¦ ¦ ¦ ¦


ฉบับที่ 13 : ประจำวันที่ 1 มิถุนายน 2568


โปรดพาฉันบินไป
โดย สิรินทร์




หยิบเครื่องบินของเล่นขึ้นมาถ่ายภาพ ฟ้าฉากหลังน้ำเงินอ่อน ย้อนแสง มือเธอกับเครื่องบินลำนั้นมืดดำ มุมซ้ายติดกิ่งลั่นทมเบื้องบน ฉันไม่มีปีก พาฉันบิน...บินไป หัวใจเริ่มร้องเพลง Fly me to the moon Let me play among the stars เธอพามันทะยานจูบกลีบดอกไม้ ฟิ้ววว อมยิ้มให้การเล่นแบบเด็ก ๆ เขาพิงขอบสระพักหายใจ หันมองเธออยู่ ต่างสบตา ส่งยิ้มให้กัน แก้มเธอร้อนผ่าว เป้สะพายหลังสีดำใบเล็กของเขาวางบนม้านั่งเดียวกัน
สิบห้านาทีก่อน เขาอยู่ที่นั่นแล้ว ถุงพลาสติกใส่เครื่องบินวางเคียง
“บนเก้าอี้ครับ ซื้อมาจากพิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศ” เธอรีบบอกลูกไหว้ขอบคุณ
“กล้วยหอมด้วยนะครับ จากที่บ้าน”
“ขอบคุณนะคะ หลังบ้านปลูกกล้วยน้ำว้าเหมือนกันค่ะ”
“สำหรับน้องสกายต้องเครื่องบินเจ็ท”
“ด้านหลังถอดแผ่นสีขาวออก มีไฟกับเสียงด้วยนะครับ”
เธอแกะพลาสติกหุ้มไว้ เด็กน้อยตาวาวชอบใจ
“มะขามหวานมากเลยครับ” ดวงตาเขาฉ่ำวาวเมื่อเอ่ยคำหวาน
เรื่องราวเริ่มต้นเรียบง่าย เหมือนอีกหลายเรื่องบนโลกใบนี้ คราก่อนเธอแบ่งมะขามสามถุง ฝากครู คนดูแลสระว่ายน้ำ และเขา ชายคนหนึ่งซึ่งพบเสมอยามเย็นที่นั่น เธอไม่เคยมองเขาเต็มตาจนวันนั้น
“ชื่อสกายพ่อเป็นทหารอากาศหรือเปล่า”
“มีแต่คนถามแบบนี้” เธอหัวเราะเสียงใส “ไม่ใช่ค่ะ”
“ฉันชอบมองท้องฟ้า” อะไรดลใจให้กล่าวเช่นนั้น
เขาเผยยิ้มซึ่งทำให้ดวงตาคล้ายพูดได้ หยดน้ำเกาะพราวทั่วหน้า ช่วงไหล่หนากว้าง เด็กชายนั่งใส่ฟินว่ายน้ำเตรียมพร้อม “จะว่ายแข่งกับพี่”
“สู้สกายไม่ไหวหรอกครับ แก่แล้ว”
รอยยิ้มเหมือนระลอกคลื่น ริ้วหางตา ร่องแก้ม เป็นไปตามริมฝีปาก จากขอบสระ กระเพื่อมถึงเธอที่ม้านั่ง นานแสนนานไม่ได้สนทนากับเพศตรงข้าม ไม่มีใครปรับทุกข์ แบ่งปันสุข กี่คืนวันล่วงผ่าน ไม่รับรู้การมีอยู่ของหัวใจ คล้ายคนมีชีวิต แต่ไร้ชีวา
อาศัยเสียงเพลงผ่านหูฟังไร้สายช่วยผ่อนคลาย หลังลูกชายหลับ โมงยามแห่งการถักทอฝันตามลำพังใต้แสงโคมไฟห้องนอน ณ สถานที่หนึ่ง อาจเป็นร้านกาแฟ หรือเคาน์เตอร์บาร์ คนสองคนไม่รู้จักกันมาก่อน ใครสักคนชะงักบทเพลงในร้าน อีกคนหันหน้ามาพอดี จุดเริ่มต้นธรรมดา จนกระทั่งวันหนึ่งฤดูร้อนเริ่มทักทาย การปรากฏตัวของเขาเติมเต็มความฝันเธอ


ในม่านหมอก
เพิ่งฟังรายการ People you may know ล่าสุด รายการโปรดฉันค่ะ แฟรงก์ ซินาตรา เขาเล่าประวัติ แม่ของแฟรงก์ทำทุกอย่างเพื่อส่งเสริมลูกชาย นี่แหละค่ะ คนเป็นแม่ ฉันก็เหมือนกัน ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเติบโตเป็นศิลปินมีชื่อเสียงนะคะ แค่รู้สึกถึงตัวเอง อา ฉันพูดเรื่องน่าเบื่อ ไม่เลย ต่อสิครับ เขาสอบได้คะแนนวิชาภาษาไทยหนึ่งร้อยคะแนน ไม่อยากเชื่อ แค่พออ่านออก และเริ่มเขียนได้บ้าง ฉันดีใจแล้ว แต่นี่ คะแนนเต็ม ตอนรับสมุดพก ตรงท้ายกระดาษ ลำดับที่ห้อง เลขหนึ่ง ฉันตะลึงงัน ชื่นใจอยู่คนเดียว ขอโทษค่ะ แค่อยากแบ่งปันเรื่องราวกับใครสักคน พูดต่อเถอะครับ เขาชอบภาษาอังกฤษกับคณิตศาสตร์ เขาเคยบอกไม่ชอบภาษาไทยที่สุด ได้ยินแล้วใจแป้วเลย โรงเรียนน่ะ ตั้งคำถามถามเด็ก วิชาที่ชอบมากที่สุด น้อยที่สุด พอเรียนผ่านสักระยะถึงเริ่มบอกภาษาไทยสนุกเหมือนกัน “เมื่อไหร่จะได้เป็นพี่ป.2 ครับ” เขาอยากโตเร็ว ๆ อยากสูงเท่าแม่ อยากเป็นผู้ใหญ่ “ผู้ใหญ่ไม่ต้องไปโรงเรียน อยากทำอะไรก็ทำ อยากกินเมื่อไหร่ก็กิน” คำพูดทำเอาอึ้ง เขาไม่ใช่ทารกน้อยอีกแล้ว ผู้ใหญ่มีหน้าที่ ความรับผิดชอบเหมือนกันครับ ฉันบอกลูก
คุณเป็นแม่ที่ดี ขอบคุณค่ะ คุณพูดสิ่งที่ฉันอยากได้ยิน ไม่ ผมพูดจริง คุณยอดเยี่ยม ขอโทษนะคะ มีแต่เรื่องเล่าของลูก
ผมจะขอเพลง Fly me to the Moon ให้คุณ ฉันชอบเพลงนี้มากค่ะ ผมก็ชอบ เมื่อก่อนเห็นพระจันทร์กลมโตทีไร ฮัมเพลงนี้ทุกที เดี๋ยวนี้ไม่มีเวลามองฟ้าแล้วค่ะ
ดูท่าเพลย์ลิสต์มีแต่เพลงไทย เขาเหลือบมองนักดนตรี งั้นเราเก็บไว้ในใจก่อนก็ได้ค่ะ
เสียงหัวเราะแผ่วเบาผสานกัน

อากาศอ่อนโยน ลมพัดสบาย ขอบคุณฤดูกาล เพียงบทเปิดสนทนาไม่กี่คำจากใครคนหนึ่งเปลี่ยนยามเย็นให้มีความหมาย ลั่นทมสีชมพูสดปลิวตกข้างกาย ปล่อยความคิดเอื้อมหยิบทัดหูไว้ตรงนั้น ทอดตายังช่อราชพฤกษ์เบื้องล่างเหลืองอร่าม ไกลอีกหน่อยชมพูพันธุ์ทิพย์สะพรั่งแต้มสีสัน เธออดคิดไม่ได้เมื่อสบตาช่อชมพูอ่อนหวาน ดอกไม้สีขาวมักมีกลิ่นหอม ดูท่าจะมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ เธอลืมเลือน หากคิดเอาเองว่าเหล่าดอกไม้ขาวมอบความหอมแก่ผัสสะแทนการมองเห็น
“เก่งมากครับ” เขาส่งเสียงให้กำลังใจ เด็กชายฝึกท่าฟรีสไตล์ไปหาครู ที่โรงเรียนวิชาพละมีเรียนว่ายน้ำสลับพละบกแต่ละสัปดาห์ เด็กชายลงไม่กี่ครั้ง พอภูมิแพ้เล่นงานไม่สบายเธอแจ้งของดก่อน ครูประจำชั้นให้นั่งเล่นข้างสระกับเพื่อนที่ไม่ลงเหมือนกัน
เธออยากให้เขาว่ายน้ำเป็น ทักษะสำคัญ หมู่บ้านมีสระว่ายน้ำส่วนกลาง ไม่ค่อยมีใครใช้บริการสมาชิกประจำชายสามคนต่างวัย เขายกมือไหว้ พูดคุยกับครูสอนว่ายน้ำทุกครั้ง ได้ยินชื่อเรียกเด็กชายจากครูเสมอ ทุกวันอังคารกับพุธ ห้าโมงเย็น
เธอสูดลมหายใจลึกหลายครั้ง พยายามสลัดความรู้สึกหลังดูซีรีส์จบ หลายคนต่างกล่าวถึง เด็กชายวัยสิบสามแทงเพื่อนร่วมชั้น บ้างชื่นชมความสามารถนักแสดง เทคนิคการถ่ายลองเทค สำหรับเธอสะเทือนใจฐานะแม่คนหนึ่ง เด็กเติบโตเป็นอย่างไร เลี้ยงดูเอาใจใส่มากแค่ไหน เธอไม่อาจปกป้องเขาได้ตลอดเวลา วันหนึ่งหากเด็ก ไม่ว่าผู้กระทำหรือผู้ถูกกระทำ จะรับมืออย่างไร กี่ทฤษฎีใช้อธิบายพฤติกรรม ร้อยเหตุผลปลอบใจคนสูญเสีย ถึงเวลาเผชิญจริงจะข้ามผ่านสถานการณ์ง่ายดายหรือ
หยุด เธอรีบบอกตัวเอง ก่อนฟุ้งซ่าน ประสาทกินเสียก่อน
ลอบมองเรือนร่างกำยำใต้ผิวน้ำ


เบียร์ขวดสองเริ่มพร่อง เธอถามเขา
คุณวาดอนาคตไว้แบบนั้นเลยหรือเปล่า ตั้งใจเป็นนักกีฬา แบบว่าฝันวัยเยาว์ ฉันน่ะ อยากเรียนสาขาจิตวิทยา มศว. แต่ไม่ได้เรียนสายวิทย์ รุ่นฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัยใช้วิธียื่นคะแนนสอบ เจ้าตัวจะรู้คะแนนรายวิชา อาศัยรวมทั้งหมด ดูคะแนนต่ำสุดของคณะที่ต้องการ เลือกได้สี่อันดับ
ช่วงม.ปลายฉันฟังรายการหนึ่ง ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม พูดถึงคนที่ฝันว่าบินได้ ลึก ๆ อยากหนีจากบางอย่าง ได้ยินแค่นี้ ประโยคเดียว ฉันอาจจะอยากเข้าใจตัวเอง ทำไมถึงเป็นแบบนั้นแบบนี้ หรือแค่ไม่อยากฝันร้าย

หอมลั่นทมอวลรอบกาย ต้นโมกปลูกไว้หลังบ้านฟุ้งกลิ่นตลอดวัน นึกภาพอดีต เธอหอบลูกวัยก่อนเข้าอนุบาลจากคอนโดมิเนียมกลับมาอยู่บ้านพ่อแม่ สองปีก่อนเธอซื้อบ้านหลังข้างเคียงปล่อยว่าง เอารั้วกั้นออก ใกล้ชิดทว่ามีสัดส่วน ตายายเดินมาหาหลาน เธอได้กลับบ้านอีกครั้ง สวนสาธารณะค่อนข้างกว้างขวาง ไม้ใหญ่รายล้อม อย่างน้อยพอมีอากาศบริสุทธิ์ เด็กน้อยหัดถีบจักรยาน ส่วนเธอมักเดินเล่นแถวต้นก้ามปูถ่ายภาพฝนใบไม้
วูบปรารถนาเร้นลึกเธออยากหอมเหมือนดอกไม้ฤดูร้อน ในหยาดเหงื่อ เมื่อสายลมพัดโชยชวนหลงใหล คนผู้หนึ่งตั้งต้นความคิด หรือความคิดมีชีวิตของมันเองกันแน่
เมื่อตัวตนนั่งอยู่ตรงนี้ จัดแจงเปลี่ยนสระว่ายน้ำกลายเป็นสถานที่ลึกลับแห่งหนึ่ง ไร้ชื่อ เหมือนพวกเขาสองคน มือที่มองไม่เห็นหมุนเข็มนาฬิกาสู่ช่วงหัวค่ำ เคาน์เตอร์บาร์ในบรรยากาศแสงสลัว ผู้คนแวะกินดื่มตามลำพัง


เคยฟังเพลง ดอกแก้ว สุเทพ วงศ์กำแหง มั้ยคะ
แก้วดอกนี้ หอมยวนฤดี พี่อยู่ทุกวัน กลิ่นเจ้านั้น สัมพันธ์ใจพี่ ปองภักดีเสมอ เธอฮัมเพลง ต้นแก้วหน้าบ้านกำลังสะพรั่งช่อสีขาว คงดีนะคะ ถ้าคนเราเก็บความหอมไว้ในลมหายใจ ขณะเล่าให้คุณฟัง คุณได้กลิ่นดอกแก้วระเหย เธอจิบเบียร์ เผลอพูดอะไรแก่อีกแล้ว เขามองหน้าเธออยู่ ไม่ละสายตา เธอรู้ เธอสบตาเขา แกล้งโน้มตัวเข้าใกล้ นี่ถ้าฉันอายุมากกว่าคุณ ตลกเลยนะ เขาเกือบสำลักเบียร์ เธอหัวเราะ เรื่องอายุฉันไม่สามารถจริง ๆ เธอกวาดตาทั่วใบหน้าเขา
เดาสิ
พูดอีกทีได้มั้ยคะ เดาสิ เธอจ้องริมฝีปากเขา ฉันชอบเวลาคุณยิ้มแบบนี้ แบบไหน ยิ้มเห็นฟัน ฟันคุณเรียงสวย เธอหยุดตรงหางตาเขา รอยยิ้มที่เหมือนระลอกคลื่น พัดพาทุกส่วนบนใบหน้า เดาสิ เขาพูดมันอีกครั้ง เธอใช้ดวงตาประหนึ่งนิ้วมือ เกลี่ยรอบกรอบหน้าเขา ผมตัดสั้น ขาวแซมดำ ฉันไม่เก่งเรื่องตัวเลขเลยค่ะ มากกว่าสี่สิบ เสียดายไม่ถึงหกสิบ เขาเผยแววประหลาดใจ วูบหนึ่ง จางหาย
เธอเม้มปาก สูดลมหายใจ บอกความลับเรื่องหนึ่ง ผมฟังอยู่ คุณหลับตาก่อน
ฉันอยากเต้นรำค่ะ ไม่ใช่เต้นรำจริง แค่เคลิ้มฝัน พูดยังไงให้เข้าใจดีนะ เคยอ่านเจอจากที่ไหนจำไม่ได้ เขาว่าเต้นรำเป็นการได้แตะเนื้อต้องตัวตามธรรมเนียม ความจริงสละสลวยกว่านี้
คิดดูสิ ฝ่ามือเราที่ถูกกุมไว้...แนบชิด ทว่ามีระยะห่างระหว่างกัน...เสียงเพลง...รู้สึกวาบหวาม
เหลือบมองรอบร้าน ปราศจากฟลอร์เต้นรำ
ฉันอยู่ผิดยุคสมัยจริง ๆ
ผมคิดว่าผมเข้าใจคุณ


“เวลาแค่ ‘1 นาที’ อาจเป็น ‘ชั่วชีวิต’ ของคนบางคน” วาทะภาพยนตร์ SCENT OF A WOMAN 1992 เบิกโรงซินีม่า ภาพทั้งสองเต้นรำ เธอเซฟไว้จากเพจหนัง รายละเอียดระบุ 29 เมษายน ค.ศ. 2021 19:30 ยังเก็บอยู่ในโทรศัพท์มือถือ เธอเพิ่งได้ดูเน็ตฟลิกซ์ต้นปีที่ผ่านมา
อัล ปาชิโน แสดงเป็นชายตาบอด ฉากเต้นแทงโก้กับเด็กสาว เธออาศัยคลิปในยูทูบ พอมีโอกาสดูทั้งหมดด้วยตัวเอง ทำให้รู้บริบทก่อนและหลังถ้อยคำ เธอนั่งคนเดียวสีหน้าเบื่อหน่าย กำลังรอชายหนุ่ม “เขาอาจมาได้ทุกนาที” เธอกล่าว อัล ปาชิโนจึงพูด “หนึ่งนาทีอาจเป็นชั่วชีวิตของใครบางคน”
เธอเต้นแทงโก้ไม่เป็น เคยเรียนครั้งเดียว เทอมสองตอนมัธยมปลาย วิชาพละ ลีลาศ มีจังหวะบีกิน ชะช่ะช่า วอลซ์ และแทงโก้
แม่เล่าให้เธอฟังตอนเด็ก สมัยสาวแม่มีชายหนุ่มขออนุญาตที่บ้านพาไปงานเต้นรำ เรื่องเล่าจากอดีตกาลผสมผสานภาพยนตร์ชวนฝัน เธอชอบเวลาเห็นฉากตัวละครหมุนพลิ้วตามเสียงเพลง แอบเก็บภาพเขามาคิด ส่วนสูงเขามากพอให้เธอหยัดร่างบนส้นสูง ขอแค่ 1 นิ้วก็พอ ไหล่กว้างและท่อนแขนเขาโอบเธอไว้ประหนึ่งหญิงสาวบอบบาง มือเธอเล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับเขา กว่าสิบปีเธอใส่รองเท้าส้นแบนตลอด ทอดถอนใจ ทำไมมักตัวสูงกว่าคนจีบเธออยู่ร่ำไป จำยอมวางรองเท้าส้นเข็มไว้ในจินตนาการ ผ้าใบใส่สบายดีนะ เธอให้เหตุผลประโลมใจ จวบจนวัยสาวลาจากเธอไปแล้ว
ทบทวนความหลัง ปีก่อนลูกเริ่มเรียนว่ายน้ำครั้งแรก ทุกห้าโมงเย็นเธอเห็นเขาว่ายคนเดียวประจำ ปราศจากคำทักทายใด เวลาล่วงผ่านพวกเขาอย่างเงียบเชียบ เด็กชายไปโรงเรียนไม่สบายติดกันเธอบอกครูสอนว่ายน้ำขอหยุดเรียน เหลือหกครั้ง ยกชั่วโมงที่เหลือให้ครู หายหวัดเมื่อไหร่ค่อยต่อคอร์สใหม่
ปิดเทอมใหญ่ปีนี้เหมาะเจาะ นอกจากอยู่บ้านอ่านหนังสือ ทำแบบฝึกหัด เธอเริ่มพาลูกไปสระว่ายน้ำนอกเหนือวันเรียน พวกเขาพบกันเสมอ รับรู้เรื่องราวทีละนิด เขาไม่ใช่นักกีฬา จบนักเรียนนายเรือ ฝึกบิน เป็นนักบินของกองทัพเรือ เธอรับฟังด้วยรอยยิ้ม พยายามยั้งใจไม่พูด เคยอ่านหนังสือชื่อเจ้าชายน้อยมั้ยคะ ฉันคิดถึงอองตวน เดอ แซง-แต็กซูว์เปรี ผู้เขียนเล่มนี้ เขาเป็นนักบินค่ะ
ที่จริงเธอคิดถึงหนังสือแปลเล่มรักของเธอ ‘ทะเลชีวิต’ แอนน์ มอร์โรว์ ลินด์เบิร์ก อ่านแล้วสะท้อนใจ โลกที่แสนหดหู่ของแอนน์ดูเหมือนจะสว่างไสวขึ้นในช่วงฤดูร้อนของปี 1939 เมื่อเธอได้พบกับอองตวน เดอ แซง-แต็กซูว์เปรี ทั้งสองพูดคุยกันด้วยภาษาฝรั่งเศสเป็นชั่วโมง ๆ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ทั้งเรื่องการบินและการเขียน แอนน์รู้สึกอิ่มเอมใจอย่างมาก เมื่อแซง-แต็กซูว์เปรีพูดถึงงานเขียนของเธอ ขณะที่ชาร์ลส์แทบไม่เคยเห็นความสำคัญเลย แม้จะได้พบกับคนรู้ใจ แต่แอนน์ก็เลือกที่จะอยู่เคียงข้างสามี และมองดูแซง-แต็กซูว์เปรีบินจากไป พร้อมกับความรักอันเป็นปริศนาของเธอ*
บางคราวประโยคธรรมดาจากเขาแตะต้องอารมณ์อ่อนไหว “ปิดเทอมคุณแม่เหนื่อยหน่อยนะครับ”
ค่ะ เหนื่อย เธอกล้ำกลืน หัวเราะแก้เก้อแทน ระหว่างอยู่นอกห้องเรียน เราเรียนรู้อะไรได้บ้างนะ มากมายเชียวค่ะ ก่อนนี้อ่านหนังสือภาษาไทยด้วยกัน เจอคำ ‘ปลี’ เราพากันเดินไปดูของจริงหลังบ้านให้เห็นกับตา ฉันคิดว่าทุกอย่างรอบตัวเรามีทั้งภาษา วิทยาศาสตร์ เลข สังคม ประวัติศาสตร์อยู่ในนั้น เธออยากคุยด้วยร้อยแปด กลัวจะพูดแต่เรื่องตัวเอง
ความจริงเธอชอบว่ายน้ำ อยากกระโจนลงสระ รู้สึกอิสระยามแหวกว่ายกลางสายน้ำ
วันไหนราวบ่ายสามแว่วเสียงฟ้าคำรามแต่ไกล เธอส่งกระแสจิตนอกหน้าต่าง จะตกก็รีบตก ไม่อย่างนั้นจงผ่านเลยไป เธอภาวนาถึงแสงแดดยามเย็น เฝ้ามองภาพเด็กชายว่ายน้ำเคียงเขา เท่านี้ก็พอแล้ว หล่อเลี้ยงนาทีเช่นนี้ไว้ ไม่มีใครต้องเปิดบาดแผลใคร
“สกายชอบรถมากกว่าเครื่องบิน” เริ่มชวนเพื่อนต่างวัยคุย
“รถอะไรบ้างครับ”
“ลัมโบร์กินี แอสตันมาร์ติน มาเซราติ” เจื้อยแจ้ว
เขากับเธอมองหน้ากัน
“เกิดมาเพิ่งเคยได้ยินค่ะ ไม่รู้เรื่องหรอก” เธอพึมพำ
“เอาลัมโบร์กินีสีอะไรครับ จะซื้อมาให้”
นิ่งคิดก่อนตอบ “สีส้มครับ”
เธอรีบปฏิเสธแทนลูกอย่างเกรงใจ ไม่ต้องนะคะ ของเล่นเต็มบ้าน เธออยากตีเขาจริง ๆ เห็นเขายิ้มตอบเหมือนเด็กดื้อ และดึงดันซื้อจนได้
“สกายยกเครื่องบินให้แม่”
ค่ำคืนหลังครอบครองรถคันใหม่ เด็กน้อยวางโมเดลลัมโบร์กินีข้างหมอน
ลืมตามองเพดาน ในความมืดเธอพาเขากลับมาที่เดิม ปลดปล่อยความคิดสานต่อ


กลางม่านหมอก
หลายเพลงผ่าน นักร้องสาวบอกกล่าว ขอเพลงได้นะคะ
เพลงอะไรดีล่ะ ต่างฝ่ายต่างรอ
เธอเคยเขียนขอเพลงตามร้านอาหาร หยิบปากกา กระดาษทิชชู่ เนิ่นนานจนจำไม่ได้ ครั้งสุดท้ายเธอเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง แก้วเบียร์บนโต๊ะ กลุ่มเพื่อน แต่ละภาพปรากฏในห้วงนึกเหมือนชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ กระจัดกระจาย พร่าเลือน
ใบหน้าเขาห่างเธอแค่คืบ ...แค่คืบ เท่านั้น ฉันให้งงงัน มิกล้าเอ่ย... เธอเผยยิ้มโดยไม่รู้ตัว
คิดอะไรอยู่ เขาทัก
ส่ายหน้า บางที คำหนึ่งคำ พาเสียงเพลงลอยมาด้วย
เธอมีชื่อเพลงอยากขอแล้ว แต่ไม่คิดเอื้อมหยิบทิชชู่บนโต๊ะ อยากปล่อยดวงตาคุยกัน ความคิดดำเนินต่อไป เพลงที่ร้องว่า เหมือนฝนตกตอนหน้าแล้ง เหมือนเห็นสายรุ้งขึ้นกลางแจ้ง เหมือนลมหนาวเดือนเมษา รู้จักมั้ยคะ ให้บทสนทนาในใจคลอเคลียระหว่างกัน

เครื่องบินวางมุมหนึ่งบนโต๊ะกินข้าวเคียงข้างลูกโลกเธอซื้อให้เป็นของขวัญ “วันหนึ่งลูกจะเดินทางท่องไป” เขามองตาแป๋ว เธอยิ้มละไม กลืนถ้อยคำ โลกของแม่แคบและเหงา
ชีวิตประจำวันไร้เครื่องสำอาง แต้มเรียวปากด้วยลิปสติกชมพูอ่อนราคาร้อยกว่าบาทจากร้านวัตสัน รอคอยช่วงเวลาซึ่งใกล้เคียงความสุข
คำไม่กี่คำและดวงตา สองสิ่งเพิ่มจากความเงียบ
เขาแค่มีน้ำใจ แสดงมิตรไมตรีต่อเด็กวัยหกขวบ และกระตุ้นหัวใจหญิงผู้หนึ่ง นำวิญญาณสาวช่างพูดคนนั้นกลับมา แม้ล่องลอยกลางสายหมอกก็ตาม
In other words, hold my hand In other words, baby kiss me ข้างในเธอฮัมเพลง ยักไหล่ แค่ลิปสติก สีสันบนริมฝีปาก หลักฐานเดียวยืนยันความรู้สึกภายใน
พระจันทร์กับพื้นโลก ผืนดินและบนฟากฟ้า ระยะห่างคนเรา
บางทียิ่งไกล ยิ่งสวยงาม
เธอคลุมเช็ดตัวผืนใหญ่ให้ลูก เมฆเทาทึมตั้งเค้าแต่ไกล เขาตามขึ้นจากสระ ค้อมหลังเล็กน้อยเดินมาหา “ไปก่อนนะครับ” ก้มหยิบกระเป๋าเป้สีดำ เพียงเอื้อมมือ ใกล้ที่สุดแล้ว
“ค่ะ”
แสนสั้น
คุยกันด้วยเสียง เพียงเพื่อพูดคำเดียว ตัวหนังสือฟุ้งนับร้อยในอากาศ บอกเล่าโดยปราศจากคำนั้น มนุษย์ช่างซับซ้อน
แล้วพบกันใหม่.


*ส่วนหนึ่งจากคำนำสำนักพิมพ์ openbooks ฉบับครบรอบ 60 ปี ของฝากจากทะเล แอนน์ มอร์โรว์ ลินด์เบิร์กห์





ขอสงวนสิทธิ์ข้อความทั้งหมดภายในเว็บไซท์
Copyright by http://www.espressoandcigarette.com