(แอบ) รักเธอ เธอรู้นั่นแหละ
โดย Permanent Rose
“ทำไมแกไม่รีบทำงานให้เสร็จ มัวแต่เถลไถล”
เสียงบ่นลอยๆ เหมือนอยากตำหนิแต่ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว ฟังแล้วเจือไปด้วยน้ำเสียงปนเอือมระอา หรือเหมือนอยากบ่นแต่ฟังแล้วก็ไม่เชิงบ่นอีกนั่นแหละ ครั้นจะบอกว่าเป็นห่วงแต่ฟังจากน้ำเสียงก็ไม่เชิงเสียทีเดียว อาจจะผสมปนๆ กันระหว่างหลายความรู้สึกหรือรำคาญเลยพูดสักครั้ง คนได้ฟังจะได้สำนึกขึ้นสักนิด ได้ฉุกคิดมากอีกสักหน่อย
“ก็งานมันยังไม่รีบส่งตอนนี้ไง” ผมบอกพลางเช็ดผมที่เปียกโชกด้วยฝนที่จู่ๆ ตกลงมาอย่างหนักแบบไม่ทันตั้งตัว
“ยังไม่ส่งตอนนี้ก็จริง แต่งานมันยากนะแก แถมของแกยังเหลืองานอีกตั้งเยอะ” คราวนี้เสียงเริ่มเจือความเบื่อระคนระอาปนเปไปในน้ำเสียง พร้อมสีหน้าที่แสดงออกอย่างชัดเจนจนสัมผัสได้ถึงความจะยังไงดีกับไอ้คนนี้กันนะ
“ถ้าทำไม่ทันฉันไม่ช่วยแกด้วย บอกเลย“ เสียงบ่นยังคงไม่หยุดง่ายๆ
“ทันอยู่แล้ว“ ผมบอก พลางเช็ดผมในท่าทางเดิม โดยไม่หันไปมองไปทางต้นเสียง
“ให้จริงเหอะแก“ เธอเจ้าของเสียงบ่นก้มหน้าทำงานต่อ ทำท่าเหมือนไม่สนใจไยดีอีกแล้วนะต่อไปนี้
“แต่สมมุติถ้าของฉันไม่ทันจริงๆ แกช่วยอยู่แล้ว เนอะๆ“ ผมหยุดเช็ดผมแล้วหันไปบอกพร้อมรอยยิ้มแบบประจบในน้ำเสียงนิดๆ
“ฝันไปเถอะ! ไม่ช่วยหรอกย่ะ” คราวนี้เธอหันมาตอบพร้อมทำตาโตแลบลิ้นใส่แบบทะเล้นทำนองว่า ฉันหมายความตามที่พูดจริงๆ นะ แต่จะอย่างไรผมก็ไม่เชื่อเธออยู่ดีนั่นแหละ
ด้านนอกฝนยังตกลงมาอย่างหนักไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ นั่งมองม่านสายฝนผ่านหน้าต่างของห้องเรียนวิชาประติมากรรม ฝนลงหนาเม็ดกลบแสงบรรยากาศช่วงเวลาเย็นของฤดูร้อนจนหมด เวลาแบบนี้ของฤดูนี้ถ้าไม่มีฝน บรรยากาศมักจะฉาบไปด้วยแสงสีส้มจากแสงอาทิตย์หลังตกดินให้อารมณ์สุนทรีย์เลยทีเดียว แต่ตอนนี้ฝนตก เมื่อมองออกไปรู้สึกเหมือนความมืดสีขาวของสายฝนจะแทรกตัวคืบคลานมาแทนสีส้มจนครบบริเวณนี้เรียบร้อย
ตอนนี้ใกล้ค่ำแล้วทั้งห้องเรียนเหลือเด็กอยู่แค่สองคน คือผมกับเธอนั่นแหละ เพื่อนคนอื่นกลับกันไปหมดนานแล้ว ปกติเวลาแบบนี้ผมเองจะอยู่ที่สนามฟุตบอลเล็กๆ ข้างตึกเรียน ไม่ค่อยมานั่งทำงานหลังเลิกเรียนแบบนี้ ไม่สิ ไม่เคยมาเลยต่างหาก หากแต่วันนี้สายฝนทั้งหมดนั่นทำให้สถานการณ์ทุกอย่างไม่ปกติไปแล้ว ผมเลยได้มานั่งหลบฝนพร้อมกับเธอ เพื่อนร่วมห้องเรียนแบบนี้
นั่งคิดในใจระหว่างเช็ดผมไปดูผลงานตัวเองที่อาจารย์สั่งนักเรียนทุกคนปั้นหน้าตัวเองด้วยดินเหนียวให้เสร็จเป็นงานก่อนจบเทอมนี้ไปว่า ‘งานเราเหลืออีกเยอะแฮะ หน้าก็ยังไม่ได้ใส่รายละเอียด ตาก็ไม่ได้เจาะ จมูกก็ยังไม่ได้ทรง ปากก็ยังไม่ได้ปั้น ท่าทางจะไม่ทันจริงๆ แฮะ’
คิดต่อไปว่า ไหนๆ วันนี้ก็ติดฝนแล้ว ท่าทางอีกนานกว่าฝนจะหยุด นั่งทำงานรอฝนหายไปนี่แหละ ฝนหยุดคงได้งานคืบหน้าทันส่งแน่นอน
ด้านนอกฝนยังคงหนาเม็ด เปลี่ยนบรรยากาศจากอบอ้าวระอุของฤดูร้อนกลับมาเป็นเย็นสบาย ข้อดีของสายฝนคือช่วยให้ทุกอย่างผ่อนคลายลงได้เยอะ พัดลมเพดานเก่าๆ ในห้องเรียนยังคงหมุนพร้อมเสียงดังแกร็กๆ บ่งบอกดีกรีความเก่าของตัวมันเองอยู่แบบนั้นเหมือนมันกำลังบอกว่า ฉันอยู่ผ่านร้อนฝนหนาวมานานแล้วนะรู้ใช่ไหม
ผมเงยหน้าขึ้นไปตามเสียงพัดลม มองพัดลมแล้วหันไปมองเธอ หล่นคำถามลอยๆ อย่างไม่ต้องการคำตอบว่า
“แกนั่งทำงานไม่กลัวมันร่วงใส่หัวเหรอ”
“แกกลัวเหรอ ตัวก็โต ฉันไม่กลัว” คำตอบลอยมาจากริมฝีปากที่ได้รูป เป็นการตอบแบบระคนยิ้มเจือคำพูดออกไป เธอตอบทันทีโดยไม่ได้หันหน้ามามอง เพราะสมาธิทั้งหมดของเธอจดจ่อกับงานปั้นหน้าเธอเอง ผมมองผลงานของเธอแล้ว คะเนด้วยสายตาก็รู้ได้เลยว่างานของผมนั้นช้าไปมากแล้วจริงๆ ตามที่เธอบอกปนบ่นนั่นแหละ ชิ้นงานของเธอ ใบหน้าของเธอค่อนข้างสมบูรณ์แล้ว ตาปั้นแล้วเหลือแค่เจาะแววตา จมูกก็ปั้นสวยแล้ว ปากก็เหมือนตัวจริงมากๆ ยิ่งมองงานเธอยิ่งกังวล งานตัวเองมากขึ้นไปอีก
ผมขยับเก้าอี้ไปนั่งใกล้ๆ เธอ เห็นดินเปื้อนหน้าจางๆ ที่แก้ม ถามเธอแบบทีเล่นทีจริงไปว่า
“ดินเปื้อนแก้ม จะให้เช็ดให้ไหม”
“ไม่ต้องเลยแก” เธอตอบพลางเอาท่อนแขนที่สะอาดแทนมือที่เปื้อนดินทั้งสองมือเช็ดดินที่แก้มตัวเองออก
“ยิ่งเช็ดยิ่งเลอะเทอะ” ผมบอกพร้อมทำท่าจะเช็ดให้
เธอเบี่ยงตัวหนีเล็กน้อยเป็นการปฏิเสธกลายๆ แล้วบอกว่า
“เดี๋ยวก่อนกลับบ้านค่อยล้างหน้าทีเดียวเลยแก”
ผมมองหน้าเธอเห็นรอยดินเปื้อนแก้มเยอะเข้าไปอีกแล้วยิ้มปนหัวเราะ
“ดีๆ เลอะๆ ก็น่ารักดีแฮะ”
“ไม่ต้องเลยแก” เธอทำท่ายกมือเงื้อจะตีแบบแกล้งๆ แต่รอยยิ้มเปื้อนหน้านั้น แฝงความชอบใจถูกใจโดนทิ้งไว้บนใบหน้าจนสัมผัสได้ รู้สึกชัดเหมือนเห็นดินบนแก้มนั่นเลย
ผมขยับเก้าอี้กลับไปที่งานตัวเองซึ่งไม่ไกลจากเธอนัก แล้วนั่งพิจารณาว่าจะทำตรงไหนก่อนดี เพราะมันเยอะจนไม่รู้จะเริ่มตรงไหนก่อนกัน ถอนใจเล็กๆ นั่งนิ่งมองอยู่แบบนั้นก่อนจะเริ่มแบบตัดใจว่าปั้นจมูกก่อนก็แล้วกัน
นวดดินจนได้ที่แล้วปั้นเป็นเส้นตรงแนวยาว กะขนาดพอให้เท่าจมูกของตัวเอง แล้วเอาดินนั้นไปแปะบนหุ่น ใช้เครื่องมือปั้นพยายามดัด ตัดแต่ง ขูดเติมอยู่สักพัก แต่ดูแล้วยังไม่สวย ทำอย่างไรก็ดูไม่เหมือนสักที รื้อแล้วทำใหม่ ทำใหม่แล้วรื้ออยู่สองสามรอบก็ยังไม่เป็นที่พอใจ ถอยออกมานั่งดูแล้วขยับเข้าไปปั้นใหม่ก็ยังไม่ได้ผลตามที่ต้องการ
“ฉันปั้นให้ไหมแก” เธอถามแบบไม่ได้หันมามอง
“ไหนแกบอกว่าจะไม่ช่วย ไม่ใช่เหรอ” ผมตอบแบบเย้าแหย่ตามนิสัยที่ร่าเริงของตัวเองที่เธอก็รู้จักนิสัยนี้ดี จนเธอเคยเปรยว่า ‘แกร่าเริงดีจังคุยด้วยแล้วฉันสบายใจ’
“ตกลงแกจะให้ช่วยมั้ย?”
“ได้ๆ อย่าเพิ่งหงุดหงิด ใจเย็นๆ”
“เออ ก็เท่านั้น หลบไปๆ เดี๋ยวพี่จะทำให้ดูนะ ไอ้น้อง”
เธอยิ้มพร้อมลุกจากที่นั่ง เดินมานั่งตรงหน้าหุ่นของผม นั่งมองสักพักหนึ่งแล้วบอกว่า
“แกมานั่งข้างหุ่น ทำหน้าให้เหมือนหุ่นด้วย”
ผมหยิบเก้าอี้มานั่งยิ้มข้างๆ หุ่น
“ไม่ต้องยิ้มสิแก ทำหน้านิ่งๆ สิ”
ได้ฟังเธอสั่ง จิตใจผมคล้ายโดนสะกดไว้ด้วยคาถาเวทมนตร์บางอย่าง ผมพยายามทำหน้านิ่งเพื่อให้ใกล้เคียงหุ่นที่สุด แต่อดเหลือบตาหันไปมองหน้าเธอไม่ได้ ยิ่งพอได้มองหน้าเธอตรงๆ ยิ่งเธอมานั่งใกล้ๆ นั่งตรงหน้าในระยะไม่กี่ฟุตแบบนี้ด้วยแล้ว แม้จะพยายามละสายตาจากหน้าเธอยิ่งทำได้ยากมากๆ ตาเธอกลมสวย ในแววตาเหมือนมีประกายระยิบระยับ เผลอคิดว่ามีดาวทั้งจักรวาลรวมอยู่ในตาคู่นั้น จะว่าไปอาจจะทั้งกาแล็กซี่เลยก็ไม่มากเกินไป เคยได้ยินเวลามีคนบอกว่าสายตาของคนบางคนนั้นดูเจ้าชู้ หากได้เห็นได้สบตาแม้สักเสี้ยววินาทีก็ทำให้ใครหลายคนหลงได้เลย สายตาเธอแววตาเธอเวลามองมาให้ความรู้สึกแบบนั้น คนโดนเธอมองยิ่งใจละลายเลยทีเดียว ยิ่งเวลาเธอแอบมองแบบทิ้งสายตานิดๆ ยิ่งกระชากจิตปลิดวิญญาณให้แทบหลุดลอยจากร่างไปอยู่ในสถานที่อื่นได้โดยไม่รู้ตัว ใบหน้าเรียว เก๋ได้รูป จมูกปากก็รับกับใบหน้าอย่างเหมาะเจาะมากๆ ความลงตัวนี้ทำให้ไม่แปลกใจเลยที่เธอคือความนิยมของนักศึกษาชายแทบทั้งมหาวิทยาลัย และยังเป็นความภูมิใจของคณะศิลปกรรมด้วย ความนิยมของเธออยู่ในระดับดาวมหาวิทยาลัยเลยทีเดียว แต่ด้วยนิสัยไม่ยุ่งกับใคร ไม่ค่อยสุงสิงกับคนอื่นของเธอ เธอเลยมองกิจกรรมเหล่านี้ที่คนอื่นนิยมกันเป็นเรื่องของคนอื่นที่ชื่นชอบแต่ไม่ใช่เธอ
“ไม่เหลือบมามองได้มั้ยแก นั่งนิ่งๆ นี่มันยากนักหรือไง”
เธอเห็นผมแอบมองบ่อยๆ เลยเตือนสักหน
“รู้ไหมแก จมูกแกสวยนะ นี่มีใครเคยบอกแกมั้ย”
จู่ๆ เธอก็ชมผมแบบคนฟังตกใจ ประหม่าเลิ่กลั่กเลยทีเดียว
“ธรรมดาคนมันก็ไม่ได้ขี้เหร่ ย่อมต้องมีคนเห็นบ้างแหละแก”
โดนชมแบบนี้ไม่รู้จะตอบไปอย่างไรดี พลิกตำราไหนก็ไม่ทันเลยไปในแนวขำขันดีกว่า
“แหมๆ เอาใหญ่ๆ ชมนิดชมหน่อยเหลิงนะนั่น”
ผมได้แต่นั่งอมยิ้มภายใต้ใบหน้าที่ต้องทำให้เรียบเฉยที่สุดเพื่อจะได้เหมือนหุ่นตัวเองที่เธอกำลังปั้นจมูกให้อยู่ แต่เธอก็คงรู้อาการเขินของผมเลยแอบเห็นเธอปั้นไปอมยิ้มไป ผมคิดในใจว่า ‘ตายแน่เราตายๆ ทำไมแกน่ารักได้ขนาดนี้วะนี่’
ติ๊ดๆ ครืดๆ’ เสียงสัญญาณโทรศัพท์มือถือของเธอดังเตือน เธอก้มกดอ่านข้อความแล้วนิ่งเหมือนทำท่าคิดครู่หนึ่ง ผมเลยได้จังหวะเธอเผลอแล้วแอบมองหน้าเธอด้วยหัวใจที่ยังเต้นโครมครามจากคำชมนั้นอยู่ไม่หาย มองไปก็คิดไปว่า ทำไมน่ารักได้ขนาดนี้หนอ
โดยปกติผมกับเธอในสายตาของเพื่อนร่วมชั้นหรือคนนอก จะมองว่าสองคนนี้ไม่ได้สนิทกันนัก หรือคนที่สนิทกันกับผมหรือเธอสักหน่อยก็คิดแค่ว่าเธอกับผมเป็นแค่เพื่อนร่วมห้องเรียนโดยไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น ในความคิดของเธอผมไม่รู้ว่าเธอนั้นคิดกับผมในมุมไหน แต่รู้สึกได้ว่าเธอค่อนข้างมีไมตรีจิตให้ตั้งแต่วันแรกๆ ที่ได้พบกัน หรือเวลาต้องทำงานกลุ่มทำรายงานเธอมักจะเอาชื่อผมเข้ากลุ่มเธอด้วยเสมอ ผมเคยถามว่าทำไมเอาเราเข้ากลุ่มละ
เธอบอกว่า
“แกเถลไถลมาเรียนไม่ค่อยสม่ำเสมอแบบนี้ ฉันกลัวว่าแกจะไม่จบ”
ซึ่งฟังดูแล้วเชื่อได้ว่าเธอคิดแบบนั้นจริงๆ เพราะเป็นการตอบคำถามที่เรียบง่ายและเหมือนว่าทั้งหมดที่ตอบก็หมายความตามที่เธอพูดนั่นแหละ และเธอเป็นคนเดียวที่เรียกผมว่า “แก” ตั้งแต่เจอกันครั้งแรก ผมเคยถามว่า
“เรียกแกเลยเหรอ”
เธอตอบแบบไม่สนใจอะไรเลยว่า
“เรียกแกไม่ได้หรือไง”
ผมตอบไปว่า “เรียกได้ๆ แต่ปกติคำว่า แก เราใช้กับเพื่อนสนิทไง”
เธอหันมามองทำตาโตใส่ ตอนนี้นี่เองที่ผมแอบสังเกตเห็นแววตาเธอระยิบระยับเหมือนมีดวงดาวเต้นอยู่ในนั้นทำเอาตะลึงไปครู่หนึ่งเลยมารู้สึกตัวอีกทีหลังจากได้ยินเสียงเธอบอกว่า
“ก็สนิทกันได้นะแก มีอะไรข้องใจตรงไหนเหรอ”
ผมรีบตอบแบบไม่ทันคิดว่า
“ได้สิแก สนิทได้ๆ”
”แหมๆ แก คล่องปากเชียวนะ“
เธอยิ้มนิดหัวเราะหน่อยพร้อมคำตอบแบบกระเซ้า และก็เดินไป ทิ้งผมยืนนิ่งอยู่อีกพักใหญ่
หลังจากวันนั้นเราก็รู้สึกสนิทกันแบบ แกๆ เอ็งๆ อยู่สองคนโดยคนอื่นไม่รู้นัก จะมองว่าเพื่อนสนิทก็ไม่ใช่ จะมองว่าไม่สนิทก็ไม่เชิง ถ้าสนิทเราต้องได้คุยกันหรือไปเที่ยวทำกิจกรรมอื่นๆ กันมากกว่านี้แต่ผมกับเธอไม่เคยมีกิจกรรมอะไรร่วมกันมากกว่างานกลุ่มตอนเรียน กินข้าวด้วยกันสักมื้อก็ไม่เคย เพื่อนสนิทของเธอผมก็ไม่ได้สนิทด้วยสักคน ถ้าจะมองว่าผมกับเธอไม่ได้สนิทกันแบบที่คนอื่นมอง ผมก็ค้านในใจอีกเพราะในความที่ไม่มีกิจกรรมใดๆ ด้วยกันนั้น ยังมีความไว้เนื้อเชื่อใจความห่วงหาอาทรกันที่ค่อนข้างน่าประหลาด เช่นวันไหนผมหายไปเธอจะพยายามติดต่อหาจนรู้เหตุผลว่าทำไมผมหายไปไม่ยอมมาเรียน หรือผมค้างงานเรียนจนอาจารย์เอือมระอาเธอก็จะพยายามเข้ามาจัดการหรือเตือนบ่อยๆ หรือวันไหนผมเข้าเรียนสายเธอก็จะพยายามมองหา พอผมเดินเข้าห้องเรียนก็จะเจอสายตาตำหนิของเธอก่อนเจอคำดุของอาจารย์เสียอีก ความสัมพันธ์ของเราสองคนเลยเป็นไปในแบบอธิบายยากมากอยู่เหมือนกัน
“เอ้า! แกจมูกแกเสร็จแล้ว เป็นไงฉันปั้นสวยมั้ยละ เหมือนเลยนะแก”
เสียงเธอปลุกผมจากภวังค์ ตอบเธอไปว่า
“จมูกสวยๆ ปั้นง่ายไง”
เธอตอบกลับว่า
“น้อยๆ หน่อยยะ ฉันเก่งก็ชมบ้างเถอะ”
ก่อนจะได้ชมว่าเธอปั้นเก่งเธอชิงบอกก่อนว่า
”แก ค่ำมากแล้วเรากลับกันเถอะเนอะ“
ผมเลยมองไปข้างนอก ฝนยังตกหนาเม็ดแต่ก็ไม่หนักเท่าตอนแรกแล้ว เลยบอกเธอว่า
”ได้ๆ แกกลับไปก่อนเลย ฉันไม่มีร่ม เดี๋ยวรอฝนหายดีกว่า“
เธอบอกกลับโดยบังคับในน้ำเสียงไม่ให้ผมเลือกว่า
“ฉันมีร่มเดินไปด้วยกันนี่แหละ”
“เดินไปกับแกนะเหรอ” ผมลังเลปนไม่มั่นใจ จนรู้สึกว่าเสียงมันอาจจะดังจนเธอได้ยินเลยนะนั่น
“ทำไมยะ เดินกับฉันมันเป็นยังไง” เธอถามแบบไม่ได้อยากได้คำตอบหรือความเห็นอื่นนอกจาก เดินกางร่มไปกับฉันนั่นแหละดีแล้ว
หลังจากเอาเศษผ้าชุบน้ำบิดหมาดๆ คลุมหุ่นดินพร้อมฉีดฟ็อกกี้ด้วยน้ำเปล่าอีกครั้งเพื่อให้ดินยังคงสภาพชุ่มหมาดไว้แบบนั้นเมื่อจะกลับมาปั้นต่อในครั้งหน้า และเอาถุงพลาสติกคลุมอีกชั้นเพื่อกันอากาศเข้า ถ้ากระบวนการนี้ทำไม่เรียบร้อยโอกาสที่ผลงานเราจะเป็นดินแข็งๆ ก็เป็นไปได้สูง ต่างคนต่างเก็บงานของตัวเองจนเรียบร้อย ผมล้างมือล้างไม้จนสะอาดสะอ้านแล้ว ยืนรอเธอ มองดูสายฝนที่ยังคงตกสลับหนักสลับเบาอยู่แบบนั้น
เธอเดินยิ้มออกมาจากห้องน้ำพร้อมถือร่มสีเหลืองในมือ เดินมายืนข้างๆ เงยมองฝนแวบนึงแล้วบอกผมว่า “ไปกันเถอะแก”
ผมมองร่มแล้วบอก
“ร่มคันเล็กเดินสองคนแกจะเปียกเอานะ”
“มากเรื่องจัง ไปเถอะ จากตึกเราไปถึงหน้ามหาวิทยาลัยไม่ใกล้ เกือบกิโลหนึ่งนะแก มาๆ” เธอพูดพร้อมกางร่มแล้วดึงมือผมไปพร้อมกัน
“แกถือ ตัวแกสูง” เธอส่งร่มให้ผม
เราเดินกลางฝนภายใต้ร่มสีเหลืองคันเล็กนั้นอย่างเงียบๆ ผมพยายามเอนร่มให้บังหัวเธออย่างมากที่สุดจนเธอบอกว่า “บังหัวตัวเองด้วยสิเดี๋ยวเปียกหมด” พอเธอบอกผมก็ทำตามนิดหนึ่ง พอสักพักก็เอนร่มให้ไปทางเธอเหมือนเดิม ตลอดทางเดินเงียบมากเพราะเวลาแบบนี้นักศึกษาคณะอื่นส่วนมากจะกลับกันหมดแล้วยิ่งวันฝนตกด้วยแล้วยิ่งหาคนอื่นได้ยากมากๆ จะมีเสียงพอให้ไม่เงียบเกินไปก็จะเป็นเสียงอึ่งอ่างที่น้ำฝนอาจจะไหลลงไปท่วมรู หรือเสียงเขียดเสียงกบเสียงปาด ดังสลับกับเสียงเราสองคนเหยียบน้ำฝนที่เจิ่งนองบนพื้น
และแล้วระหว่างเดินอยู่เธอก็พูดขึ้นมาแบบลอยๆ แต่ได้ยินแล้วเหมือนโลกทั้งหมดหยุดนิ่งชะงัก ไม่มีแม้เสียงอึ่งอ่าง เสียงเขียดเสียงปาดเสียงกบก็หายไป เสียงนกกลางคืน มดแมลงก็นิ่งไปหมด
“แกชอบฉันเหรอ” นี่คือคำที่จู่ๆ เธอก็ถามขึ้นมาอย่างนั้น
พอตั้งสติได้ผมรีบละล่ำละลักตอบว่า “ปล๊าว”
เธอยังเรียบเฉยและนิ่งมากเมื่อได้ยินคำตอบของผม แล้วถามต่อว่า
“ฉันอยากรู้ความจริงจากแกนะ”
ผมสูดหายใจลึกๆ ก่อนจะตอบคำถามที่ยากนี้
“ไม่ต้องคิดคำสวยหรูนะแก เอาความจริงก็พอ” เธอพูดแบบไม่หันหน้ามามองเช่นเคย และคงรู้สึกได้ว่าในสมองผมคงไตร่ตรองอย่างพัลวันว่าจะใช้คำไหนหรือตอบไปแบบไหน พอเธอถามมาแบบนั้น ผมเลยตอบคำถามยากๆ นี้ด้วยเสียงแผ่วๆ ไปว่า
“ชอบนะแหละ”
หลังหล่นคำตอบไปแล้ว เธอยังนิ่งเหมือนเดิม ฝีเท้ายังเดินคงที่ ไม่มีทีท่าอะไรอื่น ไม่ตกใจไม่ตื่นเต้นไม่ดีใจ อึ่งอ่าง กบ เขียด ปาด ก็ยังส่งเสียงร้องเป็นปกติ เป็นผมที่เหมือนโดนก้อนความอึดอัดถาโถมใส่อย่างรุนแรง จนคิดไปไกลว่าจะอย่างไรต่อไปดีหลังจากนี้ ยังคิดทบทวนสลับไปมาในหัวว่า เราเองน่าจะตอบเลี่ยงๆ ไป หรือโกหกหรือแสร้งตลกกลบเกลื่อนไปก็สิ้นเรื่องสิ้นราวกัน สูดลมหายใจลึกๆ อีกครั้งแล้วกลั้นใจถามออกไปว่า
“แกละชอบฉันด้วยมั้ย”
คราวนี้เธอเงยหน้าหันมาสบตาแวบหนึ่ง ฟ้าแลบแปล๊บหนึ่งพอดีทำให้เห็นรอยยิ้มแบบเต็มหน้าของเธอเด่นชัด แต่เธอไม่ได้ตอบคำถามของผมนอกจากยิ้มนั้น
ใกล้ประตูทางออกมหาวิทยาลัยแล้ว มองไปหน้ามหาวิทยาลัยเห็นรถราบนถนนวิ่งเบาบางลง เห็นรถเก๋งสีดำจอดเปิดไฟกะพริบอยู่ริมทาง ผมเลยถามว่า
“แฟนมารับเหรอ”
เธอ “อื้อ” มาหนึ่งครั้งแทนคำตอบ
นับจากจุดที่เราทั้งคู่เดินอยู่ คะเนด้วยสายตาแล้วกว่าจะถึงหน้าประตูมหาวิทยาลัยคงอีกไม่ถึงสิบนาที โลกใต้ร่มสีเหลืองคันเล็กท่ามกลางสายฝนพรำนี้ก็กำลังจะจบลงแล้ว ความพร่าเลือนในสายตาจากสายฝนยังรู้สึกชัดตรงหน้า ความพร่ามัวในคำถามที่ยังไม่ได้ยินคำตอบยังติดค้างอยู่แบบนั้น
เดินไปอีกสามสี่ก้าวเธอเอ่ยขึ้นว่า
“แกฉลาด แกไม่ต้องให้ฉันตอบหรอก”
พอได้ยินผมรู้สึกดีใจแวบหนึ่งเผลอยิ้มทีหนึ่ง เหมือนว่าความชัดเจนค่อยๆ เปิดประตูต้อนรับ
ใกล้ประตูมหาวิทยาลัยเข้ามาอีกผมเลยบอกเธอว่า
“ถ้าแกบอกให้ชัดเจนคงดีกว่าสำหรับเรา”
ได้ยินแล้วเธอก็เงียบไปอีก เหลืออีกไม่ถึงสิบก้าวก็เดินถึงประตูมหาวิทยาลัยแล้ว รถเก๋งคันนั้นยิ่งมองชัดขึ้นเข้าไปอีก
“ตกลงแกชอบฉันด้วยไหม” ผมถามคำเดิมไปอีกรอบ อย่างน้อยๆ เผื่อได้ยินคำตอบสักคำจากเธอให้ชัดๆ สักหน่อย
เธอหยุดเดินแล้วยืนนิ่งตรงประตูของมหาวิทยาลัย หันมามองแล้วบอกผมว่า
“แกอยากให้ฉันเป็นคนไม่ดีเหรอ”
ผมฟังแล้วอึ้งไปพักหนึ่ง ในความรู้สึกแบบบอกไม่ถูก ไม่รู้จะดีใจจะเศร้าหรือจะแกล้งขำกลบเกลื่อน หรือจะยิ้มหรือจะวางหน้าวางมือตัวเองไว้ตรงไหนในสถานการณ์ของคำตอบนี้ดี
เธอนั่งรถเก๋งคันนั้นกลับไปสักพักหนึ่งแล้ว ผมเดินตากฝนไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าจะเดินไปไหน คิดแค่ว่าเวลานี้เดินตากฝนสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน จำได้ก่อนเธอขึ้นรถไปเธอบอกอีกว่า
“พรุ่งนี้มาเรียนนะแก เจอกันนะ อย่างน้อยได้เจอกันอีกตั้งปีหนึ่งเลยนะแก ทั้งหมดให้เวลาเป็นคำตอบแล้วกัน ปีหนึ่งนานนะแก” ทุกคำพูดที่เธอบอกก่อนขึ้นรถ เต็มไปด้วยรอยยิ้มแบบสดใสมากๆ และยังตะโกนส่งท้ายอีกว่า
“อย่าไม่สบายไปนะแก”
ผมเผลอยิ้มแล้วคิดว่า
‘งั้นตากฝนให้ไม่สบายดีกว่า’
ไม่รู้เรื่องราวต่อไปจะบรรจบลงแบบไหน จบบทใด เศร้า สุข สนุก สมหวัง ผิดหวัง หรืออะไรทั้งหมดนั้นคงเป็นเรื่องอนาคตที่ยังมาไม่ถึงยังมองไม่เห็น แต่วันนี้บรรยากาศแบบนี้ได้บอกความรู้สึกตัวเอง ได้ยินความรู้สึกของคนพิเศษ ถือว่าค่อนข้างน่าพอใจมากสำหรับตัวเอง
ฝนซาเบาลงแล้ว หลายสิ่งมองเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น ม่านฝนที่เคยพรางหลายสิ่งในขณะหนึ่งไว้ไม่มีผลอีกต่อไป ยังคงมีแสงฟ้าแลบเสียงฟ้าร้องตามมาเป็นระยะๆ ผมยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ ในถนนสายนี้อีกสักพัก ลองพยายามในหนทางที่ไม่รู้จุดบรรจบสักหน ให้รู้กันสักครั้งว่า เราเองจะอยู่ตรงไหนในหมุดหมายของชีวิตวัยนี้และในอนาคตข้างหน้าโน้น
และ - - คืนนี้คิดว่าฉันคงคิดถึงแกทั้งคืนแน่ๆ แกเอ๊ย!
|