¦ ¦ ¦ ¦


ฉบับที่ 15 : ประจำวันที่ 1 กรกฎาคม 2568


ระหว่างเรา...ระหว่างลืม
โดย เฟวา



ใต้ต้นหูกวางต้นใหญ่ กลางสนามหญ้าหลังตึกนิเทศฯ มีเสียงพัดลมตัวใหญ่ของห้องซ้อมละครครางหึ่งๆ อยู่ในอากาศเย็นๆ
มีใครบางคนนอนหงายอยู่บนพื้นหญ้าแห้ง จากตรงนั้นไม่ไกลกันนัก มีใครอีกคนกำลังนั่งไขว่ห้างอยู่ที่ม้าหิน กางบทละครในมือและใส่ใจอ่านตัวหนังสือในนั้นอย่างตั้งใจ
เราสองคนไม่ได้อยู่ตรงนั้นเพื่อซ้อมบท และไม่ได้อยู่ตรงนั้นเพราะไม่มีอะไรทำ
เราอยู่ตรงนั้นเพราะมันง่ายที่สุดแล้วสำหรับการพูดออกไปว่า “คิดถึง”
“พี่นับ” คนที่นอนหงายอยู่บนพื้นหญ้าเรียกหาฉัน แล้วลุกเดินมาพร้อมกับใบไม้ในมือที่ถูกแกว่งเล่นในอากาศ
“ว่า”
“ถ้าเราเรียนจบกันแล้ว พี่นับว่าเราจะเจอกันได้บ่อยๆ แบบนี้ปะ”
“บ่อยไม่บ่อยมันไม่สำคัญเท่ากับว่าเราอยากเจอกันรึเปล่ามากกว่า”
คำตอบที่ไม่ได้ถูกคิดขึ้นมาให้สวยๆ แต่เป็นความจริงง่ายๆ ที่เราในวัยนั้นยังเชื่อเหลือเกินว่า ความรู้สึกดีๆ จะพาเราไปได้ไกลแสนไกล ไกลเท่าไหร่ หรือไกลแค่ไหนก็ได้
มินมินหัวเราะนิดหน่อย แล้วขยับตัวเข้ามาใกล้กับฉันจนตัวเราติดกัน กลิ่นแชมพูหอมอ่อนๆ ลอยมาแตะที่ปลายจมูก
ฉันไม่ได้ขยับหนี
และเธอก็ไม่ได้ขยับออก
ในโลกที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมายของคณะนิเทศฯ แห่งนั้น มีโปรเจกต์ที่เราต้องร่วมกันทำ เลยทำให้ฉันกับมินมินตัวติดกันเป็นเงา ตั้งแต่ Logline Plot Synopsis Storyboard นั่งตัดคลิปกันยันตีสาม ไปจนถึงการซ้อมบทที่มินมินต้องเล่นเป็นตัวละครหลักที่ฉันเขียนขึ้นจากชีวิตธรรมดา...ธรรมดาของพวกเรา
เวลานั้น ฉันยังมีความเชื่อว่า การสร้างเรื่องราวกับใครสักคนหนึ่ง คือการสร้างอนาคตที่เราจะก้าวไปพร้อมๆ กัน และที่สำคัญ คือฉันอยากจะสร้างเรื่องราวโดยที่มีมินมินอยู่ในนั้นไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นวิชาไหน ผ่านไปถึงปีไหน หรือผ่านวัยไหนไปแล้วก็ตาม
“พี่นับ” เสียงมินมินดังขึ้นอีกครั้งขณะที่พยายามทำความเข้าใจทฤษฎีสามองก์ในเอกสารที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านอยู่
“ว่า”
“ถ้าเราเขียนบทให้ชีวิตของเราได้เอง พี่อยากให้ตอนจบเป็นยังไง”
ฉันวางปากกาในมือลง แล้วมองไปยังคนที่ถามอย่างเต็มตา
“ไม่ต้องมีตอนจบ...แล้วถ้าเลือกได้ ก็อยากให้อยู่ด้วยกันไปแบบนี้”
มินมินอมยิ้ม ยื่นมือมาหยิบเศษหญ้าที่ติดอยู่บนเสื้อของฉันตอนไหนไม่รู้ออก สัมผัสแผ่วเบาแค่นั้น ทำให้ฉันแน่ใจว่า คำที่ไม่พูดออกมา บางทีก็มีน้ำหนักมากกว่าคำไหนๆ ในโลก
.
.
วันเวลาเดินผ่านไปเร็วเกินกว่าที่เราจะคว้าเอาไว้ได้
จากที่นั่งกินข้าวด้วยกันในห้องซ้อม กลายเป็นนั่งแยกโต๊ะกันในคาเฟ่ที่มีปลั๊กไฟไม่พอเสียบโน๊ตบุ๊ค 2 เครื่อง
จากที่เคยคุยกันเป็นหลายชั่วโมงถึงโปรเจกต์ในฝัน กลายเป็นต่างคนต่างนั่งอ่านเอกสารสัญญางานที่แต่ละคนได้มา
และ...
จากการที่เคยเดินกลับหอด้วยกัน กลายเป็นการส่งสติ๊กเกอร์หมีบราวน์สู้ๆ ทางไลน์เงียบๆ ตอนตีสอง
ฉันไม่แน่ใจว่าเราเริ่มห่างกันตอนไหน บางทีอาจจะเป็นตอนที่ฉันเริ่มรับงานเขียนบทซีรีส์ให้กับช่องแพลตฟอร์มใหญ่ๆ มากขึ้น หรือตอนที่มินมินเริ่มเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้กับน้ำหอมยี่ห้อดังระดับโลกชิ้นแรก

เราไม่ได้ทะเลาะกัน
เราไม่ได้พูดจาไม่ดีใส่กัน
เราแค่กำลังเติบโตขึ้นคนละทาง
เหมือนเส้นเรื่องที่เคยเป็นเส้นเดียวกัน กลายเป็นเส้นโค้งที่ค่อยๆ แยกออกจากกัน...โดยที่ไม่มีใครตั้งใจ

คืนนั้นหลังจากโปรเจกต์ที่เราช่วยกันปั้นได้รางวัลเล็กๆ ของคณะมาครอง ฉันกับมินมินเราถ่ายรูปด้วยกันที่หน้าป้ายงาน เธอถือโทรศัพท์มือถือด้วยมือซ้าย แขนขวาโอบไหล่ฉันไว้หลวมๆ กลิ่นแชมพูหอมอ่อนๆ ปลิวมาแตะที่ปลายจมูกยังคงอุ่นเข้าไปถึงในหัวใจ
“พี่นับ” มินมินกระซิบตอนแนบหัวเข้ามาใกล้ๆ
“อือ”
“ขอบคุณนะที่เขียนเรื่องของเรามาให้มินเล่น”
ฉันไม่ตอบอะไร ได้แต่ยิ้มกลับไป
เพราะรู้ดีว่า...บางคำตอบที่ดีที่สุด คือปล่อยให้มันลอยค้างอยู่ในอากาศแบบนั้น
ไม่มีใครรู้หรอกว่า...ความรัก ในบางครั้ง ไม่ได้จบลงเพราะเราหมดรัก แต่จบลงเพราะโลกมันกว้างเกินกว่ามือสองมือจะกุมกันไว้ตลอดเวลา
.
กองถ่ายในวันสุดท้ายเต็มไปด้วยแสงไฟที่ไม่เคยปราณีใบหน้าใคร
ฉัน... “นับดาว” ที่ใครๆ เรียกว่า พี่นับ เจ้นับ อีนับ ไอ้นับ หรือวงวารลูกๆ ชาว LGBTQ+ เรียกว่า แม่นับ ... กำลังนั่งอยู่ในเงามืดข้างฉากไม้ปลอม
“สุดท้ายแล้วนะพี่นับ” เสียงของมดแดง เด็กสคริปต์ดังขึ้น ฉันพยักหน้ารับแล้วยิ้มกลับไปให้
ในมอนิเตอร์ตรงหน้า ‘มินทิรา’ นักแสดงขวัญใจชาวแซฟฟิก ที่ใครๆ รู้จักและเรียกเธอว่า ‘มินมิน’ กำลังนั่งอยู่ในซีนห้องนั่งเล่น เส้นผมยาวถึงกลางหลังสีดำขลับสะท้อนกับไฟฉาก เธอกำลังนั่งเขย่าขาเล็กน้อย เป็นท่าที่ฉันรู้ดีที่สุดว่าไม่ใช่แอคติ้งแต่กำลังประหม่า

บางครั้ง...ความรักก็ยังคงเผยตัวอยู่ในจังหวะเล็กๆ แบบนั้น
แม้คนเราจะทำเป็นลืมกันเก่งขนาดไหนก็ตาม
และฉันเอง ก็คือคนที่เลือกจะเขียนทุกอย่างลงไปในซีนนี้ทั้งหมด ทั้งที่รู้ว่าจะไม่มีใครรู้ นอกจากเธอ

ในตอนแรกที่พี่กอล์ฟ ผกก.ซีรีส์มือรางวัลติดต่อมาที่ฉัน บอกว่าอยากได้พล๊อตแซฟฟิกสักเรื่อง ขอจบแบบ Bittersweet แต่ให้หนักไปทางร้าวๆ นักแสดงนำคือ มินมิน มินทิรา ฉันปฏิเสธทันที แต่แล้ว ฉันก็หยิบมือถือขึ้นมาแล้วกดกลับไปยังเบอร์ที่เพิ่งโทรหาฉันเมื่อกี้นี้
“พี่กอล์ฟ ถ้ารับเขียน ขออยู่ทีมคุมบทด้วยได้มั้ย” ฉันบังอาจต่อรองกับตัวแม่แห่งวงการผู้กำกับ
และก็เป็นตามคาด พี่กอล์ฟ say yes ทุกการร้องขอ
ฉันจึงมายืนอยู่ ณ ตรงนี้
.
มีเรื่องหนึ่งที่ฉันมักลืมเล่า เวลาที่ให้สัมภาษณ์ว่าเส้นทางในวงการนี้ของฉัน เริ่มต้นมาได้ยังไง
ฉันไม่ได้เริ่มต้นคนเดียว
ฉันเริ่มต้นมาพร้อมกับใครอีกคน
คนที่เคยอยู่เคียงข้างกันในทุกจังหวะของความฝัน
มินมินก้าวเข้ามาในวันที่โลกของฉันยังว่างพอที่จะเชื่อว่าความฝันไม่ใช่ของฟุ่มเฟือย เราเจอกันใน sec เดียวกันบ่อยๆ โดยเฉพาะวิชาเขียนบทเบื้องต้นที่แทบจะไม่มีใครสนใจ มินมินนั่งอยู่แถวหลังสุด ยกมือขอคำอธิบายเรื่อง “เส้นเรื่องรอง” ด้วยน้ำเสียงที่จริงจังเกินกว่าที่ใครจะคาดหวังจากเด็กปีหนึ่ง
ฉันนั่งมองเธออยู่ที่มุมห้อง คิดเพียงว่าน้องคนนี้น่าสนใจ แล้วก็ยังไม่ทันตั้งตัว เรากลายมาเป็นทีมเดียวกันในการทำโปรเจกต์ประกวดของคณะ
เราใช้เวลาทั้งกลางวัน กลางคืน ทุ่มให้โปรเจกต์อย่างเอาเป็นเอาตาย เราต่างมีไฟในตัวเอง และเราก็เผาตัวเองให้ร้อนแรงขึ้นด้วยการอยู่ใกล้กัน ในวันนั้นไม่มีใครคิดถึงคำว่า “เหนื่อย” มีแต่ “ทำไมยังดีไม่พอ” และ “เราจะทำให้มันดีขึ้นได้อย่างไร” ... รวมถึง “การที่อยู่ด้วยกันอย่างนี้...มันก็ดี”
เราเคยให้สัญญากันในวันที่ฝนตกหน้าร้านข้าวต้มเพิงหมาแหงนเล็กๆ ว่า “ไม่ว่าชีวิตจะพาเราไปทางไหน เราจะไม่ปล่อยมือกัน”
แต่เราไม่รู้ว่าการเติบโตขึ้น คือการเปลี่ยนมือไปจับอย่างอื่นโดยที่เราไม่ตั้งใจ
ความฝันของมินมินขยายใหญ่ขึ้นจนเธอต้องออกเดินทางไปไกลกว่าที่ฉันยืนอยู่ การเดบิวต์ในฐานะศิลปินไม่ใช่เรื่องง่าย เธอต้องเปลี่ยนเมือง เปลี่ยนภาษา เปลี่ยนวิธีใช้ชีวิต ต้องรับบทบาทใหม่ๆ ที่บางครั้งก็ไม่เหลือพื้นที่พอให้คำว่า “เรา” พิงไหล่กันได้เหมือนเดิม
ในขณะที่ฉัน ติดอยู่ในโลกของตัวหนังสือ คำพูด และฉากที่สร้างขึ้นบนกระดาษ
ฉันก้าวเข้ามาสู่ทางที่ฝัน เรียกว่าทะยานเกินกว่าฝันไปมากยังได้ หลายโอกาสพุ่งเข้ามาจนบางทีฉันรู้สึกรับมือไม่ได้ แต่ก็ไม่เคยทิ้งขว้างและพยายามจัดการให้ลงตัว ฝันของฉันจึงดึงเอาพลังของฉันไปเกือบทั้งหมด
เราพยายามอยู่ด้วยกันในความเร็วที่ไม่เท่ากันอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะยอมรับว่า...บางเส้นทางก็ต้องเลือกที่จะเดินคนเดียว และวันนั้นเอง มินมินบอกเลิกฉัน
ไม่มีใครมีน้ำตา ไม่มีคำพูดอะไรให้ดราม่า มีแค่ประโยคสั้นๆ ที่ว่า “แยกย้ายกันไปเติบโตนะพี่นับ”
ฉันพยักหน้าเหมือนเข้าใจ
เข้าใจว่า “การเติบโต” ที่แปลว่า “การห่างกันออกไป” จนมองไม่เห็นกันอีกเลย
.
.
.
“มินมิน พร้อมนะ” เสียงพี่กอล์ฟดังผ่านว.
มินมินพยักหน้าเบาๆ ก่อนสูดหายใจเข้าลึก แล้วเริ่มเล่นซีนที่ว่าด้วยการจากลาครั้งสุดท้ายของตัวละคร
ในบทที่ฉันเขียน ตัวละครต้องยิ้มทั้งน้ำตา และพูดออกมาอย่างแนบเนียนว่า “ขอบคุณนะที่เคยรักกัน”
วินาทีนั้น ฉันรู้ว่ามินมินไม่ได้กำลังอยู่ในบท แต่เธอกำลังพูดจริงๆ กับ...ฉัน
ซีนแรกจบลงอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีใครสั่งคัต มินมินพูดประโยคสุดท้ายแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลเงียบๆ ฉันมองดูผ่านจอมอนิเตอร์ตรงหน้า เหมือนกำลังมองตัวเองในอดีตที่กำลังโบกมือลาโดยไม่มีเสียง
พอได้สัญญาณพัก ฉันลุกขึ้นจากเก้าอี้ มีใครบางคนกำลังเดินเข้ามาใกล้ๆ
“พี่นับ...” จังหวะที่เว้นไว้กำลังทุบตีหัวใจของฉันอย่างเจ็บปวด
“ขอบคุณนะ”
เธอเลือกพูดแค่นั้น แล้วหันหลังค่อยๆ เดินออกจากฉันไป

การถ่ายทำสิ้นสุดลงเกือบสี่ทุ่ม ไม่มีการเฉลิมฉลองใดๆ นอกจากเสียงถอนหายใจเบาๆ ของทีมงานที่ยินดีปนโล่งใจที่ทุกอย่างผ่านพ้น
ที่โต๊ะทำงานที่หลบอยู่ในมุมมืดๆ ฉันเก็บของเล็กๆ น้อยๆ ใส่กระเป๋าเป้ รู้ดีว่าไม่มีอีกแล้วกับการนั่งข้างหลังกล้องเพื่อรอให้เธอหันมายิ้มให้ตอนคัตซีน...ไม่มีอีกแล้วกับการแก้บทสดๆ ตอนดึกๆ เพียงเพราะเธอคิดว่าประโยคมันไม่ซื่อตรงพอกับหัวใจของตัวละคร
มินมินเดินมาหาฉันอีกครั้ง
“ขออะไรอย่างนึงสิพี่นับ”
ฉันพยักหน้าโดยไม่ลังเล ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอจะขออะไร
“ขอบทของพี่นับให้มินได้มั้ย อยากเก็บเอาไว้อ่านตอนที่โตมากขึ้นกว่านี้” เธอหัวเราะนิดๆ
ฉันเปิดปึกกระดาษหนาไปมา ค่อยๆ แกะแม๊กที่เย็บกระดาษออก
มันเป็นซีนสั้นๆ เล็กๆ ธรรมดาๆ ซีนหนึ่ง ตอนที่ตัวละครกำลังกินข้าวต้มแล้วตักแบ่งให้อีกคนโดยไม่พูดอะไร
ฉันอยากให้เธอจำไว้แค่นั้น
จำไว้ว่า...ความรัก บางครั้งก็แปลได้ง่ายๆ เท่านั้นเอง
“รักษาความฝันของตัวเองให้ดีๆ นะ เป็นอย่างที่ตั้งใจให้ได้” ฉันพูดขณะที่ยื่นกระดาษไปให้
“เหมือนที่พี่นับรักษามินในบทนี้ใช่มั้ย” เธอถามกลับยิ้มๆ ดวงตาเริ่มมีน้ำรื้นๆ เล็กน้อย
“อือ...เหมือนกัน” ฉันตอบ
มินมินเดินจากไปแล้ว
แต่ฉันยังอยู่ที่เดิม ปล่อยให้ความเงียบค่อยๆ คลี่ตัวออกมาห่อหุ้มเหมือนผ้าห่มเก่า กลิ่นหมึก กลิ่นไฟ กลิ่นเครื่องสำอางจางๆ ของกองถ่ายลอยวนอยู่ในอากาศ
ฉันหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดูข้อความเก่าๆ ที่ยังไม่ได้ลบ ข้อความสุดท้ายที่มินมินเคยส่งมาเมื่อสามเดือนก่อน “คิดถึงนะพี่นับ”
ฉันแตะหน้าจอค้างไว้ แล้วเลือก “เก็บถาวร” แทนการลบ
ฉันไม่ได้อยากลืม แต่ไม่จำเป็นต้องจมอยู่กับมันอีกต่อไปแล้ว
.
.
ค่ำคืนนั้น ฉันกลับถึงห้องด้วยสภาพของคนที่ไม่เหนื่อยกายเท่าไหร่ แต่ใจเหมือนกำลังถูกแบกน้ำหนักที่ไม่เคยซ้อมเอาไว้ตลอดมา
ไอแพดถูกเปิดหน้าจอ ฉันเลื่อนหาข้อมูลไปเรื่อยๆ จนหยุดตรงข่าวบันเทิงหัวข้อหนึ่ง
“มินมินเตรียมเดบิวต์เป็นศิลปินเดี่ยวภายใต้สังกัดชื่อดังของประเทศเกาหลี...การเดินทางครั้งใหม่ของเธอกำลังจะเริ่มต้นขึ้น”
ในรูปเธอยิ้มเต็มที่ รอยยิ้มที่ฉันรู้จักดี รอยยิ้มของคนที่กำลังเป็นตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด มันเป็นรอยยิ้มที่ไม่ใช่เพื่อตามใจใคร หรือเป็นรอยยิ้มที่จะเก็บใครไว้ข้างๆ แต่เป็นรอยยิ้มแห่งการเติบโต การก้าวไปอย่างงดงาม แม้ต้องแลกด้วยการปล่อยมือจากบางคนที่ครั้งหนึ่งเคยสำคัญที่สุดก็ตาม
ในบรรดาความฝันทั้งหมดที่ฉันเคยมี มีเพียงไม่กี่อย่างที่ฉันแน่ใจว่าจะไม่มีวันเสียดาย หนึ่งในนั้นก็คือการได้รักมินมิน ไม่ว่าจะเป็นในฐานะที่เป็นพี่ เป็นเพื่อน เป็นคนคอยผลักดัน หรือแม้แต่เป็นแค่ใครสักคนที่เธอไว้ใจ ฉันยอมแลกทุกอย่างในโลก เพื่อให้ช่วงเวลานั้นได้เกิดขึ้นจริง

แม้จะรู้ว่า...ไม่มีความรักไหนหยุดเวลาได้
แม้จะรู้ว่า...คนบางคนไม่ได้ถูกเขียนขึ้นมาให้เดินข้างกันไปจนถึงตอนจบ

ฉันยังจำไว้ว่าเราเคยมีโลกใบเล็กๆ ด้วยกัน โลกที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ มีเหงื่อไหลซึม และกลิ่นของกระดาษบทเก่าๆ โลกที่ฝนตกบ้าง แดดออกบ้าง แต่เราก็ยังเดินเคียงข้างกันอยู่เสมอ และโลกใบนั้นยังอยู่ในใจของฉันเสมอ แม้ว่าเวลานี้ เราจะยืนอยู่คนละฟากฟ้า ภายใต้ท้องฟ้าที่ไกลกันเกินกว่าจะเอื้อมถึง...ได้อีกแล้ว





ขอสงวนสิทธิ์ข้อความทั้งหมดภายในเว็บไซท์
Copyright by http://www.espressoandcigarette.com