¦ ¦ ¦ ¦


ฉบับที่ 13 : ประจำวันที่ 1 มิถุนายน 2568


เจย์ คนที่ 7
โดย ธีรภัทร์




ผมพบเจย์คนที่ 1 ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าวที่สุดในเชียงใหม่
ฝุ่นพิษลอยแทรกซึมทุกอณูอากาศ สร้างปราการหมอกมรณะเหนือฟ้าหลัว แสงอาทิตย์ยังศิโรราบ ไม่อาจแผดจ้ามาเยือนเต็มกำลังเหมือนทุกครั้ง แต่วันนี้ยังคงเป็นวันที่ร้อนที่สุดจากที่ผ่านมา
ใบหูกวางปลิดคว้างกลางอากาศร่วงหล่น ผมเห็นหน้าเธอเพียงครึ่งบนจากหน้ากากที่ปิดไว้ เธอสวมเสื้อยืดสีขาว สกรีนข้อความ Fxxk This World และกางเกงยีนขาสั้นเหนือเข่าขาด ๆ ยืนอยู่อีกฝั่งของถนน มือซ้ายถือไอศกรีมโคนไว้จนเลอะมือ ความหนืดเหนียวรสวนิลาหยดแรกกระทบพื้นยางมะตอยร้อนฉ่า ก่อนที่สายธารของการไหลล้นจะหลั่งทะลักเปรอะมือเธอ
คงสุดที่เธอจะทนไหว มือขวาจึงเกี่ยวหน้ากากอนามัยออก สะบัดผมหน้าม้าที่เริ่มเปียกชื้นตรงหน้าผากเพราะเม็ดเหงื่อ และเมื่อผมเห็นเธอเป็นครั้งแรก ผมจึงรู้ทันทีว่าเธอไม่เหมือนคนในชีวิตที่ผมเคยพบเจอมาก่อน
ดวงตาของเธอคมเฉี่ยว ใบหน้ากลมมน สอดรับกับจมูกโด่งรั้น ริมฝีปากสีพีชกำลังละเลียดไอศกรีมโคนตามจังหวะเรียวลิ้นซ้ายขวา แต่กลับทำให้ผมสั่นสะท้านและตกหลุมรักเธอเป็นครั้งแรก
ด้วยเพราะมือขวาที่เธอเพิ่งจะเกี่ยวหน้ากากออก ยังมีหนังสือของมาร์เกซอยู่ด้วยเช่นกัน
ผมเหมือนถูกสาปให้อยู่ในหนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว ติดค้างอยู่อีกฝั่งของทางม้าลายหน้าโรงพยาบาล ในวินาทีที่เห็นปกหนังสือของมาร์เกซ เป็นจังหวะเดียวกับที่รถกู้ภัยเพิ่งจะเปิดไซเรนดังลั่นขับผ่าน เป็นจังหวะเดียวกับที่ใครบางคนกำลังกดสัญญาณไฟข้ามทางม้าลาย เป็นจังหวะเดียวกับที่ใบหูกวางอีกมากมายกำลังร่วงหล่นเพราะลมพัด และเป็นจังหวะเดียวกับที่ผมกำลังตกหลุมรักหญิงสาวแปลกหน้าที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อมาก่อน
และเมื่อเธอหันซ้าย หันขวา เดินมุ่งตรงมาที่ผม ในชั่วขณะของวินาทีที่เธอบังเอิญหันมาสบตา โดยไม่ได้ตั้งใจ หรืออาจจะตั้งใจ ผมจึงปวารณาหัวใจให้เป็นของเธอไปโดยปริยาย ด้วยการเดินไปทางเดียวกับเธอ มุ่งตรงไปยังร้านกาแฟที่ติดกับโรงพยาบาล อยู่จากที่ไกล ๆ มองเธออ่านมาร์เกซ และนั่นทำให้ผมมีจังหวะได้เข้าไปทักทายกับเธอ และชวนคุยในสิ่งที่เธอเองก็สนใจเหมือนกัน
เธอชื่อว่าเจย์ เกิดปี 1997 ปีนี้เธออายุยี่สิบแปดเท่ากับผม เธอทำอีเวนต์คอนเสิร์ตวงนอกกระแสในเชียงใหม่ วันว่างของเธอมักจะหยิบหนังสือออกมาอ่านที่ร้านกาแฟฝั่งโรงพยาบาล เพราะใกล้กับที่พักของเธอที่อยู่อีกฝั่ง ในหอพักที่มีแม่เป็นพยาบาลอยู่ด้วย
เจย์ไม่มีใคร ซึ่งนั่นถือเป็นเรื่องที่ดี ไม่น่าเชื่อว่าเธอเองก็รู้จักผม ศิลปินที่เพิ่งจะมีผลงานเพลงได้สองเพลง ยอดวิวอันแสนน้อยนิดในแอปสตรีมมิงและยูทูปไม่ได้ทำให้ผมใจฝ่อ หากแต่กลับยิ่งทำให้ผมพยายามต่อไป อยากนำความสำเร็จไปบอกแม่ว่าผมไม่ต้องทำงานราชการอย่างที่แม่คาดหวังผมก็อยู่ได้ แต่ได้โปรดรอก่อน ตอนนี้ผมยังทำงานกลางคืนเจียดเงินไปวัน ๆ แต่อีกไม่นานผมจะต้องโด่งดังอย่างแน่นอน
ไม่น่าเชื่อว่าเจย์จะชอบผม ผมทึกทักเอาแบบนั้น ชายร่างท้วมหนวดเฟิ้ม ชอบสวมเสื้อลายสตรีทและกางเกงยีน เกากีต้าร์ทุกวันเพื่อไล่หาโน้ตที่ถูกใจ ฮัมประโยคเรื่อยเปื่อยออกมาเพื่อหวังว่าจะได้ท่อนฮุคจนเป็นกระแส เผลอคิดไปว่าประโยคที่เพิ่งคิดได้คงเป็นไวรัล แต่เมื่อปล่อยเพลงออกไปทุกอย่างกลับเงียบสนิท
เพียงแค่หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ ผมและเจย์เราตกลงคบกัน
แรกเริ่มเราพูดคุย พูด พูดกัน และพูดมากขึ้น แลกเปลี่ยนเรื่องราวของความชอบในเส้นทางเดียวกัน หนังสือเล่มโปรด นักเขียนที่อยากขอลายเซ็นก่อนตาย แมวส้มหน้าห้องที่ไม่รู้ว่าเป็นของใคร เราพูดกันมากราวกับพรุ่งนี้โลกกำลังจะสลาย พูดกันราวกับเป็นวันสุดท้ายที่จะได้มีปากและเส้นเสียง และเมื่อเราพูดกันมากมายกันถึงเพียงนั้น กลับมีช่องว่างหนึ่งที่ปรากฏขึ้นมาอย่างเงียบงันภายในห้องหัวใจทั้งสี่
และโดยที่ผมไม่ทันสังเกต เจย์บอกว่าเธอเบื่อผม เราหมดเรื่องที่จะพูดคุยกันแล้ว ความพิเศษของกันและกันถูกแลกเปลี่ยนจนหมด สิ่งมหัศจรรย์ง่าย ๆ ที่ผมจินตนาการ ปั้นแต่ง กลับกลายเป็นเพียงความธรรมดาไปเมื่อรักของเจย์จืดจาง ในขณะที่ผมยังไม่อยากแยกทางกับเธอ
เธอสารภาพตามตรง ว่าเธอคิดว่าจะเข้ากับผมได้มากกว่านี้ ความพิเศษที่ผมเผลอไผลและทึกทักเอาเองเสียฝ่ายเดียวทำให้ผมผิดหวัง สุดท้ายเราเลิกกันในวันแรกของสงกรานต์ พร้อมกับหยาดน้ำตาแรกที่ปรากฏ
ตั้งแต่นั้นผมจึงตั้งปณิธานกับตัวเอง
ผมจะหาเจย์คนใหม่ให้เร็วที่สุดเพื่อให้ลืมเจย์คนเก่า
บุคคลที่ทำให้ผมร้าวราวในสงกรานต์แห่งความร้อนระอุ


ผมพบเจย์คนที่ 3 ในวันที่ฝนตกหนักที่สุดในเชียงใหม่
ในขณะที่เพิ่งเลิกรากับเจย์คนที่ 2 ไปเมื่ออาทิตย์ก่อน
เจย์คนที่ 2 เป็นผู้หญิงเรียบร้อย อ่อนหวาน เป็นเรื่องแปลกที่เธอตกลงปลงใจกับผมเมื่อเจอกันที่ร้านหนังสือ อันที่จริงเธอไม่ได้ชื่อเจย์หรอก แต่ผมจำชื่อเธอไม่ได้แล้ว จึงเหมารวมว่าเธอยังเป็นเจย์ แต่เป็นเจย์คนอื่น เจย์คนที่ 2 หลงคารมของผมที่รอบรู้ในเรื่องต่าง ๆ เราตัดสินใจคุยกันสองวัน เธอเองก็ขอคบ ทุกอย่างช่างรวดเร็ว และเมื่อผมหมดเรื่องจะคุย กลายเป็นผมเองที่เบื่อ ก่อนเป็นฝ่ายบอกเลิกเธอไป
ช่างเจย์คนที่ 2 เถอะ ตอนนี้ผมกำลังเจอเจย์คนที่ 3
เชียงใหม่ปราศจากแสงแดดมาเป็นวันที่สี่ ผมอยู่ในชุดที่เริ่มมีกลิ่นอับ ถือร่ม เดินออกมาหยุดอยู่ที่ร้านแผ่นเสียงใจกลางเมือง
เป็นเธอเองที่เพิ่งจะก้าวเข้ามาในร้าน เสื้อกล้ามบางรัดรูปเปียกโชก เคราะห์ดีที่มีผ้าคลุมสีดำทับไว้ ผมเลือกแผ่นเสียงของ Slowdive เป็นจังหวะเดียวกับที่เธอผลักประตูเข้ามา เป็นจังหวะเดียวกับที่ทำนองแรกของ Alison ดังขึ้น เธอเองก็ชะงักไปเหมือนกัน และเมื่อท่อนแรกเริ่มบรรเลง ผมและเธอก็ฮัมออกมาพร้อมกัน
เราสองคนหัวเราะออกมา ไม่คิดว่าเราจะฟังวงเดียวกัน อาจเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ช่างเป็นความบังเอิญที่แสนตรงใจ ผมคิดไปว่าเธออาจเป็นเจย์คนที่ผมตามหา บุคคลที่ทำให้ผมลืมเจย์คนที่ผ่าน ๆ มาได้
ยอมรับว่าเธอไม่ตรงสเป็ก เธอขาวเกินไป เธอหมวยเกินไป แต่รอบนี้ผมเปิดใจ
“ผมนนท์”
“ฉันเจย์”
ช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่เธอก็ชื่อเจย์
เรากลายเป็นลูกค้าร้านประจำแผ่นเสียงนี้ไปโดยปริยาย
ผมและเจย์คนที่ 3 สร้างเพลงแนวทดลองร่วมกันภายในห้องสี่เหลี่ยมคับแคบของผม เธอเข้ากับผมได้ดี และผมเข้ากับเธอได้ดี หนนี้ผมทุ่มหมดทั้งหน้าตัก ให้ไปทั้งความรักและความฝัน ด้วยเพราะเชื่อว่าเธอคือเจย์คนที่ผมตามหา
แต่ในช่วงหลังเจย์กลับห้องดึกขึ้น เธอว่างงาน เพราะเพิ่งลาออกจากร้านกาแฟ เงินเก็บที่มีเริ่มร่อยหรอ ผมไม่คิดค่าเช่าเมื่อเธอย้ายมาอยู่ด้วย เพียงสองอาทิตย์เจย์ก็เริ่มมีท่าทีห่างเหินผมไปอย่างเห็นได้ชัด
“ไปไหนมา”
“เที่ยว”
เจย์เบือนหน้าหนี ทิ้งกระเป๋าผ้าลงพื้น แต่ผมจับสังเกตเธอได้ไวมากกว่านั้น
สายตาของเธอมีบางอย่างที่ปิดบังอยู่ภายใน ผมจึงจับแขนเธอให้มาคุยกันทันที
“ปิดบังอะไรนนท์” ผมจ้องลึกในดวงตาของเจย์ คว้านลงไปในหลุมดำอ้างว้างที่เธอเคยเล่าให้ฟังบ่อยครั้ง
ไม่น่าเชื่อว่าในจุดดำนั้นผมเห็นใครอื่นที่ไม่ใช่ผม เป็นคนที่ทำให้เจย์เปลี่ยนไป และกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอต้องกลับดึกในช่วงนี้
“เจย์เจ็บ!”
เมื่อรู้ตัวว่าบีบแขนอีกฝ่ายแรงไป ผมถึงได้คลายมือออก ดวงตาของเจย์สั่นระริก หวาดกลัวผมราวกับเป็นปีศาจร้ายที่มารีดเค้นความจริง แต่หากเจย์นอกใจ ผมย่อมมีสิทธิ์ที่จะถามเธอให้รู้ความ
จู่ ๆ ภาพของเจย์คนที่ 1 ก็ปรากฏขึ้นมาทับซ้อน ตามมาด้วยเจย์คนที่ 2 อาการปวดหนึบแล่นปราดเข้ามาจนผมไม่อาจทัดทานไหว
ผมล้มลง กรีดร้อง เห็นภาพเจย์คนที่ 3 กำลังมีความสุขกับคนอื่นที่ไม่ใช่ผม
ไม่รู้ตัวว่าปล่อยให้ตัวเองกรีดร้องทรมานแบบนั้นนานเท่าไหร่
แต่เมื่อได้สติและลืมตาขึ้นมา
ผมก็ไม่เจอเจย์คนที่ 3 อีกต่อไป


ผมไม่เข็ดขยาด เฝ้าตามหาเจย์คนอื่น ๆ ด้วยหวังว่าจะเจอเจย์คนที่ทำให้ผมใจเต้นแรงเหมือนกับเจย์คนที่ 1
แต่มันคงเป็นเรื่องยากที่จะหาเจย์ในเมืองใหญ่เช่นนี้ ทางเดียวที่ผมจะรู้ได้ว่าเธอเหมือนกับเจย์คนที่ 1 หรือเปล่า จึงเป็นการทดลองรักกับผู้หญิงหลายคน เจย์คนที่ 4, 5 และ 6 ทำให้ผมรู้ว่าพวกเธอไม่ใช่
ผมพบเจย์คนที่ 4 ในบาร์ที่กำลังร้องไห้ให้กับเพลงของ Doris Day พบเจย์คนที่ 5 ในงานคอนเสิร์ตดนตรีนอกกระแสที่กระโดดโลดเต้นเพียงลำพัง และพบเจย์คนที่ 6 ตรงสะพานเมื่อเธอกำลังจะกระโดดไปอีกโลกหนึ่งที่ไม่เคยรู้จัก
แต่ไม่เลย
พวกเธอไม่อาจเป็นเจย์คนที่ 1 ให้ผมได้
พวกเธอไม่อาจทำลายช่องว่างที่ขยับขยายขึ้นทุกขณะในใจผมได้เลยสักคน
‘คุณมันเลว’
‘ขอให้คุณเจอผู้หญิงที่นิสัยเหมือนคุณ’
‘ไปตายซะ’
และอีกหลายประโยคที่ผมไม่รับฟัง ปล่อยให้ผ่านไป
เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจเสมอ เมื่อการข้ามทางม้าลายทุกครั้งยังทำให้ผมเห็นหญิงผู้ถือมาร์เกซและไอศกรีมอยู่อีกฝั่ง มองผมนิ่งด้วยความเฉยชา ปล่อยให้ไอติมรสวนิลาละลายลงพื้นอยู่โดยไม่ยกขึ้นกัดกิน มีใบหูกวางปลิดปลิวอยู่รายล้อม
และยังเป็นเรื่องที่น่าเศร้าและน่าเศร้า เมื่อผมไม่สามารถข้ามทางม้าลายได้อีกต่อไป ผมต้องใช้การข้ามทางปกติ ปราศจากสัญญาณไฟจราจร แลกมากับความอันตรายและเสียงบีบแตรก่นด่าหลายครั้งเมื่อใจลอย
ไม่มีใครสามารถเป็นเจย์คนที่ 1 ให้ผมได้เลยแม้แต่คนเดียว
ผมกลับมาคิด ในบางขณะของค่ำคืน หรือเป็นผมที่ควรหยุดการทดลองรักและคาดหวังในตัวคนใหม่ ๆ แต่ตราบใดที่มาร์เกซยังวางตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเตียง โดยที่ผมไม่กล้าเก็บมันลงกล่อง ด้วยเพราะเป็นตำแหน่งสุดท้ายที่เจย์คนที่ 1 วางไว้ และบอกว่าจะกลับมาอ่านกับผมด้วยกันให้จบ เมื่อนั้นผมก็จะยังไม่หยุดพยายาม จะตามหาเจย์คนอื่นเพื่อสานต่อหนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยวให้จบ


และเหมือนว่าโชคชะตากำลังทดสอบผมอีกครั้ง
ค่ำคืนนั้นผมเล่นดนตรีอยู่ที่ร้านเหล้ากลางเมือง ร้านเล็ก ๆ ที่มีผู้คนบางตาในแต่ละวัน หลาย ๆ ครั้งเจ้าของร้านมักดื่มเบียร์กับผม หลังการดีดกีต้าร์ร้องเพลงให้ความว่างเปล่าจบลง และเพิ่งนึกได้ว่ายังมีผู้ฟัง เมื่อพี่เจ้าของร้านปรบมือให้ผมด้วยมือเพียงคู่เดียว
ในห้วงความคิด เบื้องหน้าของผมกึกก้องด้วยโห่ร้องของความชื่นชมยินดี เสียงผิวปาก ปรบมือ สั่นสะเทือนซึมลึกอยู่ภายในใจของผมจนน้ำตาเอ่อ ผมยิ้มรับจินตนาการที่เกิดขึ้น กระทั่งสปอร์ตไลต์ส่องไปตรงกลางวง นั่นจึงทำให้ผมเห็นเธออีกครั้งหลังเลิกรา
เจย์คนที่ 1
เธอยืนอยู่ตรงนั้นในชุดเสื้อยืดสีขาว Fxxk This World มือขวาถือมาร์เกซ มือซ้ายถือไอศกรีมวนิลา ท่ามกลางใบหูกวางที่ร่วงหล่นจากเพดานมืดมิด เธอยืนใบหน้าเรียบเฉย จ้องมองผมตาไม่กะพริบ ผมมองไอศกรีมละลายหยดลงพื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนที่เจย์จะระเบิดเสียงหัวเราะสมเพชผมออกมากลางวง และนั่นทำให้ผมเห็นว่าคนรอบข้างหายไป มีแค่เจย์เพียงคนเดียว
‘แกไม่มีทางหาใครได้เหมือนฉัน’
‘คนอย่างแกมันไม่มีใครรัก’
‘ทุกอย่างในชีวิตแกต้องล่มสลาย’
ผมเบิกตาโพลง ตัวสั่นเทิ้ม เมื่อเจย์ย่างกรายเข้ามาใกล้ผมเรื่อย ๆ พร้อมไอศกรีมไหลหยดเป็นทาง มือขวาของเธอชี้หน้าผมในขณะที่ยังถือมาร์เกซ คล้ายถูกตรึงด้วยมือที่มองไม่เห็น ผมไม่สามารถเดินออกไปจากที่นี่ได้ รับฟังปีศาจเบื้องหน้าพ่นคำผรุสวาทมากมาย
ไม่ ไม่
แกไม่ใช่เจย์คนนั้น
เจย์ไม่มีทางด่าผมด้วยถ้อยคำหยาบโลนเหล่านี้
แกเป็นแค่ปีศาจที่ฉันสร้างขึ้น!
ปิดตาสนิท ยกสองมือปิดหู แต่เสียงของปีศาจเบื้องหน้ายังเสียดแทงเข้ามาในโสตประสาทของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันขุดทุกความร้าวรานในจิตใจผมออกมาเปิดเปลือย แผลที่แสร้งว่าหายดี แต่กลับถูกมันดึงออกมา โรยเกลือลูบแผลอย่างเลือดเย็น ทิ้งความเจ็บแสบและปวดร้าวให้ผมเจียนตายอยู่ตรงนั้นบนเวที
ผมร้องไห้
ร้องไห้ออกมาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ แต่ผมไม่สามารถแบกรับถ้อยคำและความทรงจำเหล่าได้นั้นอีกต่อไป
และในขณะที่สติเฮือกสุดท้ายของผมกำลังจะดับสูญ วินาทีสุดท้ายที่ผมกำลังจะสลบไป สัมผัสเย็นเยียบตรงต้นแขนขวาที่เพิ่งประทับก็ดึงผมให้กระตุกเฮือกสู่โลกความเป็นจริง
“เป็นอะไรรึเปล่าคะ ?”
เป็นเวลานาน กว่าที่ผมจะรวบรวมสติเพื่อประมวลว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่
เป็นผมเองที่หยุดยืนอยู่ก่อนถึงหน้าร้านเหล้า เตรียมจะมาร้องเพลงในค่ำคืนนี้ แต่กลับพบว่าบัดนี้ตัวเองนั่งปิดหูตัวเองอยู่ตรงพื้นท่ามกลางอากาศเย็นจากด้านนอก เป็นความทรงจำที่แล่นเข้ามาทำงานในตอนที่ผมไม่ทันตั้งตัว สร้างปีศาจร้ายเจย์คนที่ 1 ขึ้นมาหลอกหลอนตัวเอง
และเป็นเธอคนแปลกหน้าคนนี้ ที่ฉุดกระชากผมให้ฟื้นตื่นจากฝันร้ายอันไม่พึงปรารถนา
ดวงตาสั่นระริกของผมสบมองเธอ ผมไม่เคยเจอเธอมาก่อน เธอเป็นผู้หญิงผมยาวสีแดงเพลิง เจาะจมูกด้านขวา สวมเสื้อฮิปปี้ตัวโคร่งมองผมด้วยความเป็นห่วง ทั้งที่ตัวเธอก็ยังสั่นจากอากาศเย็นเฉียบ หากแต่ปราศจากเสื้อกันหนาวสวมทับ
“พอดีฉันจำได้ว่าคุณเป็นนักดนตรี เห็นนั่งอยู่ตรงนี้เลยเข้ามาถาม โอเครึเปล่าคะ”
“คะ…ครับ”
ผมหยัดตัวลุกขึ้นพร้อมกีต้าร์ที่แบกมา รวบรวมสติ เก้อเขินเล็กน้อยที่เพิ่งรู้ตัวว่าแสดงความอ่อนแอออกไปอย่างไม่ทันตั้งตัว
เธอยิ้มรับก่อนจะเดินไปเข้าร้านขนาดสองคูหาที่ผมต้องมาแสดง ผมมองไล่หลังเธอไปจนบานประตูปิดลง
แสงอาทิตย์โรยราไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ความมืดจึงโอบล้อมเราไว้ทั้งเมือง ท่ามกลางแสงไฟและแสงตึกรามอาคารบางจุดให้ความสว่าง
ภาพเจย์คนที่ 1 ยังแจ่มชัด ภาพของเธอที่อยู่อีกฝั่งของทางม้าลายฉายชัดขึ้นเรื่อย ๆ สลับถึงช่วงเวลาที่เราใช้ด้วยกัน ภายในห้อง ในร้านกาแฟ ในสถานที่ต่าง ๆ แลกเปลี่ยนความฝันกันและกันมากมาย กระทั่งภาพสุดท้ายคือเธอยืนอยู่ด้านล่างเวที บริภาษผมด้วยถ้อยคำหยาบคาย เยาะเย้ยว่าผมไม่มีทางหาคนอย่างเธอได้
ก่อนที่ภาพของผู้หญิงผมแดงเพลิงจะโผล่เข้ามา
ผมสบมองเธอจากด้านนอก เห็นเธอมาเพียงลำพัง นั่งดื่มเบียร์อยู่ตรงบาร์ ดวงตาของเธอล่องลอยไปไกลแสนไกล คล้ายกับกำลังคิดถึงใครอีกคน
ผมคิด
ผมพบเจย์คนที่ 7 ในวันที่อากาศหนาวที่สุดในเชียงใหม่





ขอสงวนสิทธิ์ข้อความทั้งหมดภายในเว็บไซท์
Copyright by http://www.espressoandcigarette.com