Ring the Bell
โดย มีนมีนา
ฉันไม่เคยรู้ว่าอาการที่เป็นก่อนจะเป็นลมเรียกว่า ‘ใจสั่น’ จนกระทั่งวันที่นอนอยู่บนเตียงในห้องตรวจที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งขณะทำ Tilt table test จะเรียกว่า ‘นอนบนเตียง’ ก็ไม่รู้ว่าถูกต้องไหม เพราะฉันในตอนนั้นเหมือนถูกมัดและรัดติดกับเตียงมากกว่า และเตียงที่ว่าไม่ได้ราบขนานไปกับพื้น แต่จะถูกปรับความชันให้เอียงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเกือบจะยืนตรง ยิ่งไปกว่านั้นมีสายระโยงระยางเชื่อมต่อระหว่างร่างกายของฉันกับหน้าจอและเครื่องมือต่าง ๆ ที่ไม่รู้จัก ห้องตรวจมืดและเย็นกว่าปกติ นอกจากไฟจากหน้าจอ ในห้องนี้ก็แทบจะไม่มีแสงสว่างจากสิ่งอื่นเลย มีหมอและพยาบาลที่คอยจดบันทึกและถามอาการทุก ๆ องศาของเตียงที่ถูกปรับเพิ่มขึ้น
“ตอนนี้รู้สึกยังไงบ้างครับ” หมอหันมาถามคำถามเดิมอีกครั้ง ก่อนจะกลับไปมองหน้าจอ ทำให้ฉันเห็นตัวเลขและเส้นกราฟขยุกขยิกสะท้อนผ่านแว่น
“ปกติค่ะ” ฉันตอบด้วยคำตอบเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือ จริง ๆ แล้วฉันรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อยทั้ง ๆ ที่อยู่เฉย ๆ
“รู้ตัวไหมครับว่าตอนนี้กำลังใจสั่นอยู่” หมอถามคำถามใหม่ด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไป ก่อนจะบอกว่าฉันต้องตรวจอย่างอื่นเพิ่มเติม และดูเหมือนว่าคืนนี้ต้องนอนที่โรงพยาบาล
ตอนนั้นเองที่ฉันรู้ว่าอาการนี้ที่เป็นอยู่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาคือ ‘ใจสั่น’
ใจสั่น เป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนให้รู้ตัวว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายของฉัน มักมาพร้อมกับก้อนมวลความเย็นที่เริ่มจากท้ายทอย เคลื่อนมายังใบหน้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นความมืดที่ค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามาทางหางตา แขนและขาเริ่มอ่อนแรง สุดท้ายสิ่งที่เห็นตรงหน้าจะมีเพียงความว่างเปล่าสีดำ เสียงทุกอย่างที่เคยได้ยินจะเงียบสนิท จุดนี้เองที่ร่างกายของฉันจะไม่สามารถต้านแรงโน้มถ่วงได้อีกต่อไป ภาพตัด และก็ล้มลง
“Happy birthday นะ”
ฉันเห็นแจ้งเตือน ข้อความจากเขาปรากฎขึ้นตอนกำลังนั่งรอฝ่ายประกันติดต่อห้องพักสำหรับผู้ป่วยใน ใจเต้นแรงจนรับรู้ได้ กำลังจะกดเข้าไปตอบกลับ เขาก็โทรมาพอดี ฉันชะงัก หายใจเข้าลึก ๆ หวังให้ใจเต้นช้าลงและน้ำเสียงเป็นปกติสักหน่อย ก่อนจะกดรับสาย
เขาได้ยินเสียงพยาบาลเรียกชื่อฉันตอนคุยกันเลยถามจนรู้ว่าฉันอยู่ที่โรงพยาบาล เหมือนเขากำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ เลยไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรมาก ต้องรีบวางสาย ดีเหมือนกันเพราะการมาโรงพยาบาลคนเดียวทำให้ต้องคอยตั้งใจฟังเสียงเรียกชื่อและเสียงประกาศของพยาบาลไปห้องตรวจต่าง ๆ ฉันทำได้ไม่ดีแน่ถ้าต้องคุยโทรศัพท์กับ ‘เขา’ ไปด้วย
ครึ่งชั่วโมงผ่านไปฉันยังนั่งรออยู่ที่เดิม รู้สึกว่าหัวใจเพิ่งจะกลับมาเต้นเป็นปกติ แต่แล้วก็กลับมาเต้นเร็วอีกครั้งทันทีที่ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยจากข้างหลัง
“เป็นยังไงบ้าง ยังมีอาการนั้นอยู่อีกเหรอ”
ใจฉันเต้นเร็วขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นเขา เขามาที่นี่
“อือ ครั้งนี้คิดว่าจะลงบนที่นอน ที่ไหนได้ ลงตรงขอบเตียง ตอนแรกก็จะมาทำแผลเฉย ๆ แต่เป็นบ่อยเกินไปแล้ว ตรวจไปเลยดีกว่า” ฉันพยายามตอบด้วยน้ำเสียงปกติที่สุด
“ตรวจก็ดีแล้ว ล้มแบบนี้มันอันตรายมากนะ แล้วหมอว่าไงบ้าง”
“ยังไม่รู้เลย เดี๋ยวต้องตรวจเพิ่ม คืนนี้ต้องนอนโรงพยาบาลแหละ”
“เราคงอยู่เฝ้าไม่ได้นะ แต่คิดว่ามารับตอนออกจากโรงพยาบาลได้”
“ไม่เป็นไรหรอก นี่อยู่ได้ และก็กลับเองได้ด้วย ไม่อยากรบกวน”
“อือ เอาที่สบายใจนะ ยังไงก็บอกเราได้” ฉันพยักหน้า ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
“ในรถมียาดมยังไม่ได้แกะกระปุกนึง เป็นของขวัญวันเกิดนะ ได้ไหม” เขายื่นยาดมกระปุกเล็กสีเขียวให้ฉันพร้อมรอยยิ้ม
ฉันรับไว้ทั้ง ๆ ที่ไม่ชอบกลิ่นยาดมเท่าไหร่ ทุกครั้งที่ฉันสูดกลิ่นสมุนไพรพวกนั้นที่อัดแน่นอยู่ในกระปุกหรือแม้แต่ดมกลิ่นอ่อน ๆ ของพิมเสนเข้าไป ฉันจะจามและน้ำมูกไหลทันที แต่ก็ต้องดมเวลามีอาการ เพราะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ฉัน ‘รู้สึก’ ดีขึ้นได้
เขาอยู่กับฉันจนกระทั่งฉันย้ายเข้าห้องพักผู้ป่วย เขาจึงกลับ แต่สักพักหลังจากที่พยาบาลเอาข้าวมาให้ ฉันได้ยินเสียงเคาะประตู ไม่คิดว่าจะเป็นเขาอีกครั้ง แต่เขายืนอยู่ตรงนั้นจริง ๆ พร้อมกล่องข้าวเล็ก ๆ ในมือ และน้ำเปล่าขวดใหญ่ในมืออีกข้าง
“คิดว่าน่าจะยังไม่ได้กินอะไร เลยไปซื้อมาให้ก่อน” เขาพูดพร้อมชูสิ่งที่อยู่ในมือทั้งสองข้าง
“ไม่คิดว่าจะกลับมาอีก”
“มีขนมจีบหมูไข่เค็มของชอบด้วยนะ กินให้หมดด้วย เดี๋ยวไม่มีแรงแล้วล้มอีก”
“มีแล้ว” ฉันบอกพร้อมหันหน้าไปทางถาดอาหารว่างเปล่าที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง
“ดีเลย งั้นเดี๋ยวเรานั่งกินกล่องนี้ที่นี่” พร้อมลากโต๊ะที่มีถาดอาหารมาตรงหน้าฉัน เขานั่งลงข้าง ๆ กินโดยไม่มีบทสนทนาอะไรพิเศษ หลังจากกินเสร็จ เขาก็ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ไปแล้วนะ”
“อือ ขอบคุณที่มานะ”
เขาแค่พยักหน้าเบา ๆ แทนคำตอบ ก่อนจะเดินออกไปช้า ๆ โดยไม่หันกลับมา เสียงประตูปิดลงอย่างแผ่วเบา เหลือเพียงฉันที่ยังนั่งนิ่งอยู่บนเตียง มองไปยังเก้าอี้ว่างที่เขาเคยนั่งอยู่ ไม่รู้เลยว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไร หรือว่าจะไม่มีวันนั้นอีกเลย
หมอบอกว่าอาการของฉันเรียกว่า POTS syndrome (Postural orthostatic tachycardia syndrome) ระบบประสาทอัตโนมัติของฉันทำงานผิดปกติ ส่งผลให้หัวใจเต้นเร็วเกินไปเวลาเปลี่ยนท่า บวกกับความดันที่ค่อนข้างต่ำ ทำให้ฉันมักจะหน้ามืด หมดสติและล้มลงอยู่บ่อย ๆ ด้วยอาการที่เป็นอยู่ไม่อันตรายเท่าไหร่ แต่การล้มหลังจากมีอาการเหล่านั้นต่างหากที่ต้องระวัง หมอไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัดของกลุ่มอาการนี้ มีความเป็นไปได้ตั้งแต่ติดเชื้อ ได้รับวัคซีน ไปจนถึงเรื่องของสภาพจิตใจ สิ่งที่ทำได้คือกินยาเพื่อคุมอาการและหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้หัวใจเต้นเร็ว
หมอยังให้ฉันใส่ smartwatch ตลอดเวลา และจดบันทึกอาการทุกครั้งที่รู้สึกผิดปกติ แต่ฉันไม่รู้จะเริ่มเขียนจากตรงไหน จะให้เริ่มจากตอนที่หัวใจเต้นแรงเพราะเปลี่ยนจากท่านอนเป็นท่ายืน หรือตอนที่ข้อความแจ้งเตือนเด้งขึ้นมาแล้วฉันเผลอสูดหายใจแรงกว่าปกติ
ร่างกายของฉันเหมือนผิวน้ำที่จับตัวเป็นน้ำแข็งในฤดูหนาว ดูนิ่ง เรียบ เงียบสนิท แต่ใต้ความสงบนั้นมีกระแสน้ำเย็นจัดที่ไหลเวียนอยู่ตลอดเวลา ทุกครั้งที่ใจสั่น เหมือนมีบางสิ่งกระทบผิวน้ำแข็งจนเกิดรอยร้าวบาง ๆ มองไม่เห็นและไม่มีการแจ้งเตือน แต่ฉันรู้ว่าอีกไม่นาน มันจะร้าวลึกลงไปจนแตกร่วง แล้วฉันก็จะจมหายลงไปในความมืดใต้น้ำอีกครั้ง ฉันไม่ชอบอาการใจสั่น ไม่ชอบความวูบวาบ ไม่ชอบความบอบบางที่พร้อมจะแตกทุกเมื่อ และไม่ชอบที่ตัวเองไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าจะต้องล้มลงอีกเมื่อไหร่ หมอบอกว่าเวลารู้สึกว่าใจสั่น ให้รีบนั่งลงกับพื้น เพื่อไม่ให้ล้มแรงเกินไป แต่กับเรื่องของความรู้สึก ไม่มีพื้นให้ฉันนั่งลงเลย มีแค่ความว่างเปล่าที่ฉันเองก็ไม่รู้ว่าต้องตกลงไปอีกลึกแค่ไหน ก่อนจะหยุดสั่นได้จริง ๆ
หลังจากที่ออกมาจากโรงพยาบาล เราคุยผ่านตัวอักษรกันบ่อยขึ้น บทสนทนาในแต่ละวันไม่ได้มีอะไรพิเศษนัก บางครั้งเป็นเพียงลิงก์เพลง บางครั้งเป็นประโยคสั้น ๆ เกี่ยวกับหนังสือที่เขาอ่าน หรือข้อความแสดงความเห็นต่อฉากใดฉากหนึ่งในหนังที่เราดูเหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมาย ไม่มีคำหวาน ไม่มีสัญญา แต่ความสม่ำเสมอในช่วงเวลาสั้น ๆ ของบทสนทนาเหล่านั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ฉันรู้สึกว่าสิ่งที่แหลกละเอียดไปแล้ว อาจจะยังมีบางส่วนที่สามารถประกอบกลับมาได้ การมีตัวอักษรและแจ้งเตือนของเขาปรากฏขึ้นเป็นระยะในแต่ละวันทำให้ฉันคิดว่าความสั่นไหวจะไม่กลับมาอีก ทำให้ฉันเชื่อว่าน้ำแข็งนั้นได้หลอมละลายกลายเป็นผิวน้ำที่นิ่งและอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย แต่ฉันหลงลืมไปว่าแผ่นน้ำแข็งก็ยังเป็นน้ำแข็งอยู่ดี แค่ยังไม่ถึงวันที่ลมเย็นจัดพัดกลับมา
และวันนั้นก็มาถึง ลมเย็นก็ค่อย ๆ กลับมาโดยไม่มีคำเตือน มันเริ่มต้นจากตอนค่ำในวันธรรมดาที่ฉันนั่งอยู่ในห้องเงียบ ๆ คนเดียว พร้อมนมอุ่น ๆ ที่เริ่มเย็นลงโดยไม่รู้ตัว ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนดูหน้าจอโดยไม่คาดหวังอะไรแต่แล้วข้อความของเขาก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
“นี่อาจจะไม่ได้คุยทุกวันแล้วนะ เดี๋ยวนี้รู้สึกแปลกมาก เวลาคุยเยอะ ๆ ตั้งแต่เรื่องนั้น”
ฉันอ่านข้อความซ้ำ ๆ ด้วยความรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่บนแผ่นน้ำแข็ง เบา ๆ ช้า ๆ กลัวว่าความรู้สึกเพียงเล็กน้อยจะกลายเป็นแรงสั่นสะเทือน แล้วทำให้ทุกอย่างแตกร้าวอีกครั้ง
“แล้วไม่มีอะไรคุย...?” ฉันพิมพ์กลับไปหลังจากจุดสามจุดหยุดกระพริบและหายไป
“มีซิ” แต่ความเงียบในช่องว่างระหว่างข้อความบอกฉันตรงกันข้าม
“แล้วอะไรแปลก”
“เคยเรียนจิตวิทยาอันนี้ไหม เกี่ยวกับหมา เสียงกระดิ่ง น้ำลายไหล”
“วิทยาศาสตร์ก็เรียนนะ”
“นั่นละ เข้าใจหลักคิดมันใช่ไหม เราก็เหมือนกัน”
“อะไรเป็นกระดิ่ง อะไรเป็นหมา”
“เราเป็นหมา ส่วนการคุยอย่างนี้แหละกระดิ่ง สั่นกระดิ่ง ให้อาหาร หมาน้ำลายไหล และได้กิน นานเข้า สั่นกระดิ่ง ไม่มีอาหารให้กิน แต่น้ำลายก็ไหล เราแค่ไม่อยากน้ำลายไหลแล้ว เลยปิดหูไม่ให้ได้ยินเสียงกระดิ่งไปเลย”
บางอย่างในประโยคนั้นทำให้ฉันนิ่งไปนาน มือที่ถือโทรศัพท์สั่นเบา ๆ อย่างควบคุมไม่ได้ ไม่ใช่เพราะคำว่า ‘หมา’ หรือ ‘กระดิ่ง’ ในการทดลองของ Pavlov ที่เขาพูดถึง แต่เพราะการเปรียบเปรยนั้นมันชัดเจนเกินไป ชัดเจนจนทำให้ฉันนึกถึงสายตาของเขาในวันที่เขาปิดหูไม่ให้ได้ยินเสียงกระดิ่งครั้งแรก ไม่มีคำอธิบายอะไรที่ดีไปกว่าสายตาคู่นั้น ไม่มีคำลา ไม่มีแม้แต่คำขอโทษ มีแค่ความเงียบกับความสั่นไหวที่ฉันรู้สึกได้ในใจ
“จริง ๆ นะ หลังจากเรื่องนั้นก็ไม่ชอบคุยกับใครเลย ทั้งใน Facebook ใน LINE สำคัญก็โทร เหมือนเป็นประสบการณ์แย่ ๆ ของการแชท”
เรื่องนั้นที่เขาไม่เคยเล่า ไม่เคยบอกว่าคืออะไร แต่มีอยู่ชัดเจนในทุกการเว้นวรรคของข้อความ ทุกครั้งที่เขาเงียบไปกลางบทสนทนา ทุกคำพูดที่เหมือนจะเอื้อมถึงอดีต แต่ก็หยุดไว้แค่นั้น ครั้งหนึ่งเขาเคยหยุดพิมพ์กลางประโยคแล้วหายไปหลายชั่วโมง ก่อนจะกลับมาด้วยข้อความสั้น ๆ ว่า “ไม่เป็นไรหรอก แค่ไม่อยากคิดถึงเรื่องเก่าอีกแล้ว” คำว่า เรื่องเก่า ของเขา คงเป็นรอยร้าวที่ยังไม่เคยสมาน และเขาก็ทิ้งรอยแบบเดียวกันไว้ในใจฉัน
เราไม่ได้รู้จักกันแค่ผิวเผิน ฉันรู้ว่าเขากลัวอะไร ทุกอย่างที่เขากลัว ทุกอย่างที่เขาไม่ชอบ การที่อยู่ ๆ คนก็หายไป ความไม่ชัดเจนในความสัมพันธ์ ความรู้สึกว่าไม่มีค่าพอจะถูกรัก ทั้งหมดนั้นเขาทำกับฉัน เหมือนเขากำลังพูดกับตัวเองผ่านฉัน เหมือนฉันเป็นกระจกบานหนึ่งที่เขาใช้สะท้อนความกลัวของตัวเองแล้วเดินจากไป ปล่อยให้ฉันยืนอยู่ตรงนั้น ในเงาของความรู้สึกที่เขาไม่เคยรับผิดชอบ
ฉันอยากจะเชื่อว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ ฉันอยากจะเชื่อว่าเขาไม่เห็นหัวใจของฉันที่ค่อย ๆ สั่นไหว แต่ส่วนลึกในใจฉันกลับบอกว่า จริง ๆ แล้ว เขารู้ดี รู้ทุกครั้งที่เขากลับมา รู้ทุกครั้งที่เขาหายไป รู้ดีว่ากำลังทำอะไรและผลของมันจะเป็นยังไง เขาทำให้ฉันใจสั่นอยู่เสมอ ไม่ใช่เพราะคำพูด หรือการกระทำโรแมนติกอะไร แค่การกลับมาของเขาแบบเงียบ ๆ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ฉันมีความสุขจนหัวใจสั่นไหว ฉันจำได้ดีว่าครั้งแรกที่เขากลับมา ฉันยิ้มออกแบบไม่รู้ตัว แต่แล้วความสุขและรอยยิ้มก็เปลี่ยนเป็นความกลัว เพราะฉันไม่รู้ว่าเขาจะอยู่นานแค่ไหนและจะหายไปอีกเมื่อไหร่ ในแต่ละครั้งที่เขาหายไป นั่นหมายถึงรอยร้าวเก่าบาง ๆ บนผิวน้ำแข็งก็เริ่มขยายตัวออกช้า ๆ เหมือนมันกำลังจำได้ว่าเคยแตกมาก่อน ฉันกำลังพาตัวเองกลับไปสู่จุดนั้นอีกครั้ง ตกลงไปในห้วงหลุมเดิมที่ลึกกว่าเดิม ความหวังที่ฉันเก็บไว้อย่างดีกลับกลายเป็นของแหลมคมที่บาดใจในตอนที่เขาเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ
ฉันไม่เข้าใจ ถ้าเขารู้ทั้งหมดนั่น แล้วทำไมยังทำต่อไปได้อย่างไม่ลังเล และสิ่งที่ฉันไม่เข้าใจที่สุด คือ ทำไมฉันถึงยอม
“เข้าใจ” ฉันพิมพ์กลับไปสั้น ๆ ถึงแม้ว่าความจริงจะตรงข้าม
“นั่นแหละ ก็เลยบอกไว้ ไม่อยากอยู่ ๆ ก็หาย”
ฉันนั่งนิ่งอยู่แบบนั้น นมอุ่นในแก้วเย็นเฉียบ และหัวใจก็เต้นแรงเกินกว่าที่ smartwatch จะนิ่งเฉย
หลังจากวันนั้น เรายังคุยกันบ้าง ตอนปีใหม่บางปีและวันเกิดของเราทั้งคู่ บทสนทนาที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นพื้นที่ของความใกล้ชิดเริ่มทิ้งช่วงยาวขึ้น และได้กลายเป็นเศษซากหลักฐานของอะไรบางอย่าง ไม่มีจุดสามจุดกระพริบ ไม่มีการสั่นไหวของกระดิ่ง ไม่มีแม้แต่เสียงแจ้งเตือนใด ๆ แต่น้ำลายก็ยังคงไหลอยู่ดี ไม่ใช่เพราะหวังอะไรอีก แต่เพราะร่างกายมันเคยชินและจำได้ว่าจะต้องรออย่างไร แค่ไม่รู้ว่าจะได้ ‘สิ่งนั้น’ เมื่อไหร่
ฉันเคยโทษว่าเป็นอาการจาก POTS syndrome แต่ความจริงแล้วมันคือร่างกายของฉันที่ยังตอบสนองต่อเขา แม้ในวันที่ใจพยายามเฉยชา แม้ในวันที่ฉันพยายามแข็งแกร่งเท่าไร แต่ระบบประสาทในร่างกลับยังเลือกเขาเสมอ
บางทีร่างกายของฉันอาจจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ยอมลืมเขา แม้หัวใจจะพังไปนานแล้วก็ตาม
(2,361 คำ)