รัก / ไม่ลืม
โดย ภักดิ์ วงสนั่น
แสงแดดยามเช้าส่องลอดกระจกหน้าต่างเข้ามาทันทีที่ฉันเปิดม่านออก ราวกับเหล่าภูติตัวน้อย ๆ ที่รอเวลาเฉิดฉาย เช้านี้ท้องฟ้าสดใสไร้มวลเมฆ ฉันควรจะต้องเพิ่มการซักผ้าลงไปในรายการสิ่งที่ต้องทำของวันนี้เสียแล้ว
เหล่าภูติแสงกระจายไปทั่วเผยให้เห็นห้องนอนที่ถูกตกแต่งไว้อย่างเรียบง่าย ม่านสีเขียวลูกไม้ที่เข้ากับเฟอร์นิเจอร์สีน้ำตาลอ่อนไม่กี่ชิ้น ราวกับว่าห้องนี้ไม่ได้มีหน้าที่อื่นนอกจากการพักนอนเท่านั้น นั่นจึงอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ขนาดของห้องดูแคบกว่าห้องมาตรฐานทั่วไป แม้ข้าวของจะดูไม่เป็นระเบียบอยู่บ้างเล็กน้อย มีกองหนังสือที่วางเทินสูงอยู่ที่โต๊ะหัวเตียง รวมถึงเสื้อผ้าสองสามชิ้นที่วางอยู่บนพื้น แต่บรรยากาศของทั้งห้องก็ยังชวนให้รู้สึกอบอุ่นเป็นมิตร เป็นห้องที่เต็มไปด้วยมวลของชีวิต
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ร่างที่กำลังทอดหายใจแผ่วเบา บนเตียงไม้ตรงหน้าของฉัน เป็นหญิงมีอายุที่เข้าใกล้คำว่าชราเข้าไปทุกที ผมของเธอแทบไม่มีสีเข้มให้มองเห็นแล้ว เสียงหายใจที่ดังขัดเป็นห้วง ๆ ร่างกายที่สั่นสะท้านเล็ก ๆ อยู่เป็นระยะ ฉันสามารถมองเธออยู่อย่างนี้ได้ตลอดทั้งวัน แต่นั่นคงไม่ดีต่อสุขภาพของเธอเท่าไร
“เธอคะ ตื่นได้แล้ว” ฉันสัมผัสมืออันเริ่มเหี่ยวย่นนั้นอย่างแผ่วเบาทะนุถนอม พร้อมร้องเรียกด้วยเสียงที่บ่งบอกอายุไม่ต่างกัน
เปลือกตาที่เรียงหลายชั้นนั้นสั่นไหวเล็กน้อยก่อนค่อยเผยออก ผู้ถูกเรียกหยีตาเพื่อปรับความสว่างให้เข้าที่ มองไปรอบ ๆ อย่างเชื่องช้าด้วยความสงสัย ก่อนสายตาจะหยุดลงที่ฉัน ด้วยความสงสัยไม่ต่างกัน
“ใครเหรอ”
“ข้าวมาแล้ว”
ฉันบรรจงวางจานข้าวลงตรงหน้าของเธอ ในขณะที่เธอกำลังพยายามเพ่งอ่านกระดาษใบหนึ่งในมือ ถึงพึ่งนึกขึ้นได้ว่าเช้านี้ฉันลืมใส่แว่นให้กับเธอ ฉันสัมผัสมือของเธอเบา ๆ เพื่อให้เธอเบนความสนใจมาที่ฉัน ก่อนจะหยิบกระดาษแผ่นนั้นออกจากมือเธออย่างนุ่มนวลที่สุด เธอมีอาการตกใจเล็กน้อยแต่ฉันก็ได้กระดาษแผ่นนั้นมาเรียบร้อยแล้ว ชั้นใช้มืออีกข้างเลื่อนจานข้าวเข้าไปหาตัวเธอมากขึ้น
“กินข้าวกินยาเรียบร้อยแล้วค่อยอ่านก็ได้เนอะ” ฉันยิ้มบอกแม้สายตาของเธอจะยังมองตามกระดาษไม่วาง แต่สุดท้ายก็ยอมกินข้าวอย่างว่าง่าย
ระหว่างนั้นฉันก็มีหน้าที่ต้องคอยเตรียมยาเอาไว้ให้ แล้วปลีกตัวออกไปเดินหาแว่นที่ห้องนอน น่าแปลกที่ปกติแล้วมันมักจะวางอยู่บนกองหนังสือที่โต๊ะหัวเตียง แต่วันนี้กลับไม่มีวี่แววของมันแม้แต่น้อย ฉันก้ม ๆ เงย ๆ หาเผื่อว่ามันจะตกลงไปข้าง ๆ จนรู้สึกเหมือนจะวูบไปพักหนึ่ง ถึงกับต้องนั่งลงบนเตียงอยู่พักใหญ่
เพล้ง!!
เสียงข้าวของหล่นดังมาจากนอกห้อง ฉันลุกพรึ่บขึ้นอย่างรวดเร็วจนเซไปเล็กน้อย แต่ก็ยังกัดฟันรีบรุดออกไปดูสถานการณ์ พบว่าแก้วสำหรับใส่ยาเตรียมไว้แตกกระจายอยู่บนพื้น น่าตกใจยิ่งกว่าคือการที่ร่างของเธอนั่งลงอยู่ข้างเศษแก้วพร้อมกุมมือที่มีเลือดแดงฉานไหลออกมาเป็นสาย ฉันแทบจะร้องกรี๊ดออกมาในครั้งแรกแต่ดีที่คุมสติตัวเองไว้ได้ทัน จึงรีบพยุงเธอกลับมานั่งบนเก้าอี้ดังเดิม หยิบกระดาษทิชชูมาให้เธอกดแผลเอาไว้ระหว่างที่ฉันรีบวิ่งไปหยิบกล่องปฐมพยาบาล แผลไม่ได้ลึกมาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องดีนักที่คนอายุเท่านี้จะต้องเสียเลือดออกจากร่างกาย
เมื่อจัดการแผลเรียบร้อยฉันก็ต้องหันไปจัดการเศษแก้วที่ตกอยู่บนพื้น พยายามมองหายาก็ไม่พบ เลยคาดว่าเธอน่าจะกินยาไปเรียบร้อยแล้วจึงทำหล่น ฉันระวังอย่างที่สุดเพื่อไม่ให้ต้องเจ็บตัวไปอีกคน ร่างของเธอค่อย ๆ ทรุดลงนั่งข้าง ๆ ฉันแล้วพยายามจะช่วยหยิบเศษแก้วทิ้ง ด้วยความตกใจฉันจึงควบคุมน้ำเสียงตัวเองได้ไม่ดีนัก
“ไม่ต้องช่วย!!!”
สีหน้าของอีกฝ่ายถอดสีจนใจของฉันหล่นวูบ เพียงชั่ววินาทีเท่านั้นที่ฉันได้สติกลับมาแล้วคว้ามือเธอเอาไว้ เธอชักหลบในครั้งแรกแต่ฉันก็ยังตามไป สัมผัสอีกฝ่ายให้แผ่วเบาที่สุด พร้อมรีบเปลี่ยนน้ำเสียงเพื่อป้องกันไม่ให้เธอตกใจ
“ไม่เป็นไรนะคะ เธอไปนั่งรอก่อน แป๊บเดียวนะ”
ฉันพยุงเธอให้ยืนขึ้น แต่คราวนี้พาเธอข้ามไปยังฝั่งที่ถูกจัดเอาไว้เป็นห้องนั่งเล่น ค่อย ๆ หย่อนเธอลงบนโซฟาหนังตัวยาวแล้วเดินไปเปิดม่านที่ประตูระเบียงเพื่อรับแสงให้มากขึ้น หันกลับมาอีกทีเห็นเธอกำลังลูบไล้โซฟาเหมือนทำท่าจะจับสัมผัสบางอย่างได้ ฉันจึงอาศัยจังหวะนี้รีบไปจัดการเศษแก้วให้เรียบร้อย
“เธอดูนี่สิ”
ฉันเอาอัลบั้มรูปหลายเล่มมากองไว้ที่โซฟาข้าง ๆ เธอ หยิบเล่มที่อยู่บนสุดมาเปิด ภาพแรกเป็นภาพของเธอกับเซิร์ฟบอร์ด เธอดูสนใจมันอยู่ไม่น้อย ฉันสะกิดเธอเบา ๆ ก่อนชี้ให้ดูเซิร์ฟบอร์ดอันเดียวกันที่วางพิงเอาไว้ที่ตู้ข้างทีวี
“ตอนนั้นเธออินกีฬาทางน้ำหนักมากเลยนะ นี่ขนาดขายทิ้งไปหลายชิ้นแล้ว เมื่อก่อนนี่มีอยู่เต็มห้องเลย”
สองสามรูปถัดมาเป็นรูปสมัยมหาวิทยาลัย เธอหยุดมือฉันไว้ขณะที่ฉันกำลังจะพลิกไปหน้าอื่น เธอใช้มือลูบไปตามภาพนั้น ราวกับจะนึกอะไรออก แต่ก็เพียงเท่านั้น เธอค่อย ๆ ถอยมือออกช้า ๆ แม้จะน่าเสียดายเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายมากนัก
“สมัยมหาลัยเนี่ย เธอสวยระดับดาวคณะเลยนะ สมัยนั้นผู้ชายโอดครวญเสียดายกันหมดเลย”
รูปต่อไปเป็นรูปของเธอในชุดดูอลังการ แวดล้อมของภาพเหมือนกำลังยืนอยู่บนเวทีอะไรสักอย่าง ฉันมองดูรูปนั้นอยู่พักหนึ่ง ไม่ว่าจะกี่ครั้งฉันก็ตกหลุมรักผู้หญิงคนนี้อยู่เสมอ แม้กลับกันแล้วผู้หญิงตรงหน้าของฉันจะไม่ได้เป็นสาวน้อยแรกแย้มเหมือนในรูป แต่เธอก็ยังมีบางอย่างที่ทำให้ฉันยังรู้สึกเหมือนเดิม แม้แววตาที่เคยซุกซนขี้เล่นจะเปลี่ยนเป็นเหม่อลอยไปเสียบ่อยครั้ง หรือริมฝีปากที่เคยเผยยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่เสมอจะนิ่งเรียบและแห้งผากไปเสียแล้วในวันนี้ แต่ก็ยังคงมีบางอย่าง บางอย่างที่ทำให้ฉันยังรักเธอไม่เสื่อมคลาย
…ต้องมีบางอย่างแน่ ๆ
ฉันรีบสะบัดหัวไล่ความคิดของตัวเอง ยังเช้าเกินไปที่ฉันจะอนุญาตให้ตัวเองแสดงความรู้สึกใด ๆ ออกมา ไม่งั้นวันนี้คงเป็นวันที่เหนื่อยมากเป็นแน่
“สวยเนอะ” ฉันชี้ไปที่รูปพร้อมเอ่ยชมเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจเธอ ก่อนจะพลิกไปหน้าถัดไป
ยังคงเป็นรูปสมัยมหาวิทยาลัยอยู่ แต่คราวนี้เป็นรูปเธอกับกลุ่มเพื่อน ๆ ฉันไล่นิ้วไปทีละคนพร้อมเล่าเรื่องของแต่ละคนให้เธอฟังเหมือนเช่นทุกวัน ทั้งเพื่อนสนิท เพื่อนที่เคยสนิท แต่ทุกครั้งฉันจะจงใจข้ามรูปของฉันไปเสมอ เช่นเดียวกับวันนี้ที่ฉันกำลังจะพลิกเปลี่ยนหน้าแล้วเธอก็เอานิ้วมาสอดคั่นไว้ นิ้วของเธอชี้อยู่ที่หญิงสาวหนึ่งคนที่กำลังส่งยิ้มให้กล้องอย่างเป็นธรรมชาติ
“เธอเหรอ” คราวนี้เธอเลื่อนนิ้วชี้มาที่ฉันที่กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ใช่ รูปนี้เธอเป็นคนถ่ายให้เลยนะ จะเรียกว่าเป็นรูปใบแรกที่เธอถ่ายให้เค้าก็ได้” ฉันพยายามจะไม่แสดงความดีใจจนออกนอกหน้า วันนี้ก็เป็นอีกครั้งที่วิธีนี้ใช้ได้ผล
“เธอ…สวยเนอะ” อีกฝ่ายพูดออกมาอย่างไร้เดียงสาไร้สิ่งเจอปน ราวกับเป็นความรู้สึกที่วิ่งตรงออกมาจากจิตใต้สำนึก
“ใช่” ฉันพยายามคุมน้ำเสียงเอาไว้ พร้อมปาดน้ำตาที่เริ่มรื้น “ตอนนั้นเธอก็ชมเค้าแบบนี้เหมือนกัน”
“เธอสวยจัง” เธอพึมพำซ้ำอย่างเดาความหมายไม่ได้ระหว่างใช้นิ้วไล้ไปมาบนภาพนั้น
“พอแล้ว เขินเกินไปแล้ว” ฉันทำเฉไฉปิดอัลบั้มลง ก่อนจะแอบหลบไปเช็ดน้ำตาที่เริ่มไหลออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
เธอหยิบเอาอัลบั้มอื่น ๆ ขึ้นมาเปิดดูบ้าง แต่ไม่ได้ดูตั้งใจนัก เหมือนเป็นการแค่เปิดผ่าน ๆ ก่อนหยิบอีกเล่มหนึ่งขึ้นมาทำแบบเดียวกัน ฉันเดาไม่ออกว่าเธอพยายามจะทำอะไร ก่อนที่มือของเธอจะมาหยุดอยู่ที่อัลบั้มหนึ่ง เธอเปิดมันออกช้า ๆ คราวนี้กลับตั้งใจดูมันทีละภาพ ไล่นิ้วไปตามภาพต่าง ๆ คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันราวพยายามรีดเค้นความทรงจำออกมา ความรู้สึกจำนวนมากวิ่งมาคลออยู่ตรงกระบอกตาของฉันเหมือนพร้อมรับกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นไม่ว่าในด้านดีหรือร้าย
อัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มที่ฉันรวบรวมช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกันเอาไว้ เรื่องที่น่าแปลกคือตั้งแต่เราเริ่มย้ายมาอยู่ด้วยกันเราก็มีรูปร่วมกันน้อยลง อาจเพราะแทบไม่จำเป็นเลยที่เราจะต้องบันทึกสิ่งเหล่านั้นเอาไว้ เพราะการมีกันและกันมันเป็นเครื่องยืนยันที่ไม่มีสิ่งใดสามารถลบล้างได้ เราเลยชะล่าใจ ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งมันจะกลายเป็นสิ่งจำเป็น เราคงไม่เคยคิดว่าเราจะถูกพรากจากกันด้วยเรื่องทำนองนี้
“สวยจัง”
เธอหยุดนิ้วลงที่รูปหนึ่ง เป็นรูปของที่เธอที่ยิ้มอย่างสดใสเป็นธรรมชาติ แม้หน้าของเธอจะเข้าใกล้กล้องจนเบลอเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่สามารถกลบทับความสุขของผู้หญิงในรูปได้แม้เพียงนิด รอยยิ้มของเธอสว่างสไวราวกับว่าชีวิตนี้เธอถูกเติมเต็มไปเรียบร้อยแล้ว เป็นชีวิตที่สมบูรณ์พร้อมของเธอแล้ว
“เธอถ่ายเหรอ สวยจัง”
ทันทีนั้นเอง ความรู้สึกทั้งมวลของฉันก็ไหลออกมาจากดวงตาที่พยายามข่มเกร็งมาตลอด ร่างของฉันโยกโยนไปมาตามจังหวะสะอื้น ฉันพยายามจะฝืนตัวเองให้เล่าเรื่องต่ออย่างเป็นธรรมชาติแต่ต่อให้เธออยู่ในสภาพนี้ก็คงพอจะเดาได้ว่ามันไม่ปกติ ฉันเริ่มไม่ฝืนตัวเองแล้ว มันอาจจะเช้าไปสำหรับเรื่องนี้ แต่ฉันอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ฉันค้นพบว่ายิ่งนานวันเข้าฉันยิ่งจัดการอารมณ์ตัวเองได้แย่ลง
รูปนั้น เป็นรูปที่ฉันถ่ายให้เธอเมื่อตอนที่เราไปเที่ยวด้วยกันเนื่องในโอกาสครบรอบตกลงเป็นแฟนกันได้หนึ่งปี เธอบอกว่าที่เธอยิ้มอย่างร่าเริงได้ขนาดนี้เพราะคนที่อยู่หลังกล้องคือฉัน คนที่ทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่สุดในโลก
นั่นเป็นประโยคที่ฉันจะต้องเล่าให้เธอฟังทุกครั้งเกี่ยวกับรูปนี้ แต่เท่าที่จำได้ ฉันน่าจะไม่เคยมีโอกาสได้พูดจนจบประโยคเลยสักครั้ง
ฉันบรรจงวางจานข้าวลงตรงหน้าเธอให้แผ่วเบาที่สุด แม้เธอจะดูไม่ได้สนใจมันมากนัก สายตาของเธอกำลังจับจ้องอยู่ที่สมุดร่างภาพของเธอสมัยที่เธอยังทำงานออกแบบอยู่ ทุกครั้งที่เธอจับมัน ฉันมักให้เธอมีดินสอติดมือเอาไว้เพื่อให้สามารถเขียนนั่นนี่ลงไปได้ กิจกรรมนี้ควรจะเรียบร้อยตั้งแต่ก่อนข้าวมื้อเที่ยงแต่ฉันดันเสียเวลาไปกับการร้องไห้นานกว่าที่คิด
แล้วก็ตามที่คาด เธอไม่ได้แตะข้าวเลยสักนิด ยังคงพลิกหน้ากระดาษไปมา ฉันเหลือบดูนาฬิกาที่เลยรอบกินยามาแล้วเล็กน้อย ฉันจึงขยับเข้าไปใกล้เธอแล้วตักข้าวป้อน รู้แหละว่ามันไม่ดีกับเธอนัก แต่อย่างน้อยก็อาจจะดีกว่าการที่เธอต้องกินยาไม่ตรงรอบวนไปเรื่อย ๆ
เธอขยับหัวหนีอย่างตกใจในตอนแรก จ้องมองฉันด้วยแววตาเป็นกังวล ฉันทำท่าอ้าปาก เธอทำตามฉันจึงยัดคำแรกเข้าปากเธอไปได้ เธอเบนความสนใจกลับไปสมุดในมือระหว่างที่ฉันตักคำถัดไป คราวนี้เธอโยกตัวหนีพร้อมใช้มือปัดป้อง ฉันไม่ละความพยายาม อาศัยจังหวะที่เธอเผลอยื่นช้อนเข้าไปใกล้อีกครั้ง แต่ฉันน่าจะเดาอารมณ์ของเธอพลาดไป คราวนี้เธอใช้มืดปัดสุดแรงจนช้อนกระเด็นไปไกล
เคล้ง!!
แววตาของเธอดูเดือดดาล จ้องมองมาที่ฉันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ฉันสั่นไหวเล็กน้อยกับแววตานั้น แต่มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่เสียทีเดียว
“กินข้าวสักหน่อยนะ จะได้กินยาได้นะ” ฉันพยายามเกลี้ยกล่อม
“กรี๊ดดดดดดดด” เธอสวนกลับด้วยเสียงกรีดร้องสุดเสียง “กินทำไม กินยาทำไม ทำไม กินยาทำไม”
ฉันรุดเข้าไปใกล้ด้วยอารามตกใจ พยายามคว้าแขนของเธอมาจับไว้ให้สงบลง แต่เธอกลับสะบัดมันทิ้งสุดแรง
“แม่ไปไหน แม่ไปไหน แม่” เธอยังคงโวยวาย คราวนี้ฉันคว้าเธอเอาไว้ได้ถนัดแล้วจึงรีบโถมเข้ากอดเธอเอาไว้แน่น
“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไรนะ ไม่กินแล้ว ไม่กินแล้ว”
“กรี๊ดดดดด มาทำไม มาทำไม แม่ แม่อยู่ไหนแม่”
ไม่ร้องเปล่า เธอทิ่มดินสอในมือลงบนไหล่ของฉันย้ำ ๆ ราวกับเป็นสัตว์ร้ายน่าเกลียดน่ากลัว ฉันพยายามรัดเธอให้แน่นขึ้น ปากก็ได้แต่พร่ำพูดคำเดิม ๆ อยู่อย่างนั้น ราวกับนึกวิธีรับมือแบบอื่นไม่ออกแล้ว
ไม่เป็นไรนะ ขอโทษนะ ไม่กินแล้ว ไม่กินแล้ว”
ใช้เวลาปล้ำกันอยู่นานกว่าเธอจะยอมสงบลง และหลับเป็นตายเนื่องจากใช้แรงเยอะ ที่เขาว่ากันว่าเหมือนเลี้ยงเด็กนี่มันคงหมายความว่าอย่างนี้สินะ ฉันขยับไหล่เพื่อไล่ความเจ็บแปล็บ ๆ จากดินสอ โชคดีที่แรงกำของเธอไม่มากพอจนทำให้ดินสอมันลื่นหลุดตั้งแต่ครั้งแรก ที่เหลือจึงเป็นเพียงแรงทุบจากคนผมแห้งเหี่ยวเฉาไร้เรี่ยวแรง ฉันเหลือบดูนาฬิกา พบว่าค่อนมาจะบ่ายแก่ ๆ แล้ว หากเลยเวลาไปกว่านี้คงจะไม่ได้ซักผ้าตามที่ตั้งใจเอาไว้เป็นแน่
ฉันปล่อยเธอให้หลับอยู่บนโซฟาอย่างนั้น พลางเดินเก็บอัลบั้มรูปที่กองอยู่ด้านข้างกลับเข้าที่ โดยไม่ลืมที่จะเรียงมันให้มีลำดับเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน ฉันเกือบเผลอหยิบเล่มรวมรูปตอนคบกันกลับเข้าตู้ไปเสียแล้ว ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามันควรวางอยู่ข้างโซฟา เพราะในคืนนั้นเป็นคืนที่เราหยิบมันออกมาระลึกความหลังร่วมกันในวันครบรอบปีที่สาม
ฉันหยิบสมุดร่างภาพของเธอขึ้นมาลบรอยดินสอที่ถูกเขียนเข้าไปใหม่ กังวลว่ามันจะทำให้เธอสับสนยิ่งกว่าเดิมหากมันเป็นภาพที่ไม่คุ้นเคย แล้วนำไปวางไว้บนโต๊ะทำงานของเธอ โดยไม่ลืมที่จะกางหน้าล่าสุดที่มีภาพร่างทิ้งเอาไว้เหมือนเช่นวันนั้น อาศัยจังหวะนี้ในการจัดแจงไปในตัว เผื่อจะลดงานในช่วงเช้าลงได้
เมื่อแน่ใจว่าทุกอย่างเข้าที่ดังเดิมเหมือนวันสุดท้ายก่อนเธอจะป่วยเรียบร้อยแล้ว ฉันจึงหยิบเอาตะกร้าผ้าในห้องน้ำออกไปซัก ก่อนจะเหลือบเห็นว่าแปรงสีฟันของเธอนั้นบานจนไม่น่าใช้งานต่อได้จึงหยิบทิ้งลงถังขยะ โดยต้องย้ำตัวเองให้ไม่ลืมที่จะหยิบแปรงใหม่จากตู้เก็บของมาแกะแล้ววางเอาไว้ เธอคงไม่ทันสังเกตหรอก เพราะไม่ว่าจะเป็นอันใหม่หรืออันเก่าก็มีหน้าตาเหมือนกันทั้งนั้น เช่นเดียวกับเสื้อผ้าที่ฉันยัดใส่ลงไปในเครื่อง มันเป็นเสื้อผ้าชุดแบบเดียวกันหลายชุด บ้างก็มีลักษณะคล้ายหรือสีคล้ายกันหากฉันไม่สามารถหาซื้อเสื้อแบบเดิมเพิ่มได้อีก
หลายคนเตือนฉันว่าสิ่งที่ฉันทำมันไม่ได้มีประโยชน์นัก แต่ฉันก็ยังเชื่อว่ามันจะช่วยให้เธอจำได้ในสักวันหนึ่ง
นี่ก็เข้าปีที่ห้าแล้วที่ฉันออกจากงานมาดูแลเธอเต็มตัว ฉันยังอดเสียดายไม่หายที่พยาบาลที่จ้างมาไม่ยอมทำสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ไม่งั้นเธอคงจะจำได้ไปนานแล้ว ฉันไม่ได้เพียงแค่คิดไปเองหรือหลงผิดเพราะยึดติดกับอดีต แต่มันพิสูจน์อยู่หลายครั้งว่าอยู่ ๆ เธอก็มักจะจำสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมาได้จากสภาพแวดล้อมที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก มีบางวันเธอเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานด้วยตัวเอง บางวันเธอก็หยิบเอาอัลบั้มภาพขึ้นมาเปิดดูเอง หรือเปิดเพลงโปรดของตัวเองฟังเหมือนเวลาก่อนเธอจะออกไปทำงาน สิ่งเหล่านี้ช่วยเธอเพราะมันไม่เปลี่ยนไปจากที่เธอพอจำได้มากนัก และนั่นก็พิสูจน์ด้วยว่าเธอยังมีความทรงจำในช่วงที่เราได้อยู่ด้วยกันแล้ว
ฉันจึงรู้สึกว่าฉันเสียเวลาสิบปีแรกไปโดยเปล่าประโยชน์ที่ไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้
ฉันเชื่อว่าสิ่งที่ฉันทำจะพาเธอกลับมาได้ในสักวัน หรืออย่างน้อยที่สุดให้แต่ละวันยังมีช่วงเวลาที่เธอพอจะนึกถึงฉันขึ้นมาได้บ้าง วันนี้เป็นวันที่ยากลำบากด้วยเพราะเธอพลาดการอ่านจดหมายในช่วงเช้า เดี๋ยวพอดูคลิปวิดีโอในช่วงเย็นก็คงจะทำให้เธอนึกอะไรออกขึ้นมาบ้างเหมือนเช่นทุกที
แค่นั้นก็มีความสุขแล้ว แค่ได้อยู่กับคนที่ฉันรัก คนที่ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนชีวิตฉันได้กลายเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก ฉันอยากเห็นเธอยิ้มอีกครั้ง แม้จะเล็กน้อยสักแค่ไหนก็ตาม
ฉันสะบัดผ้าหมาดให้คลี่ตัวออก แม้จะหมาดจนเกือบแห้งแล้วแต่กลิ่นแดดก็ยังเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการ เธอมักบอกว่าเธอชอบเสื้อที่มีกลิ่นแดดมากกว่ากลิ่นแก๊สของเครื่องอบ แม้จะทำให้งานของฉันเพิ่มขึ้นแต่ก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงอะไร
ฉันยกผ้าในมือขึ้นมาดมกลิ่นอ่อน ๆ ของดิกไม้สีขาว เป็นกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มแบบที่เธอชอบ เธอบอกว่าเพราะฉันซักเสื้อผ้าหอมเธอจึงไม่จำเป็นต้องเสียน้ำหอมราคาแพง ๆ สิ่งนี้แปรเป็นความภาคภูมิใจไม่กี่อย่างในชีวิตฉัน
ฉันยกผ้านั้นขึ้นมาใกล้ขึ้น ขยำมันให้เล็กลงเพื่อให้สามารถสูดดมกลิ่นนั้นได้ถนัด บ่ายของวันฟ้าใส้ในเมืองไทยนั้นร้อนจนร่างกายของฉันต้องขับน้ำออกมาเพื่อขับร้อน แม้มันจะไม่ได้ออกมาในลักษณะของเหงื่อ แต่ฉันคิดว่ามันไม่ต่างกัน
ไอร้อนจากดวงอาทิตย์คงเป็นสาเหตุให้ฉันรู้สึกราวกับว่าโลกรอบตัวค่อย ๆ ถูกขยุมเข้าหากันจนจับหัวหางไม่ถูก ร่างของฉันทรุดลงนั่งกับพื้นเนื่องจากทรงตัวไม่ถูก เป็นอาการปกติของคนเป็นลมแดด ร่างกายของฉันยังขับน้ำออกมาดับร้อนอย่างต่อเนื่อง คราวนี้ไม่ใช่แค่ตา แต่รู้สึกราวกับว่ามันหลั่งออกจาทั้งจากจมูกและปาก วันนี้คงจะร้อนมากกว่าทุก ๆ วัน กระบังลมของฉันกระตุกเพื่อคว้าอากาศรอบตัว อากาศทั้งหมดคงถูกความร้อนแผดเผาจนไม่เหลือแล้ว
ฉันกลับมาหายใจได้อย่างเป็นปกติอีกครั้ง ลุกขึ้นยืนหยัดตรงได้แม้จะมีเสียงกร็อบแกร็บลั่นมาตามทาง ช่วงเวลานี้ของวันเป็นช่วงที่ฉันทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้ตัวเองได้เป็นไปตามกระแสอารมณ์ ไม่แน่ด้วยว่าฉันควบคุมตัวเองได้น้อยลงตามอายุที่มากขึ้น หรือเพราะฉันยินดีที่จะได้ให้เวลาตัวเองในการระบายความรู้สึกภายในออกมาบ้าง ต้องเป็นอย่างหลังแน่ ๆ เพราะถ้าไม่อย่างนั้น ฉันคงตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไม่ถึงเกิดสิ่งนี้ขึ้นอย่างเป็นปกติ และไม่เคยคลาดเคลื่อนแม้สักครั้ง ไม่เหมือนกับรอบกินยาของเธอ
ฉันก้มมองดูผ้าในมือที่ยู่ยี่และมีคราบมากมายด้วยความรู้สึกเรียบเฉยอย่างบอกไม่ถูก วันนี้ก็มีเสื้อผ้าที่ชุ่มไปด้วยความฟูมฟายของฉันจนต้องซักใหม่อีกเช่นเคย
|