¦ ¦ ¦ ¦


ฉบับที่ 14 : ประจำวันที่ 15 มิถุนายน 2568


การล่องเรือกลางแม่น้ำนิรันดร
โดย พฤศจิกายนสีน้ำตาล



-1-

ฉันแต่งงานแล้ว เมื่อสิบปีก่อน กับคนที่อายุน้อยกว่าเกือบหนึ่งรอบ แต่เขาเป็นลูกคนโตในครอบครัวที่พ่อแม่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ ทั้งเขายังยืนยันด้วยว่าเขาน่าจะเป็นผู้ใหญ่กว่าลูกคนกลางที่จะว่าเป็นเด็ก (ไม่ยอมโต) ก็ไม่ใช่ จะเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่เชิง...อย่างฉัน
เขาเป็นชาวสวนผลไม้ เรียนจบ ปวช. ด้านเกษตรจากวิทยาลัยการอาชีพในจังหวัดบ้านเกิด เรารู้จักกันในที่ชุมนุมทางการเมือง ในยุคที่ใคร ๆ ก็พูดเรื่องคนเท่ากันอย่างถ้วนหน้า และแน่นอนว่าฉันก็เชื่อเช่นนั้นจนหมดใจ
ช่วงนั้นฉันลาออกจากงานประจำมาเป็นนักกิจกรรมทางการเมือง ได้ค่าตอบแทนเล็ก ๆ น้อย ๆ พอได้จ่ายค่าเช่าห้องและหล่อเลี้ยงชีวิตไปในแต่ละเดือน
เรื่องราวเริ่มขึ้นในฤดูหนาวหนึ่งซึ่งฉันเหลือเงินติดตัวไม่มาก จึงอยากหาที่ยังชีพแบบประหยัดไปจนกว่าเงินก้อนใหม่จะมาถึง ซึ่งไม่มีกำหนดแน่นอน หนุ่มชาวสวนผลไม้เคยชวนฉันไว้นานแล้วว่าเขามีกระท่อมกลางหุบเขาที่ยินดีให้ฉันไปพักได้ไม่มีกำหนด ที่นั่นไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปา ต้องใช้พลังงานแสงอาทิตย์ และต้องสูบน้ำจากบ่อขึ้นมาใส่ถัง แล้วใช้รถไถลากมาใส่โอ่งอีกที
หลังยกกระท่อมให้ฉันพักอาศัยชั่วคราว ชายชาวสวนก็ย้ายไปพักกับครอบครัวของเขาที่เพิงพักริมบ่อน้ำ ไม่ไกลกัน ช่วงนั้นพืชผลจวนจะได้เก็บขาย เขาจึงเข้าไปขลุกอยู่ในสวนตั้งแต่เช้าจรดค่ำ แต่ทันทีที่ว่างเขาจะรีบบรรทุกน้ำมาใส่โอ่งให้ รวมถึงดูแลความสงบเรียบร้อยต่าง ๆ เพื่อให้ฉันพักอยู่อย่างราบรื่นที่สุด
ฉันไปอยู่ที่นั่นสิบกว่าวัน นั่งมองพระอาทิตย์ขึ้นและตกลับทิวป่ายางที่กำลังเปลี่ยนสี จากเขียว เหลือง แดง และน้ำตาล บอกตัวเองว่าชอบที่นั่นมากกว่าชอบเขา
มันเริ่มต้นอย่างนั้น ไม่มีการตกหลุมรักใด ๆ ไม่เคยรู้สึกว่าหัวใจเต้นผิดจังหวะ ไม่รุ่มร้อน ไม่โหยหา ไม่คิดถึงเป็นบ้าเป็นบอ ในตอนนั้นฉันคิดแต่จะหาที่เขียนหนังสือ ซึ่งถือเป็นความฝันเก่าแก่ และเป็นความฝันสุดท้าย
-2-


เมื่อฉันบอกทุกคนที่บ้านว่าจะแต่งงานกับผู้ชายที่อายุน้อยกว่าเกือบหนึ่งรอบ พร้อมแนบรายละเอียดว่าเขาเป็นเกษตรกร ไม่มีเงินเดือน ไม่มีปริญญา ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ ไม่มีเงินสดในบัญชี ไม่มีโฉนดที่ดิน มีเพียงที่ทำกินในเขตป่าเขาซึ่งซื้อขายไม่ได้ เอาเข้าธนาคารก็ไม่ได้ ใช้แปลงเป็นทุนใด ๆ ไม่ได้เลย
แม่ถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ แต่เพียงครู่เดียวก็เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ถ้าคิดว่าเขาอยู่กับมึงได้ก็แล้วแต่มึงเถอะ แต่อย่าลืมบอกเขาด้วยล่ะว่ามึงทำงานหนักไม่ได้ ทำห่าอะไรไม่เป็นเลย”
แม่ไม่เพียงย้ำกับฉันเท่านั้น ทันทีที่พบหน้าว่าที่ลูกเขย แม่ก็เทียวพูดกับเขาด้วยประโยคซ้ำ ๆ “ลูกแม่ช่วยทำสวนทำไร่ไม่ได้นะ แม่เลี้ยงเขามาไม่เคยให้ทำอะไรเลย”
อันที่จริงฉันก็เป็นลูกชาวบ้านธรรมดา เป็นทายาทกรรมกรไร้ที่ทำกินด้วยซ้ำ ที่ได้ร่ำเรียนสูง ๆ ก็เพราะพ่อแม่ดิ้นรนจนสุดกำลังเพื่อให้ลูก ๆ ไปพ้นจากการเป็นคนขายแรงราคาถูก ในบรรดาลูกสี่คน มีเพียงพี่สาวคนโตเท่านั้นที่ได้เรียนแค่ชั้นประถม แต่พี่สาวก็ได้บ่มเพาะวิชาทำขนมจากแม่ที่สืบทอดมาจากยายอีกที หลังถูกจ้างให้ออกจากโรงงานกระเบื้องตอนอายุสามสิบ พี่สาวก็ออกมาบุกเบิกตลาดขนมจนกลายเป็นสินค้าเลื่องชื่อในถิ่นนี้ ทั้งยังเป็นเสาหลักของครอบครัว และคอยเป็นหลังพิงให้น้อง ๆ ปัญญาชนที่เทียวผลัดกันตกงาน
แม้จะสืบเชื้อสายมาจากตระกูลรากหญ้าโดยแท้ แต่ด้วยความเป็นคนรักเรียน แม่จึงกันฉันไว้ในพื้นที่ปลอดภัยจากงานหนัก ฉันจึงไม่ต้องตากแดดย่ำโคลนเหมือนคนอื่น ๆ จนใคร ๆ ในละแวกนั้นต่างเรียกฉันว่า ‘อีคุณนาย’
ทว่าชีวิตหลังเรียนจบของฉันกลับไม่ได้รุ่งโรจน์อย่างที่ใคร ๆ คาดหวัง เมื่อเศรษฐกิจล่มสลายในปีที่ฉันเรียนจบ ฉันทั้งตกงาน ทั้งต้องโยนใบปริญญาทิ้งและหันไปทำงานอะไรก็ได้ที่ได้เงิน บางครั้งก็ต้องฝืนทนทำงานที่ละเมิดจริตกันเหลือเกิน
สุดท้ายฉันก็ตัดสินใจหันหลังให้ชีวิตบนเส้นทางที่เคยวาดหวังและถูกคาดหวัง แล้วออกเดินทางไปค้นหาบางอย่างที่ฉันก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ฉันพาตัวเองตะลอน ๆ ไปตามดอยม้ง ดอยกะเหรี่ยง และหมู่บ้านตะเข็บชายแดน หวังจะค้นพบบางสิ่งที่ฉันก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหน ทว่านอกจากไม่พบแล้วยังประสบอุบัติเหตุปางตาย ร่างกายไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิม
ฉันกลายเป็นลูกที่แม่ต้องคอยห่วงมากกว่าลูกคนไหน ตอนพ้นวัยสามสิบแม่ถามฉันตรง ๆ ว่าคิดจะมีครอบครัวบ้างไหม ฉันตอบทันทีว่า “ไม่” แม่ถอนหายใจและว่า “ดีแล้วล่ะ ถ้ามีก็คงไม่แคล้วถูกเขาเตะเอาซี่โครงเหน็บข้างฝา” ในสายตาแม่ ฉันคือมนุษย์เจ้าปัญหาที่ชอบทำให้คนอื่นโมโหจนเลือดขึ้นหน้า และมีสิทธิจะกลายร่างเป็นผีบ้าที่ไหนก็ไม่รู้
แต่อยู่ ๆ ฉันก็ยอมให้เด็กหนุ่มท่าทางซื่อ ๆ คนหนึ่งเข้ามาในชีวิต ทุกคนที่บ้านต่างประหลาดใจ แต่พอเห็นเขาคอยดูแลเอาใจใส่ฉันทุกอย่าง ทุกคนก็อนุโมทนาสาธุ ทั้งยังพูดติดตลกด้วยว่าอยากจะแถมข้าวสารให้ไอ้หนุ่มดวงซวยคนนั้นอีกสักสามกระสอบ
แต่ก็ใช่จะไม่มีเสียงทัดทาน บรรณาธิการสำนักพิมพ์ที่ฉันร่วมงานด้วยในขณะนั้นถึงกับเอ่ยปากว่าการแต่งงานไม่น่าจะเหมาะกับคนอย่าง ‘เรา’ บรรณาธิการสาวยังย้ำด้วยว่า อย่าได้หลงคิดเชียวว่าเราจะได้นั่งจิบกาแฟเขียนหนังสืออยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันสงบงาม ขณะคนอื่น ๆ อาบเหงื่อต่างน้ำอยู่กลางเปลวแดดร้อนเปรี้ยง สำหรับคนที่ไม่ได้คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด “ชีวิตอาจอนุญาตให้คุณฝัน แต่ไม่อนุญาตให้คุณเพ้อเจ้อ”
ฉันลังเลอยู่บ้าง แต่ยังคิดเข้าข้างตัวเอง ก็ฉันบอกเขาไปหมดแล้วว่าไม่ถนัดงานใช้แรง หรือต่อให้ถนัดฉันก็ทำไม่ไหว ข้อศอกเทียมข้างซ้ายอนุญาตให้ฉันถือของหนักได้ไม่เกินห้ากิโลกรัม ยังไม่นับเหล็กท่อนยาวตรงต้นขาซ้ายและรอยเย็บบนเนื้อตัวอีกร้อยกว่าเข็ม
ชายชาวสวนดูไม่ยี่หระ ทั้งยังบอกด้วยว่าแรงงานต่างด้าวมีอยู่เต็มเมือง เขาจะให้ฉันไปทำงานอย่างนั้นได้อย่างไร เขามีหน้าที่ช่วยฉันทะนุถนอมร่างกายและความฝันต่างหากเล่า ได้ยินอย่างนั้นฉันค่อยเบาใจ แต่ก็ยังอยากให้เขาถามตัวเองให้แน่ใจว่าสำหรับเขาแล้ว การแต่งงานหมายถึงการเพิ่มแรงงานในครัวเรือนด้วยหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นเขาก็ต้องไปหาคนอื่น
ฉันไม่ลืมบอกข้อจำกัดอื่น ๆ อีกเช่น ฉันกินนอนไม่เป็นเวลา และถ้าได้นั่งลงเขียนหนังสือแล้วฉันจะจมอยู่อย่างนั้นทั้งวัน ระหว่างนั้นเขาต้องดูแลตัวเอง ฉันหุงข้าวได้ ทำกับข้าวพอได้ ซักผ้าด้วยมือได้ แต่บิดผ้าเนื้อหนา ๆ หนัก ๆ ไม่ไหวแล้ว ถ้าไม่มีเครื่องปั่นผ้า เขาก็ต้องรับภาระนี้ไป งานเลี้ยงสัตว์ฉันก็ส่ายหน้า แค่หมาแมวก็ไม่ไหว ฉันเคยเลี้ยงกระรอกแล้วมันตาย เพราะให้กินอยู่ไม่เป็นเวลาเหมือนฉัน และสำคัญที่สุดคือ ฉันไม่เคยคิดจะเป็นแม่ใคร
ถ้าเขาสบถออกมาว่า “กูจะเอามึงไปทำไมวะ” ฉันก็พร้อมจะโบกมือลา แต่ชายชาวสวนยังคงพยักหน้า นั่นทำให้กล้าตัดสินใจ
-3-


ในตอนนั้นฉันคิดว่าการลงหลักปักฐานคือการหาพื้นที่เขียนหนังสือ ฉันรู้ว่าฉันจะทำตามฝันได้ต่อเมื่อปากท้องและหัวใจไม่สร้างปัญหา ไม่ได้หมายความว่าจะทิ้งตัวไปเป็นภาระของใคร หากเพียงหมายถึงชีวิตที่เรียบง่ายและเพื่อนร่วมทางที่ไม่รบกวนจังหวะการเต้นของหัวใจกันเกินไป...ก็เท่านั้น
ฉันรู้สึกเบิกบานที่ได้หันหลังให้ชีวิตในเมืองใหญ่ที่ไม่มีอะไรน่าจดจำ ความรู้สึกในตอนนั้นมันเหมือนนกเขาเถื่อนได้โบยบินกลับป่า คนข้าง ๆ ก็พยายามรับผิดชอบหน้าที่เท่าที่หนุ่มชาวบ้านคนหนึ่งจะทำได้ เขาเก็บผลไม้หรือดอกไม้ป่าติดมือมาฝากทุกครั้งที่กลับออกมาจากไร่สวน เขาแบ่งปันงานบ้านไปเป็นภาระทั้งที่เพิ่งเหน็ดเหนื่อยมาจากงานหนัก เขารู้จักให้เกียรติฉันโดยไม่ต้องอ้างทฤษฎีความเท่าเทียมใด ๆ ให้รุงรังเหมือนหนุ่ม ๆ ปัญญาชนที่เคยคบหา
ฝ่ามือของเขาทั้งใหญ่หนาและหยาบกร้าน แต่มันไม่เคยทำร้ายฉันแม้เพียงส่วนเสี้ยว ต่างจากฝ่ามือเรียวบางของคนจับปากกา (บางคน) ที่เคยฟาดหน้าฉันจนชา ทั้งขย้ำคอฉันจนแทบหายใจไม่ออก เขาทำให้ฉันรู้สึกว่าเวลาสิบกว่าปีที่หมดไปกับผู้คนก่อนหน้านั้นมันช่างน่าเสียดายเหลือเกิน แต่นั่นยังไม่ใช่ตอนจบของนิยายเรื่องนี้...ที่ฉันไม่ได้เขียนมันคนเดียว
เมื่อแรกรู้จักกัน ชายชาวสวนยังเป็นแรงงานในครัวเรือนที่ทำงานแลกอาหารสามมื้อไปวัน ๆ ไม่มีส่วนแบ่งจากการขายผลผลิต อยากได้อะไรต้องเอ่ยปากขอ แต่ส่วนใหญ่ก็ต้องรอไปก่อน
เพียงเข้าไปสัมผัสไม่นานฉันก็รู้ว่าเขาไม่ลงรอยกับพ่อ และนั่นคือปัญหาใหญ่ เพราะพ่อคือผู้กุมบังเหียนทุกอย่างในครอบครัว ขณะแม่ไม่มีปากเสียงใด ๆ แม้เขาจะสนิทกับแม่ แต่ก็ดูจะเปล่าประโยชน์
เขาเล่าให้ฟังว่าตอนเด็ก ๆ พ่อเคยจับเขาแก้ผ้ามัดไว้กับเสา แล้วใช้เข็มขัดหนังเส้นใหญ่ ๆ เฆี่ยนเขาจนสลบคามือ ก่อนจะเอาน้ำสาดให้ฟื้น แล้วฟาดเข็มขัดหนังลงมาใหม่ ความผิดของเขาคือหนีไปดูการ์ตูนบ้านเพื่อนในวันอาทิตย์ ไม่อยู่ช่วยพ่อย่ำนา เขาหันไปขอความช่วยเหลือจากแม่ที่ยืนดูอยู่ไม่ไกล ทว่าแม่หลบตาเขาแล้วรีบเดินหนีไปทางอื่น สุดท้ายคนที่กล้าเดินฝ่าเข็มขัดหนังอำมหิตเข้ามากอดเขาไว้ก็คือยายซึ่งเป็นเมียใหม่ของปู่ และเป็นคนที่พ่อเกลียดเข้าไส้
พ่อของเขาเป็นเซียนไก่ชน เช้าขึ้นก็มีคนขับรถมารับไปบ่อนไก่ กว่าจะกลับก็มืดค่ำทุกวัน งานในไร่จึงตกเป็นของเขากับแม่อย่างไม่ต้องสงสัย เขายังมีน้องชายกับน้องสะใภ้ที่กินอยู่ด้วยกัน แต่สองคนนั้นทำงานร้านสะดวกซื้อ ไม่มายุ่งเกี่ยวกับไร่สวน
ช่วงไหนเงินขาดมือเป็นต้องมีเสียงโวยวายดังออกมาจากเพิงพักริมบ่อน้ำ ตามด้วยเสียงขว้างปาข้าวของ คำสบถหยาบ ๆ คาย ๆ และเสียงขู่ว่าจะขนข้าวขนของกลับไปทำนาที่บ้านเกิด แม้แต่รถไถที่เหนื่อยยากหามาด้วยกันที่นี่ก็ยังอ้างจะขนกลับไป แม่ของเขาได้แต่ยืนตัวสั่น ไม่กล้าพูดอะไรสักคำ
เหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นซ้ำ ๆ และทุกครั้งคนที่ตกเป็นจำเลยก็คือเขา ซึ่งถูกกล่าวหาว่าประจบเอาเงินจากแม่ไปใช้คนเดียว ทั้งที่พ่อเป็นคนกุมเงินทุกบาททุกสตางค์ ทั้งที่พ่อเป็นคนกำเงินออกจากบ้านไปเข้าบ่อนไก่ทุกวัน และทั้งที่เขาเพียงอยากได้กางเกงยีนส์มือสองตลาดนัดสักตัวยังต้องรอแล้วรออีก
มันไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น ตอนเด็ก ๆ เขาเคยอยากได้รองเท้าเตะฟุตบอล แม่รับปากว่าขายข้าวแล้วจะซื้อให้ แต่พอขายข้าวแล้วก็กลับเลื่อนไปเป็นปีหน้า แล้วก็ปีต่อ ๆ ไป สุดท้ายวันนั้นก็ไม่เคยมาถึง ชีวิตเขามีแต่ต้องรอ ขณะพ่อไม่เคยต้องรออะไรเลย
อย่างนี้แล้วพ่อยังกินแหนงว่าแม่รักเขามากกว่าพ่อ
-4-


ตอนแต่งกันฉันจะไม่ให้แม่เรียกสินสอด แต่แม่อ้างว่าเลี้ยงฉันมาอย่างดี ส่งเรียนจนจบปริญญา อย่างน้อยก็ต้องได้เงินมาจัดงานสักก้อน ทุกคนในครอบครัวเห็นด้วยกับแม่ คงมีแต่ฉันที่ยังยืนยันว่าการจัดงานเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์
“อย่างน้อยก็ต้องผูกข้อไม้ข้อมือ แล้วก็เลี้ยงพระให้เป็นสิริมงคล” แม่ยังยืนกรานเช่นกัน
“พระที่อมเงินวัด แอบสูบยาบ้า แล้วก็มีอะไรกับสีกาข้างกอไผ่หลังวัดเนี่ยนะ”
นั่นทำให้แม่ไม่คุยกับฉันไปเป็นเดือน สุดท้ายหนุ่มชาวสวนเป็นคนเข้ามาไกล่เกลี่ย เขารับปากแม่ว่าจะให้สินสอดเป็นเงินจำนวนหนึ่ง เท่าที่เขาจะขายผลผลิตได้ในปีนั้น อันที่จริงเมื่อเทียบกับลูกสาวบ้านอื่นถือว่าน้อยมาก แต่แม่ไม่ต่อรองสักคำ ซ้ำตอนแบกพานสินสอดเข้าไปเก็บในห้อง แม่ยังแกล้งเดินเซราวกับพานบนบ่าหนักจนแทบจะเดินไม่ไหว เรียกเสียงฮาจากคนทั้งงาน
ฉันมารู้ทีหลังว่าผัวเมียคู่นั้นไม่อยากได้ฉันเป็นสะใภ้ จึงไม่ร่วมจ่ายด้วย เหตุผลก็เป็นที่เข้าใจได้ ไม่มีอะไรซับซ้อน ฉันแก่กว่าลูกชายของพวกเขาเกือบหนึ่งรอบ แขนซ้ายไม่สมประกอบ ทำงานหนักไม่ได้ ทั้งยังหอบเสื้อผ้าไปอยู่กับลูกเขาง่าย ๆ งานการไม่มีเป็นหลักแหล่ง ที่ดินสักกระแบะมือก็ไม่มี ยังไม่นับข้อกล่าวหาที่ว่าฉันชักจูงลูกชายที่เคยว่านอนสอนง่ายของพวกเขาให้มีพฤติกรรมน่าเป็นห่วง เช่น บ้าการเมือง ไม่เข้าวัดเข้าวา ไม่ไหว้พระไหว้เจ้า ไม่มีสัมมาคารวะ อ้างแต่ว่าคนเท่ากัน ทำตัวเหมือนพวกคอมมิวนิสต์ไม่มีผิด บ้านเกิดของเขาเคยเป็นพื้นที่สีแดงแห่งการสู้รบ ผัวเมียคู่นั้นจึงรู้จักคอมมิวนิสต์เป็นอย่างดี
ด้วยเหตุที่กล่าวมาทั้งหมด พ่อแม่ของเขาจึงทำไม่รู้ไม่ชี้ ปล่อยลูกชายไปสู่ขอฉันเพียงลำพัง ถึงวันแต่งก็ขับรถไปร่วมงานอย่างเสียไม่ได้ ผูกข้อไม้ข้อมือด้วยเงินหลักพัน แล้วก็ชิงกลับก่อนงานเลิก แม่ฉันบ่นตามหลังอยู่หลายวันว่าพ่อดองแม่ดองไม่ให้เกียรติกันเลย
-5-


ที่ดินที่ครอบครัวเขาใช้ทำกินเป็นมรดกตกทอดมาจากญาติทางฝั่งแม่ มรดกในที่นี้เพียงหมายถึงสิทธิทำกินเท่านั้น ไม่ใช่เอกสารสิทธิ ด้วยเป็นที่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า จึงห้ามซื้อขาย เพียงอนุญาตให้ส่งต่อสู่ลูกหลาน แต่ชาวบ้านก็แอบซื้อขายสิทธิลม ๆ กันเป็นปกติ
หลังได้เงินหลายล้านจากการขายนาที่บ้านเก่า พ่อของเขาก็ขยับขยายซื้อที่เพิ่มอีกหลายสิบไร่ เพื่อจะได้ยึดอำนาจเป็นเจ้าของที่นี่โดยสมบูรณ์ จากนั้นบ้านหลังใหญ่ก็ผุดขึ้นบนเนินเขา ทาสีเขียวมะกอกมองเห็นแต่ไกล เศรษฐีใหม่ซื้อรถยนต์ทีเดียวสองคัน กระบะป้ายแดงสี่ประตูราคาเฉียดล้านเอาไว้ออกงานมีหน้ามีตา กระบะมือสองอีกคันเอาไว้ลากปุ๋ยยาแถวนี้ แต่ถึงอย่างนั้น พาหนะที่ถูกใช้งานบ่อยสุดกลับเป็นมอเตอร์ไซค์จ่ายตลาดของลูกสะใภ้
ตั้งแต่กลายเป็นเศรษฐีเงินล้าน ผู้ชายคนนั้นก็พูดจาอยู่บนยอดเขาพระสุเมรุ ไม่สนใจใครทั้งนั้น และไม่ต่อรองกับใครทั้งสิ้น ได้ยินว่าคนเป็นเมียได้สร้อยคอทองคำหนักบาทเดียว แล้วก็ไม่เคยได้อะไรอีก ลูกชายสองคนได้เงินคนละแสน พร้อมคำสั่งให้เอาไปใช้หนี้กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา ห้ามเอาไปใช้อย่างอื่น
หลายปีผ่านไป ไม่มีใครรู้ว่าเงินขายนาเหลือเท่าไหร่ รู้เพียงเศรษฐีใหญ่ยังคงแวะเวียนไปบ่อนไก่ทุกวัน ลูกชายคนเล็กของบ้านพาลูกเมียแยกจากไปนานแล้ว หลังผิดหวังที่พ่อกอดเงินขายนาไว้คนเดียว สิบกว่าปีแล้วไม่เคยกลับมา โทรศัพท์ถามข่าวก็แทบไม่มี ทางนี้ก็แทบไม่เคยติดต่อไป ได้ยินคนเป็นแม่พูดแต่ว่า “ขอแค่มันไม่สร้างปัญหามาให้ก็พอแล้ว”
ลูกชายคนโตก็แยกครอบครัวออกมานานแล้วเช่นกัน แบบคนตัวเปล่า ทุกอย่างต้องเริ่มกันใหม่ ช่วงที่ต้นไม้ยังไม่อาจเลี้ยงเรา ฉันต้องแบ่งเบาภาระทุกอย่างไปก่อน ตอนนั้นฉันทำงานทางไกลให้สำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง ได้ค่าตอบแทนไม่มาก หากปากท้องเดียวก็คงไม่มีปัญหา
ในที่สุดฉันก็ต้องกลับเข้าเมืองไปหางานทำอีกจนได้ ทั้งที่อยากนั่งลงเขียนหนังสือใจจะขาด ทำอย่างไรได้ ในเมื่อทั้งอาชีพนักเขียนและอาชีพเกษตรกรยังไม่อาจเลี้ยงเรา
-6-


กลับเข้าเมืองได้ไม่ทันไรก็เกิดการยึดอำนาจในเดือนพฤษภาคม จากที่ตั้งใจว่าจะอยู่ในเมืองแค่ปีเดียวฉันก็ต้องต่อเวลาออกไปอีก สถานการณ์ชีวิตยังไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้น สถานการณ์ของชาวสวนผลไม้ก็เช่นกัน ตั้งแต่รัฐประหาร นายทุนจีนก็เข้ายึดกุมตลาดแบบเบ็ดเสร็จ
ชาวสวนที่นี่ติดอยู่ในวังวนการตกเขียว หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าการขายใบ ซึ่งหมายถึงการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อเบิกเงินมัดจำมาลงทุนและหมุนเวียนใช้จ่ายไปก่อน แล้วค่อยหักใช้คืนตอนเก็บผลผลิต ภายใต้เงื่อนไขเช่นนี้การกดราคาเกิดขึ้นตามอำเภอใจ สุดท้ายผลผลิตในปีนั้นไม่พอหักหนี้ ต้องทบไปหักกันในปีต่อ ๆ ไป ยิ่งนานก็ยิ่งหมดโอกาสหลุดหนี้ มีแต่ที่ดินจะหลุดมือ
ตลอดหลายปีที่ฉันใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่ ชายชาวสวนแทบไม่เคยเดินทางไปหา มีแต่ฉันที่วิ่งขึ้นวิ่งลงรถตู้กลับมาหาเขา ฉันเคยถามเขาว่าทำไม ได้ยินคำตอบแล้วรู้สึกเศร้า ถ้าเขาไม่อยู่เฝ้าสวนอาจมีคนรุกล้ำเข้ามาตัดต้นไม้ที่เขาปลูกไว้ พ่อเขาอยากได้ที่ดินแปลงนี้ และจ้องจะไล่เขาย้ายไปทำกินบนที่ลาดชันท้ายสวน นั่นหมายความว่าทุกอย่างต้องเริ่มต้นใหม่หมด
ฉันไม่ชอบหน้าผัวเมียคู่นั้นมานานแล้ว แต่น่าจะเป็นช่วงนั้นที่ฉันไม่อาจประนีประนอมอีกต่อไป จากที่เคยมีของติดไม้ติดมือมาฝากก็ไม่มี จากที่เคยซื้อของขวัญให้ทุกเทศกาลก็ยกเลิก ต่างคนต่างอยู่น่าจะเป็นพิษต่อกันน้อยกว่า นอกจากแกงส้มผักบุ้งกับแกงขี้เหล็กที่แม่เขาตักแบ่งมาให้ลูกชายเป็นครั้งคราวแล้วก็ไม่เคยมีน้ำใจใด ๆ อีก ฉันตัดสองคนนั้นออกไปจากชีวิตได้ไม่ยากเย็น แต่นั่นหมายถึงฉันคนเดียว
หญิงที่บูชาสามีเป็นบ้าเป็นหลังคนนั้นยังคงแบกความทุกข์เศร้ามาแบ่งปันให้ลูกชายอยู่เป็นระยะ บางครั้งร้องไห้ฟูมฟายว่าทนไม่ไหวแล้ว จะหนีไปบวชชี บางทีก็ทำท่าฮึดฮัดว่าจะฟ้องหย่าแบ่งสมบัติผัว แต่เพียงไม่นานก็ดีกันและหันไปเข้าข้างผัว ทิ้งลูกชายให้กลายเป็นหมาหัวเน่า ไม่กี่วันก็เดินหน้าเศร้าลงมาอีก วนเวียนอยู่อย่างนี้ทั้งปีทั้งชาติ
“ปัญหาคือแม่เธอนั่นแหละทำตัวไม่เป็นหลัก รักผัวมากกว่าลูก” ฉันพูดกับเขาตรง ๆ
เขาเอาแต่นิ่งเงียบ ยิ่งเขาไม่ตอบโต้ ฉันก็ยิ่งไม่ลดราวาศอก โดยเฉพาะเมื่อสองผัวเมียผลัดกันมาลากมอเตอร์ไซค์ของฉันไปขี่ เช้าขึ้นก็มาเอาไป มืดค่ำค่อยเอามาคืน หนักเข้าก็เอาไปจอดไว้บ้านตัวเองข้ามวันข้ามคืน ไม่เกรงใจเจ้าของ
ฉันรู้สึกเบื่อหน่ายสิ่งที่ต้องเผชิญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จนอดถามตัวเองไม่ได้ว่าฉันมาทำอะไรที่นี่ ฉันเอาความฝันของตัวเองมาแลกกับอะไร ในเมื่อมันไม่ใช่ความรักตั้งแต่ต้น ฉันไม่จำเป็นต้องมาทนกัดก้อนเกลือกินเพื่อสร้างตำนานรักอมตะอย่างในนิยาย ถึงตอนนี้ฉันก็ยังยืนยันว่ามันไม่ใช่ความรักในแบบที่คนอื่นเข้าใจ ไม่ใช่ความรักฉบับซาบซึ้งตรึงใจของหนุ่มชาวไร่กับสาวนักเขียน
แต่ฉันก็ทิ้งเขาไว้อย่างนี้ไม่ได้ เยื่อใยชีวิตมันถักทอและรัดรึงฉันไว้แน่นหนาเกินไป เวลาสิบกว่าปีที่ฉันมาหายใจร่วมกับใครคนหนึ่งและแบ่งปันทุกอย่างที่มีให้กับคนที่ขาด มันอาจไม่ใช่ความรักแบบที่หนุ่มสาวทั้งโลกโหยหา แต่จะบอกว่ามันไม่ใช่ความรักเลย...ก็คงใจร้ายเกินไปหน่อย
ทว่าความอดทนของฉันก็หมดลงจนได้ ในวันที่ฉันประจำเดือนมาก่อนกำหนด ผ้าอนามัยไม่มี ร้านค้าใกล้สุดอยู่ห่างออกไปไม่ต่ำกว่าห้ากิโลเมตร ชายชาวสวนออกไปต่อใบขับขี่ที่อำเภอ กว่าจะกลับก็คงค่ำ ฉันเดินขึ้นไปทวงมอเตอร์ไซค์ที่บ้านสีเขียวมะกอก เจอแต่เมียเจ้าของบ้านทำหน้าไม่รู้อีโหน่อีเหน่ พอถามก็อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ว่าผัวขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปตั้งแต่เช้า ป่านนี้ยังไม่กลับ สรุปว่าวันนั้นฉันต้องนั่งแช่เลือดประจำเดือนอยู่ทั้งวัน
“ทำไมมอเตอร์ไซค์คันเดียวพ่อเธอไม่มีปัญญาซื้อขี่วะ ทีไก่ชนตัวละสี่หมื่นเสือกซื้อได้ บ้าฉิบหายเลย” ฉันโวยวายเมื่อชายชาวสวนกลับมาถึงบ้านในค่ำนั้น แล้วก็บอกให้เขาไปจัดการเรื่องมอเตอร์ไซค์พร้อมยื่นคำขาด “ถ้าแค่นี้ทำไม่ได้ เราจบกัน!”
นั่นเป็นเหตุให้สองพ่อลูกทะเลาะกันใหญ่โต คนเป็นพ่อเอ่ยปากไล่ให้ลูกชายถอนต้นไม้ทุกต้นออกไปจากที่ดินของตน ฝ่ายลูกชายก็ลุกขึ้นประกาศกร้าวว่าเขารักต้นไม้ทุกต้นที่เขาปลูกไว้ และท้าทายว่า “ถ้าพ่อจะเอาอย่างนั้น ก็ไปเอาปืนมายิงผมให้ตายตรงนี้เลย ผมจะไม่หนี จะยืนให้พ่อยิงแม่งตรงนี้แหละ เหมือนที่ผมเคยเดินกอดอกไปให้พ่อตีตอนเด็ก ๆ ไง แต่บอกไว้ก่อนนะว่าตอนนี้ผมมันไม่ใช่ไอ้เด็กน้อยคนนั้นแล้ว”
วันนั้นแม้แต่หมาที่เลี้ยงไว้ยังเห่ากันขรม เหมือนจำสองพ่อลูกไม่ได้ ต่างฝ่ายต่างหูตาขวางและโก่งคอตะโกนใส่กันเหมือนคนบ้า
เมื่อเห็นว่าลูกชายไม่ยอมลงให้เหมือนทุกครั้ง ทั้งยังก้าวร้าวอย่างไม่เคยเป็น คนเป็นพ่อถึงกับพูดไม่ออก สักพักก็เริ่มร้องไห้ฟูมฟาย และขู่จะฆ่าตัวตายในที่สุด
สถานการณ์บีบบังคับให้คนเป็นแม่ต้องเลือกอีกครั้ง และแน่นอนว่าผู้หญิงคนนั้นยังคงเลือกเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

-7-


ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจหันหลังให้เมืองอย่างเด็ดขาด ที่นั่นไม่มีสิ่งที่ฉันฝัน มันไม่ใช่ชีวิตที่ฉันเลือก ฉันให้โอกาสต้นไม้ต้นไร่ในสวนได้ผัดวันประกันพรุ่งมานานเกินไปแล้ว จนวันพรุ่งนี้ของฉันเหลือน้อยลงเรื่อย ๆ ฉันอยากนั่งลงเขียนหนังสือเสียที
แต่มันเป็นปีที่เกิดโรคระบาดใหญ่ ลำไยสุกหอมคาต้นและค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น ส่งออกไม่ได้ ตลาดค้าชายแดนปิดเงียบ แรงงานต่างด้าวหายวับไปกับตา ทว่าต่อให้มีแรงงานเราก็ไม่มีปัญญาจ้าง
ในที่สุดฉันก็ต้องออกไปช่วยงานสวนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ครั้งหนึ่งเขาให้ฉันช่วยลากสายยางพ่นยาลำไย ฉันทำไปเล่นโทรศัพท์ไป มันมีช่องว่างให้ทำทั้งสองอย่างไปพร้อมกันได้ ฉันติดข่าวการเมืองแค่ไหนเขาก็รู้ แต่เขาดันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เอากำปั้นทุบหน้ามอเตอร์ไซค์จ่ายตลาดคันนั้นจนแตกยับ
ระยะหลังเขาหงุดหงิดง่ายและโมโหร้ายอย่างไม่เคยเป็น นานแล้วที่เขาไม่เคยมีผลไม้หรือดอกไม้ป่ามาฝาก โลกแห้งผากลงทุกที ฉันเพิ่งได้คิดทบทวนเมื่อไม่นานมานี้ว่าตั้งแต่อยู่กันมา เสื้อสักตัวเขาก็ไม่เคยซื้อให้ใส่ อยากได้อะไรฉันต้องหาเอาเอง ทุกสิ่งที่เขารับปากล้วนต้องรอคอยอย่างยาวนาน เหมือนล่องเรืออยู่ในแม่น้ำนิรันดร ไม่มีจุดจบ
เขาเอ่ยขอโทษฉันหลังจากใจเย็นลงแล้ว และสารภาพว่าอดหงุดหงิดไม่ได้ที่เห็นฉันเล่นโทรศัพท์ทั้งที่ยังไม่เสร็จงาน เขาเครียดกับงานที่ทำไม่ทัน ฉันช่วยผ่อนแรงเขาไม่ได้ ทั้งยังบอกว่าวันหลังไม่ต้องออกไปช่วยแล้ว เขาทำคนเดียวเหนื่อยน้อยกว่า
ที่เขาพูดก็ถูก ฉันเป็นแรงงานไร้คุณภาพสำหรับงานของเขา จ้างแรงงานต่างด้าวยังดีเสียกว่า ขณะเขาก็ไม่เคยช่วยงานฉันได้ เขาเคยรู้บ้างไหมว่าศัตรูตัวฉกาจของฉันคือต้นทุนชีวิตของเขา ที่ยิ่งน้อยก็ยิ่งเหนื่อย ยิ่งนานก็ยิ่งกัดกินความฝัน
ฉันเคยขอให้เขาช่วยอ่านเรื่องสั้นที่ฉันพยายามเค้นเขียนหลังจากทิ้งร้างไปนาน ฉันจำเป็นต้องมีนักอ่านคนแรก แต่เขาอ่านได้ไม่เกินสามบรรทัดก็หาวหวอด ๆ บ่นว่าง่วง บ้างว่าปวดหัว บ้างว่าไม่ถนัด และอีกสารพัดเหตุผล เช่น เขาสมองทึบ หัวไม่ดี ความจำริบหรี่เหมือนสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่นี่ซึ่งมีขีดเดียว เพียงลมพัดมาก็วูบหาย เขาเรียนน้อย อ่านหนังสือไม่แตก ความสามารถในการตีความน้อยนิดเหมือนพลังงานแสงอาทิตย์ในวันฟ้าหลัว
เขาไม่ถนัดอ่านหนังสือ ฉันรู้อยู่แล้ว เวลาว่างเขาชอบหลบมุมนั่งดูการ์ตูนที่เคยอดดูในวัยเด็ก หรือไม่ก็คลิปกีฬา คลิปตกปลา คลิปหานกหาหนู หรือคลิปหาอยู่หากินของชาวบ้าน ซึ่งมีอยู่มากมายในอินเทอร์เน็ต ขณะฉันซุกอยู่อีกมุม จดจ่อกับการโต้เถียงการเมืองอย่างดุเดือดในโลกความจริงเสมือน
ขณะในโลกแห่งความจริง เราต่างใช้ความเงียบเป็นเครื่องต่อเวลาให้เรือลำนั้นยังคงล่องไปในแม่น้ำนิรันดร์
++++++++




ขอสงวนสิทธิ์ข้อความทั้งหมดภายในเว็บไซท์
Copyright by http://www.espressoandcigarette.com