Don't look back in tangle
โดย ทันยุค สุ่มจินดา
“แม่ๆ หายไปไหนอ่ะ แม่ครับแม่”
แทงค์น้อยตะโกนร้องพร้อมวิ่งไปมาอย่างประหวาดหวั่นทั่วโรงพยาบาล แต่ทว่าการตะโกนนี้ดังก้องเพียงแค่ภายในใจของเขาเท่านั้น มีเพียงสีหน้าแววตาและท่าทางที่บ่งบอกถึงความหวาดกลัวและสับสน
•••
แม่ๆ ฉันวิ่งหาแม่ แม่พลันหาย
แม่ๆ ฉันวิ่งหาแม่ ไร้เคียงกาย
แม่อยู่ ณ หนไหน
ฉันไม่รู้เลย-
…
..
.
เด็กน้อยซอยเท้าไปทั้งตื่นตระหนกประสาทสั่น หัวใจเต้นรัวอย่างกับมีกลองชุดใหญ่ที่บรรเลงเพลงทริลเลอร์อยู่ในนั้น เท้าซ้ายสับขวาลานลนไปทั่ว และเผลอหกล้มด้วยความไม่ประสาและรีบเร่ง ปกติแทงค์น้อยคงต้องร้องไห้แงออกมา แต่เมื่อยังหาแม่ไม่เจอ เขาเลยพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ รีบดันตัวเองลุกขึ้นมาเพื่อเดินหาต่อ แต่การค้นหานี้ก็ยังไร้วี่แวว
เขาเดินผ่านที่นั่งตรงโถงกลางโรงพยาบาล จุดที่แม่บอกก่อนไป
“นั่งรอตรงนี้นะลูก”
ภาพซ้อนทับตรงเก้าอี้ว่างนั้นเป็นตอนที่แม่กำลังลูบหัวเขา
“แม่จะไปไหนหรอครับ” แทงค์น้อยถาม
“แม่จะไปให้หมอตรวจนิดหน่อยเองจ๊ะ เด๋วแม่กลับมานะ นั่งรอตรงนี้ เป็นเด็กดีนะลูก”
แทงค์น้อยพยักหน้า แม่โบกมือให้เขาที่ยิ้มกลับและนั่งอยู่ต่อ แล้วเธอก็ค่อยๆ เดินลับสายตาน้อยๆ ของเขาไป
ใช่ เขาแค่นั่งรอยังที่นั่งตรงนั้นตามที่แม่บอก แล้วเมื่อเวลาเลยผ่านจากปากที่ยิ้มพลันค่อยๆ หมุนกลับเป็นบึ้งตึง
ใช่ เขารอตามคำสั่งของแม่อย่างดีแล้ว เพียงแต่ว่าเวลาที่หมุนเปลี่ยนเพลานั้นมันนานมาก
นานเกินไป...
นานเสียเกินกว่าที่เด็กน้อยคนนึงจะอดทนรอได้
เขาเลยตัดสินใจลุกจากที่นั่งตรงนั้นและเริ่มตามหาเธอ
จากมุมมองของเด็กน้อยที่สูงเท่าเอวของผู้ใหญ่ โรงพยาบาลเป็นสิ่งน่าพิศวงที่มีกลิ่นฉุนแปลกๆ สีขาวละลานตา คนพลุกพล่าน มีทั้งผู้คนแต่งตัวสีเขียวสีขาวเหมือนกันวิ่งผ่านไปมา เห็นคนทั้งร้องไห้และหัวเราะหลังจากเมื่อเจอคุณหมอ ระหว่างที่นั่งรอแทงค์เงยหน้าเห็นผู้หญิงคนนึงอายุอานามประมาณแม่นอนหลับตาใบหน้าซีดเผือดอยู่บนเตียงที่เลื่อนได้ผ่านหน้าเขาไป มีคนวิ่งร้องไห้ตาม แทงค์น้อยคิดทึกทักตามประสาเด็กว่า แม่โดนเตียงเลื่อนนั้นพาไปที่ไหนสักแห่ง เขาเลยเลือกที่ออกวิ่งเพื่อตามหา
ระหว่างที่วิ่งอยู่นั้น เขาหันเหลือบไปเห็นโทรศัพท์สาธารณะ หวนนึกถึงอะไรบางอย่าง
ภาพของพ่อที่ให้ขี่คอ สอนให้เขาหยอดเหรียญเพื่อโทรศัพท์ ให้จำเบอร์ของที่บ้านแล้วกดโทร ภาพนั้นเด้งขึ้นมา วันนั้นพ่อได้พาเขาออกไปข้างนอกพอดีเลยลองให้เขาโทรกลับไปหาแม่ แม่ชมเขาไม่ขาดปากว่าเก่งมากที่ใช้โทรศัพท์สาธารณะเป็นแล้ว
เมื่อคิดเรื่องนั้นออก เขารีบควานหาเศษเหรียญในกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้าง เจอเหรียญบาทเหรียญนึงอยู่ในกระเป๋าข้างขวา
แต่ว่าตู้โทรนั้นมันอยู่สูงเกินไป แทงค์หันซ้ายขวามองหาเก้าอี้แถวนั้น ค่อยๆ เลื่อนเก้าอี้ที่แม้จะหนักอึ้งในพละกำลังเยี่ยงเด็กของเขา แต่ด้วยความคิดเพียงแค่ว่าถ้าสามารถเลื่อนเก้าอี้นี้ดันตัวขึ้นไปใช้โทรศัพท์ จะได้รับคำชมจากแม่ได้ เขาเลยต้องพยายาม เลื่อนแม้จะหนักหน่วง แม้จะหนักหนา แต่ต้องทำมันให้สำเร็จ เขาใช้เวลาอยู่พักนึงกับการเลื่อนจนการกระทำก็สมดังหมาย เก้าอี้เลื่อนไปยังตู้โทร เขาค่อยๆ ปีนขึ้นไปหยอดเหรียญ
“กริ๊ง”
เขารี่กดเบอร์ที่จำได้แม่นยำ
เมื่อปลายสายได้รับสารก็ถึงกับตกใจ หลังฟังลูกชายเล่าว่าแม่หายไปที่โรงพยาบาล ผู้เป็นพ่อจึงรีบบอกว่า
“ลูกถ้างั้นลูกนั่งแท็กซี่กลับมาบ้านเลยนะหรือไม่ก็...”
“ตื้ดๆ”
เวลาโทรหมดแล้ว เขาพยายามล้วงไปยังกระเป๋าทั้งสองข้างอีก มีความหวังว่ามันน่าจะมีเหรียญหลงเหลือซ่อนอยู่กางเกง แต่ทั้งสองข้างกระเป๋าก็ว่างเปล่า แทงค์อยากกรีดร้องออกมา
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแท็กซี่ที่พ่อบอกนั้นคืออะไร แต่ยังไงเขาต้องหาแม่ต่อ...
มีชายคนนึงใส่ชุดสีขาวเดินมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเข้ามาหาแทงค์น้อยถามว่า “หนูมาทำอะไร” ด้วยสิ่งดลใจบางอย่าง อาจจะเพราะคำสอนของแม่ที่ว่าให้ระวังคนแปลกหน้า กับกลัวว่าการเลื่อนเก้าอี้อาจเป็นการกระทำที่ผิด เขาเลยเลือกที่จะวิ่งหนีชายคนนั้น
รีบวิ่งต่อไป วิ่งอย่างไร้ทิศทาง
วิ่งๆๆ อีกครั้ง
ระหว่างก้าวเท้าเหมือนรอบข้างค่อยๆ มืดลง ก้าวนึงแสงค่อยๆ หรี่ อีกก้าวต่ออีกก้าวยิ่งเลือนภาพผ่านนัยตาเริ่มเบลอ เด็กน้อยอย่างเขากำลังหมดแรง มึนงง ท้อแท้ สิ้นหวัง พลันคิดถึงแต่แม่ที่สูญหาย นึกถึงเมื่อช่วงเช้ายามโดนแม่ดุว่าทำไมถึงไม่ยอมกินบล๊อคโคลี่ในอาหารเช้าชุดเบรคฟาสต์ที่แม่ทำ แทงค์กินหมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นไข่ดาวรูปหัวใจ ไส้กรอก แฮม เบคอนในจาน รวมถึงแครอท เหลือทิ้งเพียงบล๊อคโคลี่ที่เขาไม่ชอบกลิ่นฉุนจากมัน เขาไม่ชอบกลิ่นฉุนเลย เฉพาะกลิ่นฉุนในโรงพยาบาลยามนี้ที่อบอวลรอบข้างยิ่งทำให้เขารู้สึกแย่มากขึ้นจนกระอักกระอ่วน ความรู้สึกผิดยังตีรวนจากท้องน้อยขึ้นมาอีกว่า การที่เขาไม่กินบล๊อคโคลี่น่าจะทำให้แม่เขาต้องหายไป เมื่อคิดเช่นนั้น ก๊อกในตาแทงค์เหมือนเริ่มจะระเบิดท่อน้ำออกมา
น้ำตาไหลพราก
ปากสะเทือนไหว
เสียงโดนอุดก้องในลำคอ
ผนังโรงพยาบาลหักเหไปมาตียำทวีคูณรวมกับกลิ่นฉุน หัวเข่าเริ่มปวดเมื่อย รองเท้าบีบรัดนิ้วเท้า ท้องมวนแทบระเบิด
ทันใดนั้นมีมือสองมือ ตระครุบเขาไว้จากด้านหลัง! เขายิ่งตกใจกลัว สั่นระริก และหยุดนิ่ง ตาเหมือนกลั้นน้ำไว้ชั่วขณะ แล้วเขาก็ระเบิดเสียงร่ำไห้โฮดังลั่น เมื่อรับรู้ได้ว่ามือทั้งสองข้างนั้นคือมือแม่
น้ำที่รินออกตาชะล้างให้ความกลัวเหือดหาย เขาโล่งใจที่ได้พบกับแม่อีกครั้ง
“แม่ขอโทษนะลูก ที่ให้รอนาน หมอเขาพึ่งให้แม่ออกมา...”
ผู้เป็นแม่พูดต่อเพื่อปลอบใจเด็กน้อย เหมือนแม่จะชมว่าเขาเก่งมากเหมือนกัน แต่แทงค์แทบไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงร่ำไห้ของตัวเอง และไออุ่นจากมือสองข้างในอ้อมกอดของผู้เป็นแม่
....
แทงค์น้อยที่กลายเป็นแทงค์ (ผู้) ใหญ่ กำลังยืนดูเรื่องราวทั้งหมดนี้ผ่านภาพโฮโลแกรมที่เอไอของเขาฉายขึ้นจากความทรงจำในสมอง ยุคนี้เอไอสามารถทำภาพเหตุการณ์เสมือนให้แก่ผู้ใช้งานได้แล้ว เขาย้อนกลับมาดูภาพอดีต 30 ปีก่อนแห่งนี้หลายครั้งหลายครา พยายามค้นหาอะไรบางอย่างในเรื่องราวที่เกิด ค้นเพื่อขุดลึกไปภายในจิตใจของตัวเอง
เพราะปัจจุบัน แม่ของแทงค์...ไม่ได้อยู่กับเขาแล้ว
เรื่องเกิดจากอุบัติเหตุที่แม่หัวฟาดพื้นและกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราต่อจากนั้น หมอกล่าวกับเขาและพ่อเพียงแค่ว่า “เคสนี้ไม่มีปาฏิหาริย์” แทงค์ไม่สนใจเรื่องนั้น ต่อให้มีหรือไม่มีปาฏิหาริย์ หากแม่ยังมีลมหายใจอยู่ในร่างที่นอนนิ่งเฉย สำหรับเขาคือความหวัง
แต่หมอผู้ดูแลกลับไม่คิดเช่นนั้น สมองของแม่ถูกทำลายหมดแล้ว และเธอกำลังบาดเจ็บจากเครื่องมือเครื่องไม้ที่พันร่างให้ดำรงอยู่ในยามนิทรานี้ไปเรื่อยๆ นั่นคือสิ่งที่หมอบอกกับพ่อ หมอเสนอให้พ่อเซ็นยินยอมเพื่อถอดเครื่องช่วยหายใจเพื่อให้แม่พ้นจากการทรมาน พ่อตัดสินใจเชื่อหมอและเขาไม่มีสิทธิ์มีเสียงในการคัดค้านตามกฎหมายใด ๆ ทั้งสิ้น
แทงค์รู้สึกว่าการเซ็นของพ่อไม่ต่างกับการลงชื่อยินยอมให้คนพวกนั้นพรากแม่ไปจากเขา และนั่นคือวันเริ่มต้นที่เขาไม่พูดกับพ่ออีกเลยหลังจากนั้น
เขาได้แต่ใช้เอไอย้อนมาดูภาพวัยเด็กที่วิ่งตามหาแม่ เพราะมันเป็นวันเดียวที่แม่หายไปแล้วกลับคืนมา แทงค์แค่อยากจะให้แม่เวียนกลับมาอีกครั้งแค่นั้น
จับจดดูโลกเอไอเพื่อย้อนทวน
เอาอดีตมาเฆี่ยน กรีดทิ่มแทงตัวเอง
ตีความเรื่องที่เกิด
แม่ไปตรวจกับหมอที่ยาวนาน
วันที่แม่ล้ม?
แทงค์วนคิดไปมา
“
ไม่มีปาฏิหาริย์” คำๆ นี้ยังย้อนมาเล่นงาน แทงค์หลับตาลงแน่น กดวนภาพเหตุการณ์ซ้ำ ๆ ผ่านเครื่องเอไอ เขาดูซ้ำ แล้วก็ย้อนกลับไปดูใหม่ เหมือนต้องการหาช่องโหว่เล็ก ๆ ที่ตัวเองมองข้ามในการกดวนแบบไร้จุดหมาย ภาพหนึ่งปรากฏขึ้น
พ่อที่วิ่งตัวเปียกฝ่าฝนเข้ามากอดเขากับแม่ในโรงพยาบาล
แทงค์ชะงัก ปลายนิ้วค้างบนปุ่มควบคุม เขาไม่เคยตั้งใจมองภาพนี้จริง ๆ มาก่อน เมื่อขยายย้อนกลับไปอีก เขาก็พบภาพอื่น ๆ ที่ตนเคยละเลย
ภาพแม่บ่นว่าปวดหัวอยู่บ่อยๆ ได้ยินคำว่าไมเกรนหลายรอบจากปากแม่ ภาพวันที่พ่อต้องพาแม่ออกไปโรงพยาบาล วันที่พ่อลูบหลังแม่ที่อ้วกในห้องน้ำ วันที่พ่อนั่งดูแลแม่ที่นอนซม คืนวันอื่นๆ ที่เขาปามันทิ้งไปหมด
วันที่รอยยิ้มเคล้าเสียงหัวเราะของพ่อและแม่
วันที่พ่อแม่ลูกสามคนกินข้าวพร้อมกันบนโต๊ะอาหาร
วันที่เขาไม่กินบล๊อคโคลี่แล้วพ่อยังเดินมาบอกว่า “ไม่เป็นไรหรอก เด๋วพ่อสอนให้กินวันอื่นก็ได้”
แต่ภาพพ่อที่วิ่งหน้าตื่นตามมา ตัวเปียกท่วมและมาสวมกอดสองแม่ลูก หลังจากที่แม่กลับมาเจอเขาที่โรงพยาบาลคือภาพที่ทำให้เขาเข้าใจในที่สุด
การเซ็นนั่นคงเป็นปาฏิหาริย์ที่พ่อเขาจะมอบให้กับแม่ได้
แทงค์หยิบมือขวาขึ้นมาเช็ดน้ำตาที่อาบแก้มข้างซ้าย ค่อยๆ ปิดเครื่องเอไอชัทดาวน์ กดเพิกถอนการใช้งาน ทั้งหมดและลบโปรแกรมทุกอย่างออกจากเครื่อง
เดินออกจากที่พำนักที่มุมถนน ดูรถที่วิ่งฉวัดเฉวียนไปมา ยืนซึมอยู่ครู่หนึ่ง ดูรถที่ขับผ่านอย่างเร็วรี่ และเขาก็ก้าวเท้าขึ้นนิดนึงหยุดตรงฟุตบาธริมถนน ยืนนิ่ง หยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดเบอร์ที่ยังจำแม่นยำ...
“พ่อ แทงค์กำลังนั่งแท็กซี่ไปหา”
“อือ พ่อจะกินอะไรมั้ย เด๋วซื้อเข้าไปให้”
แทงค์รำพึงเบาๆ กับทั้งตัวเองและคนรักที่สุดอีกคนที่ยังเหลือในโลกจริง
“งั้นกินผัดบล็อกโคลี่กันนะ”
เหมือนเขาได้ยินคำชมว่าเก่งมากขึ้นมาในหู แทงค์สูดหายใจเข้าเต็มปอด เงยหน้ามองฟ้า ยิ้มบางๆ ให้กับความรู้สึกโล่งที่ไม่ได้เจอมานานแสนนาน
และแทงค์เพิ่งรู้สึกว่าแม้จะเจอกลิ่นฉุนอะไรจากวันวานและวันพรุ่งอีกเขาคงไม่เป็นอะไร
...อีกแล้ว
|