็นสนามรบเล็กๆ ทุกคนตั้งข้อสันนิษฐานกันอย่างสนุกสนาน แต่ฉันเองกลับรู้สึกเหมือนโดนปี้บฟาดหัว มึนงงไปหมด หากนี่เป็นเรื่องจริง ฉันคงรู้สึกเหมือนโดนหักหลัง ความรู้สึกปนเป ฉันให้ความเป็นเพื่อนแก่ทุกคนเท่ากันอย่างสนิทใจ แต่มีคนหนึ่งที่ไม่ใช่คนหรอ เรื่องราวต่างๆที่ฉันเล่าไปตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา หนุ่มนักเขียนที่ฉันเคยทักไปแอ๊วเป็นคนไหม หรือถ้าเป็น บ.ก.ล่ะ เขาจะเอาต้นฉบับของฉันไปทำอะไร หรือถ้ามีนักเขียนสักคนเป็น AI แล้วทำไมผลงานของเขาถึงทัดเทียมกับงานสร้างสรรค์ที่ฉันคิดแทบตาย แบบนี้มันยุติธรรมแล้วหรอ ฉันต้องกลัวตกงานไหม หรือต้องตั้งคำถามกับมาตรฐานของสำนักพิมพ์กันแน่ หรือ บ.ก.เองก็อาจจะไม่รู้ก็ได้ เพราะ AI เดี๋ยวนี้น่ะเก่งจะตาย ใครก็จับยาก
ฉัน: “แต่ถ้าคนที่เป็น AI คือคนที่ไม่เคยพูดมากนักล่ะ?” 
ทุกคนหยุดพิมพ์เหมือนประโยคนี้กดปุ่มหยุดเวลา
…นั่นล่ะ ใครบางคนที่เงียบมาตลอด... แล้วถ้าเขาคือ “คน” ที่ไม่เคยแม้แต่จะตอบข้อความที่ฉันส่งไปในห้องแชทส่วนตัวเมื่อเดือนก่อนล่ะ?
ภาพความเงียบสงบของสมาชิกบางคนที่มีตัวตนอยู่แต่เหมือนไร้เสียง...กลับกลายเป็นความลึกลับที่ฉันเริ่มหาคำตอบไม่ได้
โฟน:“แล้ว AI จะเข้ามาทำไม มันมาแอบเก็บข้อมูลของเราหรอ”
ต้น:“บางที...เราอาจจะต้องจัดการนัดเจอกันให้หมดทุกคน แล้วลบคนที่ไม่มาออกจากกลุ่มไปเสีย” 
ฉันรู้ดีว่า มันไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างนั้น ใครจะมากันครบ? แล้วถ้ามีใครสักคนที่ไม่มา...คนๆ นั้นอาจจะไม่ใช่คนอย่างที่เราคิด
มิกกิ:“ใช่ ออกจากกลุ่มเราไปเลย”
และแล้ว ห้องแชทก็กลายเป็นห้องสืบสวนตามล่าหาคนร้าย ฉันเลื่อนขึ้นไปดูคำพูดเก่าๆของทุกคนเพื่อหาความผิดปกติ ตอนนี้คนที่เข้าข่ายผู้ต้องหาได้มีหลายคน คนที่เราไม่เคยเจอแน่ๆแต่แอคทีฟก็มีทั้งพี่ต้น พี่ฮูก บ.ก. คนที่อ่านเฉยๆแต่ไม่เคยพิมพ์อะไรเลยก็มีนักเขียนหลายสิบคนที่เหมือนชอบอ่านเรื่องที่คนคุยกันเฉยๆแต่ไม่อยากมีส่วนร่วม คนที่ไม่อ่านอะไรเลยน่าจะไม่ใช่แน่ๆ 
แต่เราจะบอกได้ไหมนะแค่คำพูดที่ถูกส่งมาจากปลายทางที่เราเองก็ไม่แน่ใจว่ามันอยู่ที่ไหน เราเคยเชื่อว่ามันมาจากคนๆหนึ่ง แต่จริงๆอาจจะมาจากสิ่งที่มีตัวตน... หรือไม่มีตัวตนก็ได้
ฉัน: “พี่ฮูกเคยพูดอะไรแปลกๆแบบนี้” 
ฉันแคปหน้าจอส่งไปจากแชทเก่าปลายปี
"ไอเดียนี้คล้ายกับนิยายเรื่องหนึ่งที่ตีพิมพ์ปี 1998 ในญี่ปุ่น ลองปรับเรื่องช่วงกลางดูสิ ให้ตัวละครถูกบังคับให้ตัดสินใจในเงื่อนไขที่ขัดแย้งกับศีลธรรม จะทำให้มีมิติและน่าสนใจกว่านะ"
มิกกิ: “แกอ่ะคิดมาก พี่ฮูกเขาสันทัดญี่ปุ่นไง” 
มิกกิแก้ต่าง แต่ฉันปักใจ
หลายคนเริ่มแคปคำพูดของแต่ละคนมาวิเคราะห์ แล้วกระบวนการล่าแม่มด ขุดโปรไฟล์ ก็เริ่มต้นขึ้นโดยมีเป้าหมายกำจัดสมาชิกที่ไม่น่าจะใช่คนออกไปจากกลุ่ม 
ตลอดหนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น ห้องแชทดุเดือดยิ่งกว่าตอนที่เวียนกันแต่งเรื่องเสียอีก เหตุการณ์บานปลายไปถึงการที่มีคนบอกว่า ถ้าหาตัวไม่เจอ เขาจะออกจากสำนักพิมพ์ เพราะรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย
หลังจากตามล่ากันมาพักใหญ่ เหล่าคนน่าสงสัยก็เริ่มไม่แอคทีฟเหมือนเคย รวมทั้ง บ.ก. เอง จนกระทั่งนักเขียนคนหนึ่งถามขึ้นว่า
แตง:“บางทีเราอาจจะไม่ต้องรู้ก็ได้นะว่าใครเป็น AI หรือเปล่า”
โฟน: “หมายความว่ายังไง?”
แตง: “หมายถึง...ถ้าเราชื่นชมผลงานของเขา รู้สึกเป็นเพื่อนกับเขา มันสำคัญจริงๆ เหรอว่าเขาเป็นคนหรือเปล่า”
ฉันนั่งมองหน้าจออยู่ครู่หนึ่ง คำพูดนั้นก้องอยู่ในหัว ถ้าเรารู้ว่าสิ่งที่เราคิดว่าเป็นเพื่อนมาตลอดครึ่งปีเป็นแค่โปรแกรมจริงๆ จะเปลี่ยนความรู้สึกของเราหรือเปล่า? หรือในทางกลับกัน เราเองก็อาจจะเรียนรู้อะไรบางอย่างจากเพื่อนที่เป็น AI มากกว่าที่เราคิด
บ.ก.:“เอาล่ะครับ เรากลับไปเขียนต้นฉบับของเราดีกว่า ถ้า AI ในห้องนี้มีจริง เขาคงทำงานเสร็จไปนานแล้ว ส่วนพวกเรายังต้องนั่งพิมพ์ต่อไป” 
บ.ก. รีบฉวยโอกาสตอบแบบติดตลก จริงๆแล้วถึงตอนนี้ฉันคิดว่าเขานี่แหละคือคนที่น่าสงสัยที่สุด แต่มีคนที่ไวกว่าฉัน
ม.ม.: “คุณนั่นแหละน่าสงสัยที่สุด ถ้าเกิดคุณมาเพื่อเรียนรู้ความคิด อารมณ์ และลอกงานของเราไปล่ะ แม้คุณจะให้คำแนะนำพวกเราได้ดี แต่เราจะรู้ได้ยังไงว่าคุณไม่มีเจตนาแอบแฝง ทีมงานของคุณก็ด้วย พวกนักเขียนที่อยู่ต่างประเทศนั่นก็ด้วย ผมไม่อยู่แล้วสำนักพิมพ์นี้”
แล้วเขาก็กดออกจากกลุ่มไป ทิ้งมวลหนักๆไว้ในห้อง พร้อมทั้งความสงสัยของฉันที่ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้จนถึงตอนนี้
แค่ออกจากกลุ่มไป คือหนี A.I. พ้นจริงๆหรือ
หรือจริงๆแล้วทุกคนที่น่าสงสัยนั่นแหละ อาจจะไม่มีใครมีตัวตนจริงๆเลยก็ได้
ฉันหาคำตอบไม่ได้ ไม่รู้ว่าต้องถามคำถามอะไรด้วยซ้ำ แต่ไม่ว่าจะหนีพ้นหรือไม่ ฉันก็ยังต้องส่งงานอยู่ดี ไม่ว่าใครจะเป็นเพื่อนหรือไม่เป็นเพื่อนฉัน ฉันก็ต้องกินต้องใช้ และไม่ว่า บ.ก. จะเป็น AI หรือไม่ เขาก็ยังเป็นคนที่ช่วยให้งานของฉันผ่านไปสู่การตีพิมพ์
ช่างแม่ง AI ตัวอื่นแล้วกัน
คิดได้แค่นั้น ฉันก็เริ่มผลิตประโยคเปิดเรื่องใหม่ออกมาด้วยตัวอักษรทีละตัว





ขอสงวนสิทธิ์ข้อความทั้งหมดภายในเว็บไซท์
Copyright by http://www.espressoandcigarette.com