¦ ¦ ¦ ¦


ฉบับที่ 15 : ประจำวันที่ 1 กรกฎาคม 2568


หอมอวลหวนห้วงรัก
โดย ภัทรสิงห์




ในช่วงชีวิตอันแสนสั้นนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างมากมายนับไม่ถ้วนที่เราอยากจะไขว่คว้าเอาไว้หากทว่าไม่มีวันได้มาครอบครอง สำหรับเทียนหอมความปรารถนาอันแรงกล้านั้นเริ่มผุดขึ้นมารบกวนจิตใจตั้งแต่ยังเยาว์วัย
ณ สนามเด็กเล่นภายในโรงเรียนแห่งหนึ่งซึ่งเหล่าเด็กน้อยต่างก็จับกลุ่มเล่นกันอย่างสนุกสนาน ท่ามกลางเสียงวี้ดว้ายและความอลหม่านวุ่นวายเด็กหญิงผมเปียคนหนึ่งกำลังวิ่งเล่นอยู่กับเพื่อน ๆ ใครบางคนแตะเข้าที่หลังทำให้ครานี้เธอต้องเป็นคนวิ่งไล่ เด็กหญิงตัวเล็กออกวิ่งเต็มกำลัง ผมเปียทั้งสองข้างสะบัดปัดไปมา
เพื่อนแต่ละคนกระเจิงกันไปคนละทิศคนละทาง เป้าหมายหลักของเทียนหอมคือเด็กชายร่างท้วมอวบผู้เชื่องช้าอ้อยอิ่งที่สุดในกลุ่ม อีกนิดแค่เดียวก็จะไล่ทัน อีกเพียงก้าวเดียวก็จะเอื้อมถึง แต่แล้วในชั่วอึดใจนั้นเองเด็กหญิงผู้วิ่งไล่กลับทรุดลงกองกับพื้น มือหนึ่งยันกับพื้นยางกระด้างขรุขระซึ่งส่งกลิ่นฉุน อีกมือหนึ่งทึ้งเสื้อตรงบริเวณอกตน ความรู้สึกแน่นอึดอัดในอกทำให้เธออ้าปากพะงาบ ๆ พยายามหายใจเอาอากาศเข้าปอดให้ได้มากที่สุด ทว่าต่อให้อ้าปากกว้างเพียงใดหรือสูดหายใจเข้าแรงแค่ไหนก็หนีไม่พ้นความรู้สึกตีบตันยามขาดอากาศหายใจ
ยาพ่นที่พกไว้ทำให้ความทรมานของเทียนหอมสิ้นสุดลง เธอพยายามแล้วที่จะเป็นเหมือนกับเด็กคนอื่น เธอพยายามแล้วที่จะไขว่คว้าแต่สุดท้ายก็ล้มเหลว
“ยืนไหวไหม”
“เป็นอะไรเปล่า”
“โอเคไหม”
แม้เทียนหอมจะมองไม่เห็นใครเพราะกำลังหลับตาปิ๊ดพลางก้มหน้างุดแต่เธอก็รู้สึกได้ว่าเพื่อน ๆ กำลังห้อมล้อมรอบตัวเองอยู่ ด้วยความไร้เดียงสาและความเป็นห่วงเป็นใยจึงไม่มีใครตระหนักว่านี่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่เด็กหญิงผู้มีอาการหอบหืดจะตอบคำถาม ถึงกระนั้นทุกคนก็ยืนรอจนกระทั่งเทียนหอมพูดขึ้นมาด้วยเสียงอันอ่อนแรงว่า
“เล่นกันไปก่อนเลย เดี๋ยวเค้าขอไปนั่งพักตรงนั้นแป๊บนึง” เด็กหญิงผมเปียชี้ไปที่ม้านั่งไม้ตัวหนึ่งซึ่งตากแดดตากฝนจนสีเหลืองที่ทาไว้เริ่มหลุดลอก จากที่ตรงนั้นเทียนหอมนั่งมองเพื่อนทั้งหญิงและชายวิ่งไล่จับกันไปกันมา ณ จุดที่เงียบงันที่สุดของสนามเด็กเล่นความรู้สึกอันร้อนรุ่มกำลังโลดแล่นอยู่เบื้องหลังดวงตาสีดำกลมโตคู่ใส เด็กหญิงผมเปียกำหมัดอย่างหงุดหงิด ทำไมเธอจึงต้องเกิดมามีร่างกายที่อ่อนแอเช่นนี้ ทำไมถึงต้องถูกตัดขาดจากคนอื่นทั้ง ๆ ที่ไม่ได้อยากปลีกวิเวก ต้องกลายเป็นคนนอกอย่างไม่เต็มใจ ทำไม ทำไม ทำไม ความรู้สึกข้างในตึงเครียดขึ้นทุกวินาทีจนอาการหอบหืดกำลังจะกลับมากำเริบอีกครั้ง แต่แล้วก็มีใครบางคนนั่งลงข้าง ๆ เธอ บุคคลผู้บดขยี้โลกอันเงียบเหงาให้แหลกสลายลงไปในพริบตา
เธอคนนั้นคือรวิ เด็กหญิงผมสั้นผู้มีฝีเท้าว่องไวที่สุดในกลุ่มแถมยังเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่นิ่งระหว่างคาบเรียน พอถึงเวลาเรียนวิชาพละเมื่อไรเธอก็จะออกอาการลิงโลดทุกครั้ง เป็นคนที่น่าจะอยากไปวิ่งเล่นอยู่ตรงนั้นมากกว่าจะมานั่งจับเจ่าอยู่กับเธอตรงนี้ ทำเอาเทียนหอมอดฉงนไม่ได้
“ไม่ไปเล่นกับคนอื่นเหรอ”
“แบบนั้นเทียนหอมก็นั่งเหงาอยู่คนเดียวน่ะสิ” รวิตอบโดยไม่ลังเล เธอนั่งเตะขาอย่างเด็กอยู่ไม่สุข ไม่นานก็ลุกไปก้มหยิบกิ่งไม้กับใบไม้ที่ร่วงเกลื่อนอยู่ตรงพื้นดินใต้ต้นไม้ขึ้นมาแล้วเอากิ่งไม้เสียบทะลุใบไม้หลาย ๆ ใบจนพวกมันซ้อนกันเป็นชั้น ๆ บางใบแห้งกรอบและมีสีน้ำตาล บางใบยังคงพอสด มีทั้งความชื้นและสีสัน
“มาเล่นนี่กันดีกว่า ใครทำบาร์บิคิวได้มากที่สุดคนนั้นชนะ”
ความร่าเริงและเป็นมิตรของรวิเปรียบได้ดั่งแสงอาทิตย์อ่อน ๆ ที่ส่องให้โลกของเทียนหอมสว่างไสวและอบอุ่นกว่าที่เคย เธอแหงนมองดวงตะวันที่ลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้ากระจ่างใสนั่น ดวงตะวันที่ไม่เคยอยู่นิ่งและมีแรงดึงดูดบางอย่างที่ทำให้เทียนหอมอยากจะเข้าใกล้และไล่ตาม
แรงดึงดูดของรวิทำให้ส่วนหนึ่งของเทียนหอมเริ่มตั้งคำถาม ‘ที่เริ่มออกกำลังกายจริงจังนี่ก็เพราะว่าอยากจะแข็งแรงพอที่จะวิ่งเล่นกับเด็กคนอื่น ๆ ได้โดยไม่หอบไม่ใช่เหรอ?’ ‘แค่ไม่แปลกแยกจากคนอื่นก็พอแล้วนี่ ใช่ไหม?’
ไม่ มันไม่ใช่แค่นั้น…ที่พยายามมาทั้งหมดไม่ใช่แค่เพื่อที่จะอยู่ร่วมกับใครก็ได้แต่เป็นเพราะว่าเทียนหอมอยากจะอยู่เคียงข้างรวิ ไม่ใช่แค่ในฐานะคนที่เอาแต่ตามเธอต้อย ๆ แต่เป็นคนที่สามารถเคียงบ่าเคียงไหล่ เป็นที่พึ่งพาให้เธอได้เรื่อยไป แต่ถึงจะพยายามเพียงใดดวงตะวันก็ยังเป็นสิ่งที่อยู่ไกลเกินเอื้อม
ช่วงประถมปลายรวิค้นพบความฝันของตัวเองและเริ่มฝึกฝนเพื่อเป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอล เธอก้าวต่อไปในจุดที่เทียนหอมไม่สามารถไปถึงได้อีกครั้ง เด็กหญิงผมเปียทอดสายตาไปยังสนามบาสสีน้ำเงินสดใส นัยน์ตามองตามการเคลื่อนไหวอันคล่องแคล่วว่องไวของผู้เล่นในตำแหน่งชู้ตติ้งการ์ด เด็กหญิงผมสั้นผู้ปราดเปรียวโผนกระโจนพลันโยนลูกลงห่วงขณะลอยตัวอยู่กลางอากาศ เป็นอีกครั้งที่รวิยิงลูกแบบเลย์อัพได้อย่างสวยงาม เสียงร้องแห่งความยินดีจากเหล่าผู้ชมข้างสนามดังลั่น เสียงเฮของเทียนหอมเองก็ถูกกลืนเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับเสียงของผู้คนทั้งหลาย
ปี๊ด! ปิ๊ด! ปิ๊ด! ปิ๊ด! ปี๊ด! เสียงนกหวีดหมดเวลาดังขึ้นขัดจังหวะการโต้กลับของทีมฝั่งตรงข้าม เด็กหญิงผมสั้นและเพื่อนร่วมทีมอีกสี่คนวิ่งกรูกันไปหาเพื่อนร่วมทีมคนอื่น ๆ ที่อยู่ตรงที่นั่งตัวสำรอง เพื่อนคนหนึ่งตีมือกับรวิ เพื่อนอีกคนที่น้ำตากำลังคลอเบ้ากอดเธอจากข้างหลัง
รอยยิ้มของเด็กหญิงผมเปียหุบหาย ในอกกระตุกวูบยามที่รู้ตัวว่าตนเองเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ในชีวิตของคนที่เธอมีความรู้สึกดี ๆ ให้ ราวกับกำลังเฝ้าดูนกน้อยที่เริ่มโตพอจะออกบิน มันกางปีกทะยานสู่ฟ้ากว้างสีคราม ส่วนเธอก็ทำได้แค่แหงนมองจากพื้นดินข้างล่างนี้และชื่นชมในทุกสิ่งที่มันเป็น ทั้งน่ารัก งดงาม กล้าหาญ อิสระเสรีและสามารถทำในสิ่งที่เธอไม่มีวันทำได้
ถึงกระนั้นทั้งสองสิ่งที่เทียนหอมชื่นชมก็บอบบางกว่าที่เธอคิด หากไม่ระวังให้ดีทั้งปีก ขนและกระดูกที่แสนวิเศษนั่นก็อาจจะบุบสลายได้ เสียงร่ำไห้และอาการหวาดวิตกของรวิบีบเค้นหัวใจเทียนหอมเสียยิ่งกว่าภาพของนกกินปลีอกเหลืองตัวกระจ้อยร่อยที่นอนตัวสั่นอยู่บนพื้นหลังจากบินชนกระจกใสกิ๊งบานแกร่งและพลัดตกลงมาจากชั้นสองของบ้าน
“คุณหมอบอกแล้วนี่ว่าถ้าดูแลดี ๆ ก็หายแน่นอน”
“ก็เท้ามันรู้สึกแปลก ๆ นี่! แบบนี้จะหายจริง ๆ เหรอ มันคงไม่ได้มีอาการอะไรเพิ่มมาหลังจากที่หมอเขาตรวจใช่ไหม!? เมื่อกี้เผลอทำเฝือกกระแทกนิดนึงด้วย!” ความรู้สึกของรวิยังคงวนเวียนอยู่ในสนามที่เธอลงแข่งเมื่อวันก่อน เด็กหญิงผมสั้นพุ่งทะยานไปเพื่อยิงลูกแบบเลย์อัพอย่างว่องไวตามแบบที่เธอชอบทำเมื่อมีโอกาสแต่ครั้งนี้มันสูง เร็วและแรงเกินกว่าที่ตั้งใจไว้จนพลั้งลงพื้นผิดพลาด ฉับพลันนั้นฝ่าเท้ารู้สึกเจ็บแปล๊บจนประคองตัวยืนไม่ไหว เมื่อถอดรองเท้าและถุงเท้าออกเธอก็มองเห็นเท้าของตัวเอง บริเวณฝ่าเท้าเปลี่ยนเป็นสีม่วงและบวมฉึ่ง รวิลืมหายใจ หลังและลำคอรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ วูบวาบ นี่ใช่เท้าของเธอจริง ๆ ใช่ไหม
“งั้นก็ให้คุณหมอตรวจดูอีกรอบก็ได้ แต่ไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรเพิ่มใช่ไหม”
เด็กหญิงผมสั้นส่ายหน้าพลางปาดน้ำตาและน้ำมูกที่หลั่งไหลมาไม่ขาดสาย สีหน้ายังคงบูดเบี้ยว ปากยังคงส่งเสียงสะอื้นออกมาเป็นระยะ ๆ
“งั้นก็ไม่น่าเป็นอะไร เพราะงั้นไม่ต้องกังวลแล้วนะ” เทียนหอมกุมมือของรวิไว้ แม้ว่ามันจะทั้งเปียกทั้งเปื้อนไปด้วยน้ำตาและน้ำมูกยืดย้อยเธอก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจแต่อย่างใด
อาการของรวิดีขึ้นตามลำดับดังคาด หลังจากที่ทำกายภาพบำบัดและฟื้นฟูทักษะอยู่พักหนึ่งเธอก็กลับมาเล่นกีฬาที่เธอรักได้อีกครั้ง วันเวลาเลยผ่านไปจนความหวาดกลัวในช่วงเวลานั้นกลายเป็นความทรงจำที่เลือนรางหากทว่าไม่อาจลืมเลือน เทียนหอมและรวิต่างก็เติบโตขึ้นเป็นเด็กมัธยมปลาย
รวิผมยาวขึ้นจนเปลี่ยนมารวบหางม้าและรักสวยรักงามมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า เธอดูสมหญิงขึ้นมาแม้ว่าจะตัวสูงพอ ๆ กับผู้ชายก็ตาม ส่วนเทียนหอมนั้นไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมมากมาย เธอยังคงชอบทำผมเปีย จะมัดแบบไหนก็ตามแต่อารมณ์ ส่วนสูงก็หยุดนิ่งอยู่ที่หนึ่งร้อยห้าสิบหกเซ็นติเมตรมาได้พักใหญ่แล้ว ที่เปลี่ยนไปคงมีแต่สีผิวที่คล้ำขึ้นเพราะเจ้าตัวออกไปตากแดดตากลมเพื่อส่องดูนกทั้งแบบที่เป็นกิจกรรมค่ายและที่ไปตามดูเอง
เทียนหอมและรวิเรียนต่อที่โรงเรียนมัธยมแห่งเดียวกัน พวกเธอยังคงรักษามิตรภาพและสายสัมพันธ์ที่มีเอาไว้ได้แม้ว่าความชอบความสนใจจะไปกันคนละทิศละทางก็ตาม และบางครั้งทั้งคู่ก็มีโอกาสได้มานั่งพูดคุยกันแค่สองต่อสอง เรื่องสัพเพเหระต่าง ๆ นา ๆ ถูกหยิบยกขึ้นมาในบทสนทนา เด็กสาวทั้งสองหัวเราะคิกคัก ทว่าในใจของเทียนหอมกลับว้าวุ่น ความรู้สึกที่เก็บงำมาตลอดหลายปีนั้นคุกรุ่นเจียนจะปะทุ ถ้าพูดออกไปแล้วอีกฝ่ายจะคิดจะมองเธอเช่นไร จะรังเกียจกันรึเปล่า จากนี้ไปจะมองหน้ากันไม่ติดไหม มันคุ้มหรือที่จะลองเสี่ยงดู ถึงกระนั้นเทียนหอมก็รวบรวมความกล้า เธอเผยอปากเตรียมจะเอื้อนเอ่ยความในใจออกไป หากทว่ารวิกลับชิงพูดขึ้นเสียก่อน
“เทียนหอม แกเคยชอบใครไหม…จะว่าไปไม่เคยเห็นพูดเรื่องอะไรพวกนี้เลยนี่”
คำถามของรวิทำคนถูกถามเอาหายใจไม่ทั่วท้อง นี่เป็นคำถามวัดใจหรืออะไร…ไม่น่าใช่แบบนั้น ลองพูดอะไรที่จะทำให้หาที่มาที่ไปของคำถามนี้ได้ดีกว่า “ไม่เคย ทำไมอะ ถามแบบนี้แอบชอบใครอยู่หรือไง”
เด็กสาวผู้เปิดประเด็นเม้มริมฝีปากแล้วเบือนใบหน้าที่เริ่มมีสีแดงระเรื่อหนีไปทางอื่น เห็นเท่านั้นเทียนหอมก็นิ่งทื่อไปชั่วขณะ หัวตื้อ หูอื้ออึง ความหวังที่ริบหรี่พอ ๆ กับเปลวไฟเล็ก ๆ ตรงปลายไส้เทียนดับวูบ หลงเหลือเพียงความมืด กลิ่นของน้ำมันหอมระเหยที่ผสมอยู่ในเนื้อเทียนและกลิ่นควันไหม้ เด็กสาวผมเปียกำมือแน่น เธอพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกอันขุ่นมัวเอาไว้ภายใต้น้ำเสียงหยอกเย้าและถ้อยคำที่แสดงถึงความใคร่รู้ให้สมกับบทบาทของเพื่อนสนิท “จริงปะเนี่ย”
รวิเล่าถึงศศินด้วยท่าทีเขินอาย ดวงตาคู่คมซึ่งปกติเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะและทำตามฝันบัดนี้กลับแลดูอ่อนหวานหยาดเยิ้มด้วยความรัก เทียนหอมอดสงสัยไม่ได้ว่าตัวเองเคยส่งสายตาหวานซึ้งเช่นนี้เวลาที่มองรวิหรือไม่ แต่ช่างเถอะ ถึงเคยเผลอทำไปอีกฝ่ายก็คงไม่เคยนึกสงสัยอะไรเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะดีใจที่ความไม่เคยแตกหรือเศร้าซึมที่อีกฝ่ายไม่มีวันที่จะรู้สึกแบบเดียวกันดี
เมื่อพูดถึงศศินภาพของเด็กชายรูปร่างตุ้ยนุ้ยที่เคยวิ่งเล่นด้วยกันก็ผุดขึ้นมาในหัวของเทียนหอมเป็นภาพแรก หากทว่าปัจจุบันศศินได้เติบโตขึ้นมาเป็นหนุ่มนักดนตรีผู้เปี่ยมเสน่ห์ ร่างกายที่เคยท้วมกลมบัดนี้กลับยืดขึ้นกลายเป็นสูงและสมส่วน หน้าตาเขาน่ารักน่าเอ็นดูเป็นทุนเดิมอยู่แล้วและในที่สุดก็ฉายแววความหล่อเท่ออกมาให้เห็น
รวิไม่เคยออกอาการขนาดนี้มาก่อน แต่เมื่อนึกย้อนดูดี ๆ แล้วเทียนหอมก็เคยเห็นรวิจับจ้องศศินยามที่เขาจดจ่ออยู่กับการพรมนิ้วลงบนคีย์บอร์ดและจมดิ่งสู่โลกแห่งดนตรีอยู่บ่อยครั้ง
“แกว่ามันพอมีโอกาสไหมที่ศินจะชอบเราในแบบนั้นน่ะ”
หลังเลิกเรียนวันนั้นเทียนหอมตรงดิ่งกลับบ้านทันที ภายในบ้านสองชั้นหลังน้อยซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้านปิดและรายล้อมด้วยดอกไม้หอมรวยรื่น เธอทิ้งตัวลงบนที่นอน พลิกตัวไปมา ท้ายที่สุดก็นอนหงายมองเพดานจนหยดน้ำตาไหลรินลงรูหู รู้ทั้งรู้ว่าไม่น่ามีโอกาสแต่ก็ยังแอบหวังจนต้องมาทนร้อนรุ่มทุรนทุราย รู้ทั้งรู้ว่าศศินเองก็แอบปลื้มรวิแต่ก็ยังไม่อยากบอกให้เธอรู้ตัว
ต้นสายน้ำผึ้งส่งกลิ่นหอมหวานเย็น ๆ ลอยฟุ้งอยู่บริเวณหน้ารั้วบ้านรอคอยให้คนอกหักมารดน้ำตามหน้าที่ น้ำประปาจากสายยางเย็นชื่นใจผิดกับอาการร้อนผ่าว ๆ ที่ดวงตา จมูกและลำคอ ห้วงอารมณ์ขมตรมผิดกับรสของน้ำหวานจากดอกสายน้ำผึ้ง เทียนหอมจ้องมองเจ้าไม้เลื้อยซึ่งมีดอกสีขาวและเหลืองนวลเชิดสง่า ความคิดเธอล่องลอยไปสู่ความทรงจำเมื่อครั้งที่รวิแวะมาเที่ยวเล่นที่บ้านและเด็ดดอกสายน้ำผึ้งมาเพื่อลิ้มรสน้ำหวานอันน้อยนิด รอยยิ้มระรื่นและท่าทางร่าเริงสดใสของเด็กหญิงผมสั้นยังคงไม่เลือนหายไปจากใจของเทียนหอม ทำไมถึงเป็นเธอไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่อยู่เคียงข้างกันมาตลอดแท้ ๆ
เสียงร้องเจื้อยแจ้วของนกปรอดหัวโขนดังแว่วมาจากบ้านหลังข้าง ๆ ดูเหมือนว่าจะยังไม่มีใครมาดึงผ้าซึ่งม้วนพับอยู่ด้านบนของกรงให้ลงมาคลุมกรงและส่งมันเข้านอน เจ้านกขนสีดำขาวหัวชี้แหลมกระโดดโหยงเหยงไปมาในกรงไม้อันคับแคบ เห็นแล้วอดรู้สึกอึดอัดแทนไม่ได้ มันดูงุ่นง่านไม่เหมือนกับนกเขาชวาตัวกระปุ๊กลุกที่เดินอ้อยสร้อยอยู่กันเป็นคู่ ๆ เจ้าพวกนี้อยากจะบินจะเดินไปไหนก็ไปได้ดังใจ นึกอยากจะนอนอาบแดดตรงไหนก็นอนกันเอกขเนก
เทียนหอมถอนหายใจ เธออยากเห็นรวิมีความสุข ต่อให้คนที่ทำให้โลกของรวิสดใสจะไม่ใช่เธอก็ไม่เป็นไร หากหัวใจของรวิปรารถนาที่จะโบยบินไปหาและวนเวียนอยู่กับใครสักคนที่เธอรัก คนที่เป็นได้แค่เพื่อนอย่างเธอก็ไม่ได้มีสิทธิ์อะไรจะไปยื้อยุดอีกฝ่ายเอาไว้
หลังจากนั้นไม่นานรวิและศศินก็เริ่มคบหากัน ใครบางคนคาบข่าวไปบอกศศินถึงโอกาสที่เขาจะต้องอยากคว้ามันไว้ ใครคนนั้นแอบร้องไห้อย่างเงียบ ๆ ในมุมเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครเห็น
หลายปีผ่านไปต้นสายน้ำผึ้งต้นเดิมยังคงออกดอกส่งกลิ่นหอมอบอวล กลิ่นหอมหวานสดชื่นของมันพาให้เทียนหอมในวัยผู้ใหญ่หวนนึกถึงรักแรกที่มิอาจสมหวัง ห้วงรักรสหวานอมขมที่มีแต่ความรู้สึกของเธอเพียงฝ่ายเดียว หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกจนสุดปอดก่อนจะผ่อนลมออกทางจมูก แม้จะอดนึกย้อนถึงอดีตไม่ได้แต่ชีวิตต้องก้าวต่อไป ตัวเธอเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน จากเด็กนักเรียนสู่ผู้ใหญ่วัยทำงาน จากที่เคยมีเส้นผมดำขลับยาวจนถักเปียได้สะดวกก็ตัดมันให้สั้นประบ่าและย้อมสี ดวงตาคู่กลมที่เคยเฝ้ามองรวิด้วยความรักความหลงนั้นบัดนี้สะท้อนเพียงความชื่นชมและห่วงใยฉันมิตร
รวิยังคงโลดแล่นอยู่บนสนามแข่งอย่างงามสง่าราวกับวิหกที่กำลังกางปีกโผบินอยู่บนท้องนภาอันกว้างใหญ่และมีชีวิตรักที่มีความสุขดีกับศศิน เทียนหอมรู้เรื่องนั้นเพราะพวกเธอยังคงติดต่อกัน
ดวงตาคู่กลมจับจ้องไปที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือ ใครบางคนส่งข้อความมา ใครคนนั้นที่ทำให้เทียนหอมยิ้มอย่างอ่อนโยน คนที่ใจตรงกันและทำให้เธอไม่ต้องคอยแอบรักข้างเดียวอีกต่อไป





ขอสงวนสิทธิ์ข้อความทั้งหมดภายในเว็บไซท์
Copyright by http://www.espressoandcigarette.com