Me – พระคุณ
โดย ธ พิรัณญา
1
“วันนี้เป็นโจ๊กนะจ๊ะ...กินของอ่อน ๆ จะได้สบายท้อง”
ตอนที่เธอพูดและยิ้ม ตาจะเป็นสระอิ นวลแก้มขึ้นสีเรื่อคล้ายกับสีของลูกพีช เป็นคนที่ยิ้มแบบเต็มปาก เห็นฟันเรียงตัวสวยขาวสะอาดครบทุกซี่ เส้นผมตรงยาวสลวยถึงกลางหลัง หอมละมุนละไมเหมือนเธอเติบโตมาท่ามกลางทุ่งดอกไม้นานาพันธ์
กลิ่นกายโชยชายจนรับรู้ได้จากระยะไกล พูดยังไงดีนะ...เธอทำให้โลกอันแสนหนาวเหน็บและโสมมเหล่านี้ค่อย ๆ มีบางสิ่งงอกเงยขึ้นมาทีละนิด จากที่ผมต้องนั่งคุดคู้อยู่ริมกำแพงตะไคร่จับ กอดเข่า เหงา และร้องไห้เงียบงัน รอยยิ้มของเธอเหมือนเมล็ดพันธ์ที่หว่านลงมารายล้อม รถน้ำพรวนดินด้วยความโอบอ้อมอารี อาหารและน้ำ
วันนี้มันเติบโตจนกลายเป็นดอกไม้สีสันสดใสเป็นที่เรียบร้อย ไม่มีใครเห็นหรอก แต่ผมเห็น มันคือความสดใสที่อยู่ในหัวใจของผม ไม่ได้เปรอะเปื้อนเหมือนรูปกายภายนอกที่เป็นอยู่
ขอบคุณครับ...
“แล้วเดี๋ยวมาหาใหม่นะ” เธอพูดราวกระซิบ ดวงตาหันมองซ้ายทีขวาที ผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาเริ่มมองแปลก ๆ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผู้หญิงแสนใจดีคนนี้สนใจ หยัดกายลุกขึ้นแล้วเดินจากไปช้า ๆ
ไม่วายหันมาส่งยิ้มหวานอีกครั้ง
ว้าว!
ตอนนั้นเอง เบื้องหลังของเธอปรากฏอาทิตย์ยามเย็นยอแสงอุ่น เมฆขดม้วนลอยเอื่อยหลีกเร้น สายลมเย็นเยียบพัดพรูผ่านระหว่างเรา เส้นผมของเธอปลิวสยาย แม้จะย้อนแสงแต่รอยยิ้มนั้นเจิดจ้ายิ่งกว่าสิ่งใด
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองแปรเปลี่ยนรูปร่างเป็นเมล็ดพันธ์ที่เธอหว่านทิ้งเอาไว้ เติบโตจนกลายเป็นพืชพรรณใต้อาณัติ เป็นทานตะวันที่จะไม่หันมองใครนอกจากผู้ให้กำเนิดแสงสว่าง
ผมหลงรักเธอ รักมาโดยตลอด...พระอาทิตย์ของผม
ผู้มีพระคุณของผม
2
เธอชื่อ “บังอร”
แค่ชื่อก็ไพเราะเสียขนาดนั้น จริงไหม ?
ทั้งกริยาท่าทางก็แช่มช้อย รูปร่างก็อวบอัดสะโอดสะอง มีทรวดมีทรงเย้ายวนใจ ใบหน้ารูปไข่ขาวลออ เครื่องหน้าเหมือนเทวดาปั้นเสร็จ ใครที่เดินผ่านจำต้องเหลียวหลัง จมูกโด่งเป็นสันเชิดรั้น รับกับริมฝีปากบางระเรื่อ ดวงตากลมโตสุกสกาว ยิ่งมองก็ยิ่งชวนให้หลงใหล
ทุกครั้งที่บังอรกลับมาที่นี่ ตรอกเล็ก ๆ ซึ่งผมนั่งเงียบเหงาอยู่ลำพัง ใกล้กันเป็นท่อระบายน้ำกลิ่นเหม็นเน่าไม่น่าอภิรมย์ เธอจะวางอาหารลง แล้วนั่งจ้องมองดูผมกินมันอย่างตะกละตะกลาม ไม่บ่นอะไรสักคำ แม้ผมจะทำตัวไม่น่ารักเพราะไม่มีใครสั่งใครสอน
บังอรจะยิ้มอยู่อย่างนั้นเสมอ ๆ ผมจึงสามารถจ้องมองดวงตาที่งดงามราวกับอยากหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว อยากให้ดวงตาของเธอมีแต่ผม แต่ทุกเวลาในดวงตาของผมก็มีแต่เธอ
แม่บังอรผู้งามแฉล้ม
ผมอยากให้เรามีกันและกัน คลอเคล้าเย้าหยอกท่ามกลางแสงตะวันรอยยามสายัณห์ ซุกกายเข้าในอ้อมกอดอุ่น ดมดอมกลิ่มดอกไม้ราวกับมวลแมลงที่กระหายใคร่ครวญในรสหวานของเกสร จมดิ่งสู้วงนิทราพร้อมเพรียง ทว่ามันก็คงเป็นได้เพียงฝัน
บังอรไม่มีวันรักสิ่งมีชีวิตสกปรกอย่างผม...ไม่มีกระทั่งชื่อเสียงเรียงนามด้วยซ้ำ!
ที่น่าน้อยใจที่สุดคือครั้งหนึ่ง เธอเคยทำร้ายผม ตอนที่เรายังไม่รู้จักกัน
แต่หลายปีผ่าน ก็มาทำดีกับผม เอาข้าวปลาอาหารมาให้กิน ผมเคยคิดว่าบังอรจะรู้สึกผิดกับรอยแผลที่เกิดขึ้นบริเวณแขนขวาลากยาวจากไหล่จนถึงข้อศอก แต่เปล่าเลย เหมือนเธอจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าบาดแผลนี้เป็นฝีมือตัวเอง เพราะบังอรไม่เคยเหลียวแลมันเลยสักครั้ง
หรือแท้จริงแล้วเธอคงไม่กล้ายอมรับ...ว่ามันคือผลงานของตัวเอง
แต่ผมรักเธอนะ...ผมยังรักบังอร เพราะฉะนั้นไม่ว่าการกระทำนี้มันจะเป็นเพราะอะไร แต่ผมก็มั่นใจว่าคนเราเปลี่ยนกันได้แล้ว - ตอนที่เธอบอกว่าเดี๋ยวจะมาใหม่ ก็ทำอย่างว่าจริง ๆ
มนุษย์ทุกคนมีโอกาสเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี
ไม่มีใครเลวบริสุทธิ์ แค่สภาพแวดล้อมอาจไม่ได้ทำให้พร้อมจะเป็นคนดี ณ ช่วงเวลาที่เลยผ่านเท่านั้นเอง
บังอรเป็นคนใหม่แล้ว...
บาดแผลของผมยืนยันได้ดี ทุกครั้งที่ผมเอื้อมมือสัมผัสรอยนูนของแผลเป็น หัวใจก็พองโตขึ้นมา ผมได้รับการปลอบประโลม
3
ดอกไม้เริ่มเหี่ยวเฉาไปแล้ว ไม่มีการรดน้ำหรือดูแลเหมือนอย่างเคย
บังอรไม่มาหาผม ก้อนหินใกล้มือถูกขีดลงไปที่ฝาท่อระบายน้ำหนึ่งขีดหลังจากตะวันตกดิน พอครบสี่ขีด ก็ขีดทาบเป็นแนวเฉียง ผมเรียกมันว่า “หนึ่งชุด” ตอนนี้รอยขีดบนฝ่าท่อระบายน้ำมีทั้งหมดสี่สิบชุด มันนานแค่ไหนกันนะ ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นและตกวนซ้ำอยู่อย่างนั้นสองร้อยครั้ง
ผมหิวโซ ผ่ายผอม ท้องร้องโครกคราก เช้า กลางวัน เย็น...
บังอรไม่มา ผมลูบรอยแผลเป็นที่แขนระลึกถึงพระอาทิตย์ของผม น้ำตาร่วงริน ทานตะวันเหี่ยวเฉาตายลงช้า ๆ เธอกำลังจะผิดสัญญาอีกแล้วงั้นเหรอ ?
แอ่งน้ำขังขนาดฝ่ามือใกล้ ๆ สะท้อนใบหน้าที่มอมเขรอะเหมือนลูกหมาโสโครก ดวงตาของผมร้อนผ่าว ทัศนียภาพเริ่มเครือสั่น น้ำตาเรื้นไหลอาบแก้ม เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เม็ดฝนร่วงหล่นลงมาช้า ๆ
ไม่รู้เหมือนกัน ว่าภาพตรงหน้าที่ขุ่นมัวเพราะม่านน้ำตา เหลือระลอกคลื่นจากหยดฝนที่กระทบแอ่งน้ำขัง
สองขาลีบเล็กหดเข้าแนบตัว กล้ามเนื้อเหมือนโดนควักคว้านไป ไม่สมประกอบ ข้อกระดูกปูดนูนน่ารังเกียจเหมือนพวกติดโรค ไม่ก็คนแก่ใกล้ตาย ผมกอดเข่าแล้วซุกหน้าลงไป ฝนเริ่มตกแรงขึ้น ผมสบายใจ เพราะเสียงร้องไห้จะไม่ดังเกินกว่าสายฝน
เพราะผมน่ารังเกียจแบบนี้หรือเปล่า...บังอรจึงไม่กลับมา
ฝนตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ
เสียงร้องไห้ของคนที่ถูกทอดทิ้งก็ไม่ต่าง
4
อากาศเริ่มหนาวแล้ว ผมกอดตัวเองโงนเงนท่ามกลางผู้คนที่เดินสัญจรผ่านไปราวกับเป็นเพียงอากาศ ปีนี้อากาศหนาวเย็นกว่าที่ผ่านมา มันทะลวงลึกเข้าไปจนถึงขั้วกระดูก เสียดเสียวจนคางกระตุกสั่น เสียงฟันกระทบกันกึกกัก หายใจเบา ๆ ก็กลายเป็นควันสีขาว
บังอรอยู่ตรงนั้น...ผมจ้องมองดูเธอ เปลี่ยนไปนิดหน่อย
แก้มของเธอป่องขึ้นมา รู้สึกเหมือนเจ้าเนื้อขึ้นกว่าแต่ก่อน อยู่ในชุดกระโปรงยาวสะบัดพลิ้ว มันนานแค่ไหนผมจำไม่ได้แล้ว เลิกขีดฝาท่อระบายน้ำตั้งแต่นับได้สี่สิบห้าชุด เพราะคิดว่าเธอจะไม่กลับมาหา ไม่ได้เสียใจนะบอกก่อน ผมเข้มแข็ง เพราะก่อนหน้าที่เธอจะปรากฏตัว ผมก็อยู่ลำพังของผมมาโดยตลอด การมีเธอเข้ามาไม่ได้แปลว่าผมจะไม่สามารถอยู่ตัวคนเดียวได้หากต้องจากไปอีก
มันเป็นเรื่องธรรมดา...แต่ผมหวังว่าเธอจะรักษาสัญญานะ
ก็ยังสวย และเปล่งประกายเหมือนเดิม
บังอรยืนอยู่ที่ริมทางเท้า ทอดสายตาออกไปมองบึงขนาดใหญ่สุดตา แสงอาทิตย์สะท้อนคลื้นน้ำระยับตา แต่ทำไมกันนะ ผมกลับรู้สึกแสบตามากกว่าอบอุ่น นั่นคงเพราะว่าตัวแทนความอบอุ่นของผมคือบังอร ตลกโคตรเลยละ ทั้งที่อากาศตอนนี้หนาวจนเหมือนจะตายอยู่รอมร่อ แต่พอเห็นผู้มีพระคุณของผม กลับไม่รู้สึกอะไรพวกนั้นอีกเลย
ผมจะเปรียบเปรยเป็นอะไรดีล่ะครั้งนี้...ก็ผมมันไม่ได้หนังสือ จะพูดจาอะไรก็ดูโง่เขลา
บังอร
ผมเรียกชื่อของเธอ
ก้าวเดินฝ่าอากาศหนาวเข้าไป มือยื่นหมายคว้า จินตนาการถึงตอนที่เราสองจับมือประสาน กระชับแน่น แล้วหันมายิ้มสบตาให้กัน – จนกระทั่งความเพ้อฝันถูกสะบั้นลง เมื่อมีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามายืนเคียงคู่ โอวเอวของเธอไว้ วินาทีที่บังอรหันกายไปยิ้มให้ ผมก็เพิ่งรู้ว่าเธอตั้งท้อง
เธอมีสามีแล้ว
อา...ที่หายไปก็เพราะแบบนี้นี่เอง
“กลับกันเถอะ อากาศหนาวแล้ว...เดี๋ยวลูกหนาว” เสียงสุขุมลุ่มลึกของชายคนนั้นพูดขึ้น น้ำเสียงหน้าฟัง หน้าตารึก็ช่างหล่อเหลา ทั้งสองดูเหมาะสมกับราวกับกิ่งทองใบหยก
“พี่ก็...หนูกลัวลูกร้อนจะแย่อยู่แล้ว เสื้อกันหนาวหนาขนาดนี้ เห่อเหลือเกินนะ” บังอรหัวเราะร่วน
“ก็ลูกคนแรกของพี่นี่นา...หรืออรไม่เห่อ ?”
“ไม่ต่างกันหรอก หนูแค่เก็บอาการ”
ว้าว...รอยยิ้มที่คิดถึง ไม่ได้เจอนานเหลือเกิน ดูสิ เธอจะรู้ตัวไหมนะ ว่ามันสวยงามยิ่งกว่าช่วงเวลาตะวันตกดินเสียอีก มือเรียวเอื้อมขึ้นลูบไล้หน้าท้อง นิ้วนางข้างซ้ายสวมแหวนเอาไว้ เพชรเหรอ...ทำไมใหญ่ขนาดนั้นล่ะ ?
“เดี๋ยวเราก็เจอกันแล้วนะลูกแม่...”
ผู้ชายคนั้นวางมือทับลงไป นิ้วโป้งไล้หลังมืออย่างแผ่วเบา
เหมือนทั้งสองกำลังไกลออกไป...ไม่สิ ผมต่างหากที่ถูกผลัก ไปไกลเรื่อย ๆ เร็วขึ้นเรื่อย ๆ จนพื้นที่รอบข้างกลายเป็นเส้นตรงพุ่งทะยานผ่านร่าง
ผมหลับตาแน่น หายใจติดขัด กรีดร้องสุดเสียง ทั้งสองคนไกลออกไปอีกแล้ว จนค่อย ๆ กลายเป็นความมืดมิด
ทำไมถึงรู้สึกว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีกล่ะ ?
ไม่...ไม่นะ ไม่!!
บังอร...ผมรักบังอรนะ ผมรักมาตลอดตั้งแต่แรกเห็น ตั้งแต่จำความได้ ผมรักของผมมานาน กระทั่งถูกทำร้ายก็ไม่เคยโกรธ ตอนที่เธอกลับมาหาอีกหนก็ไม่เคยคิดรื้อฟื้น ผมเชื่อเสมอว่าเธอรักษาสัญญา – แต่เธอจะรู้หรือเปล่า
ว่าตัวเองรักษามันเอาไว้ไม่ได้!
บังอร...ผมไม่ใช่คำสัญญาของเธอ
ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ทุกอย่างหายไปจนหมดสิ้น ผู้คนที่เคยพลุกพล่านรอบกาย ความวุ่นวาย เสียงพูดคุย บังอร สามีใหม่ของเธอ
ไม่มีอะไรเหลือเลยสักอย่าง
ผมกลับมาอยู่ที่ตรอกเล็ก ๆ นี้เหมือนเดิม ทำยังไงดีผมจึงจะมั่นใจได้ว่าตัวเองฝันไป
บังอรยังไม่มีใคร
บังอรยังไม่ทิ้งผม
บังอรจะกลับมา
ก้อนหินเล็ก ๆ อยู่ริมกำแพงตามเดิม ไม่มีดอกไม้ ไม่มีมาตั้งแต่แรก ผมหยิบมันขึ้นมา หันมองดูฝ่าท่อระบายน้ำ มีรอยขีดนับวันเวลาทั้งหมดสี่สิบห้าชุด แล้วก็ไม่ได้ขีดต่ออีกหลายวัน เพราะผมสิ้นหวังและเอาแต่ร้องไห้
ครืด!
ผมจรดหินลงไป เริ่มหนึ่งใหม่ ของการนับวันเวลา ชุดที่สี่สิบหก
เดี๋ยวบังอรจะกลับมา!
เพราะเธอเป็นหญิงสาวอันเป็นที่รักของผม
5
ท้ายที่สุด...บังอรก็ผิดสัญญา
โดยที่เธอไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าสิ่งที่กำลังพบเจออยู่ไม่ใช่ของขวัญจากอดีตที่เธออยากจะลบเลือน
เราเจอกันจนได้หลังจากที่รอยขีดบนฝาท่อระบายน้ำเพิ่มขึ้นเป็นชุดที่เจ็ดสิบ ไม่รวมกับที่ผมล้มเลิกไป
เสียงล้อเล็ก ๆ เสียดสีกับพื้นคอนกรีต ผมลืมตาตื่นขึ้นมา เห็นเงาของบังอรทอดยาวโดยมีฉากหลังเป็นดวงอาทิตย์ยามเช้า ในรถเข็นมีเด็กคนหนึ่งส่งเสียงอ้อแอ้ มือไม้ป่ายปัด ปลาตะเพียนของเล่นห้อยเอาไว้ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง
บังอรมาแล้วเหรอ ?
ผมยันกายลุกขึ้นมา เธอมองที่ฝาท่อระบายน้ำนั้นสลับกับหนูน้อยใตรถเข็นแล้วยิ้ม น้ำตาจะไหลรินแก้มนวล ดอกไม้สีขาวสะอาดช่อเล็กถูกวางเอาไว้ ผมกระถดหนี หันมองมันสลับกับใบหน้าองบังอรอย่างไม่เข้าใจ
อย่าร้องไห้สิ...ผมก็รออยู่ตลอดนี่นา
“ขอบคุณที่กลับมาอยู่กับแม่นะลูก”
ไม่...ไม่นะบังอร ไม่ใช่!
บังอร!!! – เด็กคนนั้นไม่ใช่ผม!
ผมยังอยู่ที่นี่ ตั้งแต่วันที่บังอรแท้งผมออกมา เหล็กแหลมที่กระทุ้งเข้าในช่องคลอดถากแขนของผมจนกลายเป็นแผลฉกรรจ์ ตอนนั้นผมอายุครรภ์เจ็ดเดือนแล้ว ผมมีตัวมีตนแล้วแท้ ๆ แต่เธอก็ทำร้ายผม เรายังไม่ทันได้รู้จักกันเลยด้วยซ้ำ
เธอหักแขนขาแล้วยัดผมลงไปในท่อระบายน้ำ ผมจึงติดอยู่ในนี้ตลอดมา
“ไว้หนูมาเกิดเป็นลูกแม่อีกนะ...” พูดแบบนั้น ตอนที่ปล่อยผมให้ไหลไปตามท่อระบายน้ำเน่าเหม็นอย่างเลือดเย็น สุดท้ายก็ไม่มีใครหาผมเจอ ทำสำเร็จจนได้ ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าตอนนั้นเด็กสาวอายุสิบเจ็ดปีกำลังท้องแก่ใกล้คลอด
ผมเข้าใจ ว่าตอนนั้นเธอยังเป็นวัยรุ่น ยังไม่พร้อมให้ผมมาเกิด...แต่ผมพร้อม
แล้วอะไรกันที่ทำให้มั่นใจว่าจะชดใช้ความผิดดังกล่าวได้ด้วยการเอาเครื่องเซ่นไหว้กลับมาให้ผมกินเพื่อขอให้ผมกลับไปเกิดอีกครั้งในวันที่พร้อม
...แต่ผมไปเกิดไม่ได้!
ผมกลายเป็นผีตายโหงที่ยังคงว่ายวนอยู่อย่างนี้ จนกว่าอายุขัยจะหมดสิ้น ขณะที่บังอรยังคงคิดว่าทารกในรถเข็นคือของขวัญสำหรับการแก้ตัวจากความผิดพลาดครั้งอดีต คือผม...คือคนที่เธอลงมือฆ่าด้วยตัวเอง!
ผมเรียกเธอว่าแม่ได้ไม่เต็มปาก
แต่ก็รัก...ผมยังรัก ในเมื่อบังอรสร้างผมขึ้นมา เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข...รักอย่างสุดหัวใจ และไร้ซึ่งข้อแม้
ถึงตอนที่เธอทะเลาะกับเด็กหนุ่มเจ้าของอสุจิที่ผมไม่เคยเห็นหน้าแล้วเรียกผมว่า “มารหัวขน” ก็ตาม
ผมลุกขึ้นยืน จ้องมองใบหน้าขาวผ่องของหนูน้อย น่ารักน่าชัง อ้วนท้วมสมบูรณ์ แก้มป่องเหมือนซาลาเปา ตาโตกลมบ๊อง
หืม...
เด็กน้อยหันมาสบตาผม
งั้นเหรอ ?
ผมยื่นมือไปหา ขยับซ้ายทีขวาที เจ้าหนูน้อยคลี่ยิ้ม ร้องอ้อแอ้ กลอกตาตามมือที่เคลื่อนไปมา
ต่อให้ไม่ใช่ผม...แม่ก็ควรมีโอกาสที่จะชดใช้ความรู้สึกผิด
ฝากรักแม่แทนพี่ด้วยนะ
ไว้สักวันหนึ่งผมหลุดพ้น...ผมอาจจะไปเกิดเป็นลูกแม่จริง ๆ ก็ได้ ใครจะรู้
สักวันหนึ่ง
สักวัน