ฝนที่อีกฝั่งของถนน
โดย อักษราลัย
1
กลิ่นไอเกลือลอยละล่องในอากาศ เสียงคลื่นแผ่วเบาเป็นจังหวะไม่ขาดห้วง เม็ดทรายละเอียดอุ่นใต้ฝ่าเท้าของมีน เธอปล่อยให้ลมทะเลปัดเส้นผมให้ปลิวพลิ้วไหว ขณะแสงสีส้มทองของดวงอาทิตย์เริ่มจมลงสู่ขอบฟ้า สาดแสงอาบไล้ผิวน้ำจนเป็นประกาย ดูอุ่นและชุ่มชื่น เหมือนความรู้สึกยามนี้ของเธอ
นิ้วมือของคีรินสอดประสานกับนิ้วของเธอ อุ่นและแน่น ราวกำลังบอกว่าเขาจะไม่มีวันปล่อยมือ สัมผัสนั้นส่งผ่านความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูด
“รู้ไหม” คีรินหันมา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเป็นประกายจับจ้องมายังดวงตาของเธอ “วันหนึ่ง เราจะเดินทางรอบโลกด้วยกัน”
คำพูดนั้นสั่นสะเทือนบางอย่างในใจของมีน ไม่ใช่แค่ถ้อยคำ แต่เป็นน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยความหวังและความเชื่อมั่น เธอมองเขา รอยยิ้มของคีรินฉายความจริงใจที่ทำให้หัวใจเธอเต้นเร็วขึ้น
มีนหัวเราะเบา ๆ วาดมือชี้ไปบนท้องฟ้า แสงสีทองส่องกระทบแหวนเงินเรียบ ๆ ของขวัญวันเกิดปีที่แล้วจากคีริน “เราจะตามเก็บพระอาทิตย์ตกแบบนี้ในทุก ๆ ประเทศ” เธอพูดอย่างมีความหวัง “จากหาดทรายสีขาวในมัลดีฟส์ ไปจนถึงชายฝั่งหินผาในไอร์แลนด์”
“และเราจะดื่มกาแฟในร้านเล็ก ๆ ของทุกเมืองที่ไป” คีรินต่อประโยค “นั่งริมหน้าต่างมองผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา ชิมกาแฟรสเยี่ยมของแต่ละที่”
สมุดบันทึกปกสีน้ำตาล วางอยู่ระหว่างพวกเขา หน้ากระดาษเต็มไปด้วยลายมือของทั้งคู่ บางหน้ามีรอยกาแฟหก บางหน้ามีดอกไม้แห้งแทรกอยู่ระหว่างกระดาษ ชื่อสถานที่ถูกเขียนทับซ้อนกัน บางแห่งถูกวงกลมด้วยปากกาสีแดง บางแห่งมีเครื่องหมายดาวติดไว้
ปารีส เดินเล่นริมแม่น้ำแซน นั่งวาดรูปใต้หอไอเฟล โตเกียว ดูซากุระผลิ ชิมราเมนร้านเล็ก ๆ ใส่ชุดกิโมโน ลอนดอน นั่งรถบัสสองชั้น ดื่มชายามบ่าย เวนิส นั่งเรือกอนโดลา ชิมเจลาโต้รสพิสตาชิโอ โกเบ ชมไฟประดับยามค่ำคืน ชิมเนื้อวากิวระดับพรีเมียม บาหลี...ปราก...
แผนที่วาดด้วยมือ เส้นทางขีดเชื่อมต่อจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง ประหนึ่งเส้นชีวิตที่กำลังจะก้าวไปด้วยกัน
มีนลูบมือไปตามกระดาษ รู้สึกถึงรอยปากกาที่กดลง สัมผัสได้ถึงความตั้งใจและความหวังที่ฝังอยู่ในทุกตัวอักษร “เธอคิดว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนกว่าเราจะได้ไปที่เหล่านี้?” เธอถาม น้ำเสียงเบาแฝงด้วยความกังวล
“เราไม่จำเป็นต้องรีบ” คีรินตอบ มือข้างหนึ่งยังคงกุมมือเธอไว้ อีกข้างพลิกหน้าสมุดไปเรื่อย ๆ “เราอาจจะเริ่มจากที่ใกล้ ๆ ก่อน แล้วค่อย ๆ ไกลออกไป สักปีละหนึ่งถึงสองที่ สะสมประสบการณ์ไปทีละนิด”
มีนพยักหน้า รู้สึกอุ่นใจกับแผนที่ฟังดูเป็นไปได้ “จริง ๆ นะ ฉันไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นโลกกว้างขนาดนี้ จนกระทั่งได้เจอเธอ” เธอกระซิบ
คีรินยิ้ม “ฉันก็เหมือนกัน แค่ทำงาน เก็บเงิน ไม่คิดว่าจะเอาเงินไปทำอะไร จนคืนนั้นที่เราคุยกันบนดาดฟ้า จำได้ไหม?”
มีนพยักหน้า นึกถึงคืนที่พวกเขาคุยกันจนรุ่งสาง แบ่งปันความฝันและความหวังที่ไม่เคยบอกใคร ทำให้เธอรู้สึกว่าทุกอย่างเป็นไปได้ ถ้ามีเขาอยู่เคียงข้าง
คีรินเอนศีรษะมาพิงไหล่ของมีน “เธอจะเป็นเพื่อนร่วมทางที่ดีที่สุดของฉัน” เขากระซิบ “ตอนที่เราแก่และนั่งอยู่บนระเบียงบ้าน เราจะมีเรื่องราวมากมายให้เล่า จะมีรูปถ่ายเต็มไปทั้งบ้าน แม้เราอาจจะจำไม่ได้แล้วว่าถ่ายที่ไหน แต่เราจะจำความรู้สึกในวันนั้นได้”
มีนหลับตาลง ภาพในหัวของเธอชัดราวกับความจริง พวกเขาในอีกหลายสิบปีข้างหน้า นั่งบนเก้าอี้โยกคู่กัน มือที่เหี่ยวย่นยังคงสอดประสานกัน กระเป๋าเดินทางเก่า ๆ วางอยู่มุมห้อง ผนังเต็มไปด้วยกรอบรูป และรอยยิ้มที่ไม่เคยจางหายไปจากใบหน้าของกันและกัน
2
ปูนผนังห้องทำงานลอกร่อนเป็นจุดเล็ก ๆ เขาเห็นมันตั้งแต่สัปดาห์แรกที่ย้ายเข้ามา ตั้งใจจะรายงานให้แผนกซ่อมบำรุงมาจัดการ ห้าเดือนผ่านไป รอยนั้นยังคงอยู่ที่เดิม หรืออาจขยายใหญ่ขึ้น เหมือนทุกอย่างในชีวิตเขาที่ถูกละเลย
คีรินนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ แสงสีฟ้าสะท้อนใบหน้าที่อิดโรย แผ่นตารางข้อมูลเต็มไปด้วยตัวเลขที่เขาต้องวิเคราะห์ให้เสร็จก่อนการประชุมพรุ่งนี้เช้า กาแฟในแก้วเย็นชืดไปนานแล้ว เขาดื่มมันจนหมดโดยไม่รู้สึกถึงรสชาติ
สองนิ้วนวดขมับที่เริ่มปวดตุบ ๆ สายตาเหม่อมองไปที่นาฬิกาบนผนัง เที่ยงคืนกว่าแล้ว ออฟฟิศเงียบสงัด มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศที่ดังหึ่ง ๆ อยู่ คีรินเป็นคนสุดท้ายที่ยังทำงานอยู่ เหมือนทุกคืนในสัปดาห์ที่ผ่านมา
โทรศัพท์สั่น จอสว่างวาบ ข้อความจากมีนปรากฏบนหน้าจอ “ส่งขอวีซ่าแล้ว! ถ้าทุกอย่างผ่าน เราจะได้ไปบาหลีเดือนหน้า จองวันหยุดไว้นะ! ฉันตื่นเต้นมาก ^^”
มือของคีรินชะงัก ความรู้สึกผิดแล่นปราดเข้ามาในอก เขานึกถึงสมุดบันทึกเก่าที่ตอนนี้ถูกเก็บไว้ในลิ้นชักล่างสุดของโต๊ะทำงาน นึกถึงแผนที่ทั้งหมดที่เคยวาดไว้ด้วยกัน คำสัญญาที่เคยให้ไว้ในวันนั้น
เขาถอนหายใจ มองปฏิทินบนโต๊ะทำงาน วงกลมสีแดงล้อมรอบวันประชุมกับลูกค้ารายใหญ่ ตรงกับช่วงที่มีนวางแผนไว้พอดี เขามองระหว่างข้อความของมีนกับปฏิทิน ความขัดแย้งที่กลายเป็นเรื่องปกติในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
คีรินนึกถึงการเลื่อนตำแหน่ง หากโปรเจกต์นี้ประสบความสำเร็จ เขาจะได้เป็นผู้จัดการแผนก เงินเดือนจะเพิ่มขึ้นอีกเกือบหนึ่งเท่า ความมั่นคงที่เขาพยายามสร้างมาตลอดสามปีกำลังจะเป็นจริง
“อดทนอีกนิด” เขาพูดกับตัวเอง “แค่อีกไม่กี่เดือน เราจะมีเงินเก็บมากพอ แล้วค่อยไปเที่ยวด้วยกันได้สบาย ๆ”
คำพูดเหล่านี้เริ่มฟังคุ้นหูเกินไป เขาพูดกับตัวเองทุกครั้งที่ต้องปฏิเสธแผนของมีน ทุกครั้งที่ต้องบอกให้เธอรอ ทุกครั้งที่ต้องทำให้เธอผิดหวัง
เขาพิมพ์ข้อความตอบกลับ “ช่วงนี้ยุ่งมาก ไว้คราวหน้านะ โครงการใหม่กำลังจะเริ่ม” และกดส่ง รู้สึกเหมือนการทรยศ
มีนขดตัวอยู่บนโซฟา หน้าจอโทรศัพท์ส่องสว่างในห้องมืด แสงจากหลอดไฟสลัวเพียงดวงเดียวทำให้ห้องดูอบอุ่นแต่ว่างเปล่า เธออ่านข้อความจากคีรินซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ละคำราวเข็มที่ทิ่มแทงหัวใจ
มีนลุกไปที่หน้าต่าง มองออกไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืน ดาวดวงเดียวกับที่พวกเขาเคยนั่งมองด้วยกัน แต่ตอนนี้เธอมองมันคนเดียว
กระเป๋าเดินทางใบเล็กวางอยู่มุมห้อง เปิดอ้าเห็นเสื้อผ้าที่พับเรียบร้อย หนังสือแนะนำการท่องเที่ยวบาหลี กล้องถ่ายรูปตัวใหม่ที่เธอซื้อด้วยเงินเก็บหลายเดือน ภายในมีแผนที่และหนังสือท่องเที่ยวที่เธอรวบรวมไว้หลายเดือน
ทุกครั้งที่วางแผนเดินทาง มีนจะนึกถึงคีรินเสมอ สถานที่ไหนที่เขาจะชอบ อาหารอะไรที่เขาควรลอง บรรยากาศแบบไหนที่จะทำให้เขาประทับใจ เธอจดโน้ตเล็ก ๆ ในสมุดเตือนตัวเองว่า 'อย่าลืมพาคีรินไปที่นี่...' 'คีรินต้องชอบวิวตรงนี้แน่ ๆ...'
เธอมองไปที่บอร์ดไม้บนผนัง กระดาษโน้ตเล็ก ๆ ติดอยู่เต็มไปหมด ทุกใบล้วนเป็นสถานที่ที่พวกเขาเคยวาดฝันไว้ด้วยกัน บางใบเริ่มซีดจางตามกาลเวลา
ทุกโน้ตเริ่มต้นด้วย “เรา” ทุกแผนถูกวางไว้สำหรับสองคน แต่ความจริงที่เธอเริ่มยอมรับคือ เธอกำลังวางแผนเหล่านี้คนเดียว และอาจต้องไปคนเดียว
มีนเดินไปหยิบปากกาสีแดง ขีดฆ่าคำว่า 'เรา' บนกระดาษโน้ตหลายใบออก แล้วเขียนคำว่า 'ฉัน' แทน มือของเธอสั่นเล็กน้อย หยดน้ำตาร่วงหล่นบนใบหน้า
มีนหยิบโทรศัพท์มาเลื่อนดูภาพถ่ายเก่า ๆ ภาพพวกเขาถ่ายด้วยกันในช่วงแรกของความสัมพันธ์ ใบหน้าเปื้อนยิ้ม ดวงตาเป็นประกาย อนาคตที่ดูสดใสรออยู่ข้างหน้า เธอหยุดที่ภาพหนึ่ง พวกเขาสองคนบนชายหาด วันที่คีรินสัญญาว่าจะพาเธอเดินทางรอบโลก
เธอเลื่อนนิ้วไปที่ข้อความล่าสุดของเขา พูดพึมพำกับตัวเอง “คราวหน้า... คราวหน้า...” คำนี้เธอได้ยินจากปากของเขามาเป็นปี คราวหน้าที่ไม่เคยมาถึง การถูกผลัดวันประกันพรุ่งจนกลายเป็นสิ่งไกลเกินเอื้อม
เธอลุกขึ้น ตัดสินใจแน่วแน่ เธอจะไป ไปคนเดียว ไปกับความฝันที่เธอจะไม่ยอมปล่อยให้ตายไปตามกาลเวลา ถ้าคีรินเลือกที่จะไม่ไป นั่นคือการตัดสินใจของเขา แต่เธอจะไม่รอคำว่า “คราวหน้า” อีกต่อไป
สัปดาห์ต่อมา เธอนั่งอยู่บนเครื่องบินครั้งแรกในชีวิต หัวใจเต้นระรัว ผสมปนเประหว่างความตื่นเต้นและความเหงา ที่นั่งว่างข้าง ๆ เธอดูเด่นชัดเหมือนรอยแผลที่ยังไม่หาย
เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง เมฆสีขาวลอยต่ำกว่าระดับปีกเครื่องบิน ท้องฟ้าสีครามกว้างไกลสุดสายตา จุดหมายใหม่รออยู่เบื้องหน้า โลกกว้างใหญ่เกินกว่าจะอยู่นิ่งเพื่อรอใครสักคน
มีนส่งข้อความหาคีริน “ฉันจะส่งรูปสวย ๆ มาให้ดู” คำตอบกลับมาเมื่อหลายชั่วโมงต่อมา “เดินทางปลอดภัยนะ” สั้น เรียบง่าย และห่างเหิน
มีนส่งรูปชายหาดบาหลี น้ำทะเลสีฟ้าใส แสงแดดอบอุ่นสาดส่องลงบนผิวทรายสีนวล คีรินตอบกลับสั้น ๆ “สวยมาก” ไม่มีคำถามว่าเธอรู้สึกอย่างไร หรือเธอได้ทำอะไรที่นั่นบ้าง เขาไม่ได้อยากรู้ หรืออาจไม่มีเวลาพอที่จะสนใจ
เดือนต่อมา เธอยืนอยู่ใต้แสงเหนือในไอซ์แลนด์ สีเขียวมรกตระบายไปทั่วท้องฟ้า ประกายสีม่วงและฟ้าเต้นระบำอยู่เหนือศีรษะ งดงามเกินกว่าจะบรรยาย แต่ไม่มีใครอยู่ข้าง ๆ เพื่อแบ่งปันความอัศจรรย์นี้
เธอนั่งลงบนหิมะ ความเย็นแทรกซึมผ่านเสื้อกันหนาว เธอไม่สนใจ ดวงตาจับจ้องไปยังปรากฏการณ์ธรรมชาติอันน่าพิศวง น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
มีนถ่ายรูปหลายสิบภาพ ส่งให้คีรินเพียงภาพเดียว ไม่มีคำบรรยายใด ๆ เขาตอบกลับหลายชั่วโมงถัดมา “น่าทึ่งมาก! งานยุ่งจนแทบไม่ได้ออกไปไหนเลย” เธอไม่ตอบกลับ เพราะไม่รู้จะพูดอะไร
ที่ปารีส เธอนั่งในคาเฟ่เล็ก ๆ ริมถนน จิบกาแฟและจดบันทึกในสมุดเล่มใหม่ ตอนนี้เธอเริ่มชินกับการเดินทางคนเดียว รู้สึกอิสระในการตัดสินใจว่าจะไปที่ไหน กินอะไร ทำอะไร โดยไม่ต้องรอหรือปรึกษาใคร
“บางครั้งการเดินทางคนเดียวก็ทำให้เราได้พบกับตัวเองในแบบที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน” เธอเขียนมันลงในสมุด
มีนโพสต์รูปลงโซเชียลมีเดีย “วันนี้ได้เห็นโลกในมุมใหม่” คีรินกดไลก์ ไม่แสดงความคิดเห็น ราวเขากำลังมองเธอจากระยะไกล ชื่นชมการเติบโตของเธอ แต่ไม่กล้าเข้ามาใกล้อีกต่อไป
ขณะคีรินจมอยู่กับงาน การเลื่อนตำแหน่งที่มาพร้อมความรับผิดชอบ และเงินในบัญชีที่เพิ่มพูนขึ้น แต่ความสุขกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นตาม ทุกครั้งที่เขาเห็นภาพมีนในที่ต่าง ๆ เขารู้สึกยินดีที่เธอได้ทำในสิ่งที่ฝันไว้ และเศร้าที่ตัวเขาไม่ได้อยู่ในภาพเหล่านั้น
บางคืนเขานั่งดูสมุดบันทึกเก่า นิ้วไล้ไปตามเส้นทางที่พวกเขาเคยวางแผนไว้ รู้สึกเหมือนดูแผนที่ของชีวิตที่เขาไม่ได้เลือก ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่พวกเขาเริ่มห่างเหินกัน ไม่รู้ว่าจุดไหนที่ความรักอันลึกซึ้งกลายเป็นเพียงข้อความสั้น ๆ บนหน้าจอโทรศัพท์ ทุกอย่างค่อย ๆ เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ และเงียบงัน เหมือนทรายที่ค่อย ๆ ไหลผ่านนาฬิกาทราย จนกระทั่งวันหนึ่งเขาพบว่า ความรักที่เคยมีได้เปลี่ยนรูปร่างไปแล้ว และเขาไม่รู้วิธีที่จะนำมันกลับมา
3
สายฝนกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ท้องฟ้าสีเทาทึมปกคลุม ทำให้บรรยากาศยามบ่ายดูครึ้มราวกับใกล้ค่ำ ถนนเต็มไปด้วยรถติดกันยาวเหยียด
มีนยืนอยู่ใต้หลังคาร้านค้า รอให้ฝนซาลง แต่ท้องฟ้าไม่มีทีท่าจะเปลี่ยนแปลง เธอถอนหายใจ หยิบร่มสีฟ้าอ่อนออกจากกระเป๋า กางมันออกและก้าวเดินไปตามทางเท้าเปียกชื้น เสียงฝนกระทบร่มดังก้องในความคิด เธอยืนอยู่ที่ขอบทางม้าลาย รอให้สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว ร่างกายสั่นเล็กน้อยจากความเย็น ละอองฝนพ่นเป็นหมอกบางในอากาศ
มีนยืนรอ เธอเพิ่งกลับมาจากการเดินทางครั้งล่าสุดได้ไม่กี่วัน ผิวยังคงเป็นสีแทนจากแดดที่หมู่เกาะมัลดีฟส์ แสงไฟสีแดงสะท้อนบนพื้นถนน หยดน้ำไหลลงตามขอบร่ม เธอเหม่อมอง ความคิดล่องลอยไปถึงคอนเทนต์ชุดใหม่ที่กำลังจะถ่ายทำในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า
แล้วมีนก็เห็นเขา...คีริน
เขายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของถนน ไม่มีร่ม เสื้อคลุมสีเทาเข้มเปียกปอนไปด้วยน้ำฝน ผมถูกตัดสั้นเรียบร้อย ไหล่ที่เคยผอมบางดูกว้างและแข็งแรง
เวลาผ่านไปสองปีเต็มตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาพบกันตัวเป็น ๆ การพูดคุยผ่านข้อความค่อย ๆ ลดลงในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา จนกระทั่งเหลือเพียงการกดไลก์บนโซเชียลมีเดียเป็นครั้งคราว
หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้น โลกรอบตัวเหมือนหยุดนิ่ง มีเพียงเสียงฝนที่กระทบร่มเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เธออยากตะโกนเรียกชื่อเขา แต่เสียงติดอยู่ในลำคอ
คีรินไม่ได้สังเกตเห็นเธอในทันที เขายืนนิ่ง ใบหน้าเรียบเฉย ดวงตาจ้องมองไฟสัญญาณจราจร น้ำฝนไหลลงมาตามใบหน้า แต่เขาไม่สนใจจะเช็ดมันออก ราวกับไม่รู้สึกถึงความเปียกชื้น
แล้วเขาก็เงยหน้าขึ้น สายตากวาดมองไปรอบ ๆ และหยุดนิ่งเมื่อเห็นเธอ
ดวงตาพวกเขาสบกัน ผ่านม่านฝนและสายลมที่พัดกระโชก ภาพคีรินเบลอผ่านหยดน้ำบนขอบร่ม แต่มีนจำประกายในดวงตาของเขาได้
เขาจำเธอได้ มีนรู้ได้จากที่เขาหยุดชะงัก ยืนนิ่งราวกับถูกตรึงอยู่กับที่ มือที่กำลังจะยกขึ้นมาเช็ดน้ำบนใบหน้าค้างกลางอากาศ ร่างของเขาตึงเกร็ง เหมือนกวางที่เพิ่งเห็นแสงไฟรถ
วินาทีนั้นเหมือนเวลาหยุดนิ่ง ถนนที่คั่นกลางระหว่างพวกเขาดูกว้างราวกับมหาสมุทร
ในหัวเธอเต็มไปด้วยคำถาม เขาเป็นอย่างไร? ได้เลื่อนตำแหน่งตามที่ตั้งใจไว้หรือเปล่า? เขาได้ไปที่ไหนมาบ้างไหม? ยังวาดฝันถึงการเดินทางอยู่หรือเปล่า? ยังคิดถึงวันที่เคยกอดกันบนชายหาดไหม?
เธอรู้คำตอบอยู่แล้ว รู้จากเสื้อสูทราคาแพงที่เขาสวมใส่ใต้เสื้อคลุม นาฬิกาดูหรูบนข้อมือ และกระเป๋าเอกสารในมือ คีรินได้เลือกเส้นทางของเขาแล้ว
เส้นทางที่ไม่มีเธออยู่ในนั้น
หัวใจของมีนบีบรัดด้วยความรู้สึกหลากหลาย ความคิดถึง เสียใจ ความโกรธ ความเศร้า และบางอย่างที่คล้ายกับการยอมรับว่าทุกอย่างจบลงแล้ว และนั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทั้งคู่
สัญญาณไฟยังคงเป็นสีแดง ถนนเส้นนั้นดูกว้างขวางจนข้ามไม่ถึง ทั้งที่เพียงแค่ไม่กี่ก้าวก็ถึงอีกฝั่ง รถยังคงแล่นผ่านระหว่างพวกเขา เหมือนเส้นชีวิตที่เคลื่อนไปข้างหน้าไม่หยุดนิ่ง
เขาเองก็คงสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเธอ ผิวสีแทนจากการเดินทางกลางแจ้ง รอยยิ้มที่ดูมั่นใจกว่าเดิม ดวงตาที่เต็มไปด้วยประสบการณ์และเรื่องราวมากมายที่ได้พบเจอ เสื้อผ้าสีสันสดใสที่สะท้อนความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น
4
หยดน้ำฝนไหลลงมาตามแก้มของคีริน เย็นเฉียบจนรู้สึกได้ ผสมปนเปกับความร้อนจากน้ำตาที่เริ่มคลอ มือของเขากำแน่น สั่นเทาเล็กน้อย ไม่ใช่จากความหนาว แต่จากความปรารถนาที่จะวิ่งข้ามถนนไป
“มีน...” เขาพึมพำออกมา แต่เสียงนั้นถูกกลืนหายไปในสายฝน ไม่มีทางที่เธอจะได้ยิน
เขายืนนิ่ง ภาพของมีนยืนถือร่มฝั่งตรงข้ามช่างเป็นภาพที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกประหลาด คีรินนึกถึงโต๊ะทำงานที่ล้นด้วยเอกสาร นึกถึงบ้านหลังใหญ่ที่เขาซื้อไว้แต่อยู่คนเดียว นึกถึงตำแหน่งผู้บริหารที่เพิ่งได้รับ ทุกอย่างที่เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อให้ได้มา
ในโลกของความสำเร็จ ไม่มีการเดินทางร่วมกับคนที่เขารัก ไม่มีภาพถ่ายพระอาทิตย์ตกในประเทศที่ไม่คุ้นเคย ไม่มีเสียงหัวเราะยามค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ขณะที่มีนได้ไปเยือนสถานที่ที่พวกเขาเคยวางแผนไว้ด้วยกัน เขายังคงอยู่ที่เดิม ติดอยู่ในวังวนของงาน เงิน และความก้าวหน้าในอาชีพที่ไม่มีเธออยู่ตรงนั้น
ในหัวเขาพยายามเรียบเรียงคำพูด หากเดินข้ามไป เขาควรพูดอะไร? สวัสดี, ดูเธอสบายดีนะ ฉันคิดถึงเธอ, รู้มั้ย? ฉันเสียใจที่ไม่ได้ไปกับเธอ แต่ทุกประโยคดูจะสายเกินไป
ที่น่ากลัวที่สุดคือ การรู้สึกเป็นส่วนเกินในชีวิตของคนที่เราเคยสัญญาว่าจะรักตลอดไป การมองเห็นว่าบางทีการจากลาอาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาเคยทำให้เธอ
สัญญาณไฟกะพริบ เปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเหลือง แล้วในที่สุด สีเขียว
คีรินยกเท้าขึ้น พร้อมจะก้าวออกไป หัวใจเต้นรัว มือเปียกชื้นด้วยเหงื่อผสมน้ำฝน
แต่แล้ว...
เขาเห็นมีนหันหลัง ค่อย ๆ เดินจากไปในทิศทางตรงข้าม ร่มสีฟ้าของเธอค่อย ๆ ห่างออกไป จนกลืนไปกับฝูงชนบนทางเท้า
คีรินยืนนิ่ง เท้าที่ยกค้างกลับลงสู่พื้น สัญญาณไฟกะพริบ ก่อนจะเปลี่ยนกลับเป็นสีแดง โอกาสหลุดลอยไปแล้ว เช่นเดียวกับทุกโอกาสที่เขาเคยพลาดมาก่อนหน้านี้
เขาหมุนตัว เดินกลับไปยังทิศทางเดิม เสื้อเปียกแนบติดผิวกาย รองเท้าหนังส่งเสียงดังเอี๊ยดทุกก้าวที่เหยียบลงบนพื้น รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าที่ไม่ได้มาจากการทำงานหนัก แต่มาจากภาระของความเสียใจที่แบกไว้นานเกินไป
บางทีนี่อาจเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว ปล่อยให้เธอเดินต่อไปในเส้นทางที่เธอเลือก ปล่อยให้เขาเองก็เดินในเส้นทางของตัวเอง บางทีการพบกันในวันนี้อาจเป็นเพียงการยืนยันว่า พวกเขาได้เดินออกจากชีวิตของกันและกันอย่างถูกต้องแล้ว
แต่ทำไมมันเจ็บปวดถึงเพียงนี้?
มีนเดินเข้าร้านกาแฟเล็ก ๆ ที่เธอมักแวะเป็นประจำ เสียงกระดิ่งเหนือประตูดังกรุ๊งกริ๊งเมื่อเธอผลักประตูเข้าไป กลิ่นกาแฟคั่วใหม่ลอยอบอวลในอากาศ ผสมกับกลิ่นหอมของขนมอบ ทำให้รู้สึกอบอุ่นทันทีที่ก้าวเข้ามา
“เหมือนเดิมนะคะ” เธอพูดกับบาริสต้าที่คุ้นเคย ชายหนุ่มที่จำเมนูประจำของเธอได้ขึ้นใจ
“วันนี้อากาศแย่เนอะ” เขาทักทายพลางชงกาแฟให้เธอด้วยความชำนาญ “ไม่ใช่วันที่ดีสำหรับการออกไปข้างนอกเลย”
มีนยิ้มบาง ๆ “บางครั้งวันฝนตกก็มีเสน่ห์ของมันนะ” เธอตอบ เสียงนุ่มแผ่วเบา
บาริสต้าเอียงศีรษะเล็กน้อย เหมือนกำลังพิจารณาความหมายที่ซ่อนอยู่ในประโยคนั้น แต่ไม่ได้ถามอะไรต่อ เขายื่นแก้วกาแฟลาเต้ที่มีลวดลายรูปหัวใจบนฟองนมให้เธอ
มีนนั่งลงที่โต๊ะริมหน้าต่าง หยดน้ำฝนไหลเป็นทางยาวบนกระจกใส เธอแตะนิ้วลงบนผิวเย็นของกระจก ติดตามเส้นทางของหยดน้ำที่ไหลรวมเข้าด้วยกัน เส้นทางของน้ำสองหยดที่แยกจากกันแล้วมารวมกันอีกครั้ง ก่อนจะแยกจากกันอีกครั้งในที่สุด
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา นิ้วแตะไปที่ไอคอนโซเชียลมีเดีย พิมพ์โพสต์สั้น ๆ “บางครั้งโลกช่างกว้างใหญ่ และบางครั้ง...มันก็แคบเหลือเกิน”
เธอจิบกาแฟ มองออกไปนอกหน้าต่าง สงสัยว่าคีรินจะยังยืนอยู่ตรงนั้นไหม หรือเขาเองก็เดินจากไปแล้ว ความคิดของเธอวนกลับไปยังชายหาดในวันนั้น ความอบอุ่นของมือที่จับกันไว้ ความฝันที่เคยแบ่งปัน ภาพเหล่านั้นเลือนรางเหมือนภาพถ่ายเก่าสีซีดจาง แต่ยังคงงดงามในความทรงจำ
เธอไม่รู้สึกเศร้าอีกต่อไป รู้สึกนิ่งสงบ เหมือนได้ปิดหน้าหนังสือเล่มที่อ่านจบแล้ว เรื่องราวที่จบลงอย่างสวยงาม แม้ไม่ได้จบอย่างที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก
เธอไม่หันกลับไปมอง ไม่มองผ่านหน้าต่างเพื่อดูว่าคีรินยังอยู่ที่นั่นหรือไม่ บางเรื่องคงดีกว่าถ้าปล่อยให้เป็นเพียงชั่วขณะแห่งการพบเจอโดยบังเอิญ
มีนจิบกาแฟ ปล่อยให้ความอบอุ่นแผ่ซ่านในอก แล้วเปิดสมุดบันทึกเล่มเล็ก เขียนจุดหมายปลายทางแห่งใหม่ เขียนเพียงคำว่า “ฉัน” ไม่ใช่ “เรา” รู้สึกสงบใจกับการตัดสินใจนั้น
ข้างนอก สายรุ้งเริ่มปรากฏตัวบนท้องฟ้า พาดผ่านตึกสูงของเมือง เชื่อมระหว่างโลกสองใบที่ไม่มีวันมาบรรจบกันอีก
“ทุกการพบเจอคือบทเรียน ทุกการจากลาคือครู บางคนมาเพื่อเดินร่วมทางตลอดไป บางคนมาเพียงเพื่อสอนเราให้รู้จักเดินต่อไปด้วยตัวเอง”