¦ ¦ ¦ ¦


ฉบับที่ 16 : ประจำวันที่ 15 กรกฎาคม 2568


Morning Moon มองไม่เห็นพระจันทร์
โดย พาราดี




“ใช้เลนส์อะไรน่ะ”
ฉันมองกล้องคอมแพกต์ S90 ที่ปลายเตียง เลนส์อะไรก็ไม่รู้ แต่ “ใคร” เนี่ยสิ ที่ถาม

“แสงน้อยไปหน่อยค่ะ เลยไม่ชัด”
“ตอบไม่ตรงคำถามนี่”
“แต่น่ามองดีนะ”

“พี่” ส่งข้อความมาเมื่อเห็นรูปภาพไร้โฟกัสจากอัลบัมออนไลน์ รูปที่ถ่ายให้จำไว้ว่าหมดแรงแค่ไหนตอนที่เดินคอตกออกจากบริษัท ไม่คิดว่าจะมีใครสนใจรูปเบลอๆ แต่เขากลับเจอสิ่งที่ชอบเหรอเนี่ย

รูปเงาใบไม้
กระถางบัวหลังฝน
ร่องปูนร้าวบนผนังอาคาร
ระยะห่างของคนแปลกหน้าก็ขยับมาใกล้ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้อความสาธารณะของ “พี่” ก็กลายมาเป็นช่องหน้าต่างส่วนตัว
ฉันถูกปลดออกจากงานกระทันหัน
พอไม่มีงานทำ เจ้าของตึกก็จะยกเลิกสัญญาเช่า ต้องขอร้อง ขอเวลาหาทางออกให้กับชีวิต ชีวิตที่ไม่มีอะไรนอกจากยินกับน้ำโทนิกและมะนาวอีกหน่อย บ่อยเข้า ใกล้เที่ยงคืนไปแล้วก็เหลือแต่ยิน

“พี่” เขียนมาหาหลังจากที่เห็นรูปขวดแก้วเปล่าที่มุมห้อง

“ดื่มอีกแล้วเหรอ”
“ทำไม” ฉันตอบกลับ
“ไม่มีอะไรทำดีกว่านี้แล้วเหรอ”
“แล้วมันไม่ดียังไง ถ้าไม่ดีแล้วจะมาสนใจทำไม”
“สมัครงานยัง”
“ทำไม”
“ก็เห็นว่าอยากได้งาน”
“สมัครหลายที่แล้ว ยังไม่มีใครเรียกสัมภาษณ์”
“อืม เดี๋ยวก็ได้นะ งานน่ะ”
“เป็นห่วงเหรอ”
“ผู้หญิงกินเหล้าเยอะๆ มันไม่ดีนะ”
“ผู้ชายอะไรตอบไม่ตรงคำถาม”

ฉันกลืนยินคำใหญ่ลงคอ รสขมๆ มันก็ยังจับต้องได้กว่าคนไม่ชัดเจนล่ะนะ

เขาเป็นห่วง
ถึงไม่เคยมีคำไหนเอื้อนเอ่ยออกจากปากเลยสักครั้ง แต่ลึกๆ ใจฉันน่ะ ก็หวังว่าจะห่วงหากันบ้าง

เขาคิดยังไง ใครจะรู้
ถ้าไม่รู้สึกอะไรเลย แล้วทำไมถึงได้คุยกันทุกวัน ทั้งๆ ค่ำคืนของฉันคือกลางวันของ “พี่” แต่เขตเวลาก็แค่ตัวเลข เพราะนาฬิกาของเขาจะเป็นเวลากรุงเทพฯ เสมอ

ต้องฉีดยาอีกห้าเข็ม และเหมือนจะเริ่มมีไข้
เชียงใหม่คงไม่ได้ไปแล้ว


ฉันอัปโหลดรูปผ้าพันแผลสีขาวบนมือขวา เล่าเรื่องการเอาตัวรอดเพียงลำพังจากความกลัวเลือดจนเป็นลม

“กินยาหรือยัง”

ยังไม่ทันกดตอบข้อความ ก็ได้ลิงค์ยาพร้อมรายละเอียด ยาอะไรก็ไม่รู้ ไม่ใช่ภาษาไทย ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ ฉันหัวเราะจนเลือดซึม แหม คงลืมสินะ ว่าเราอยู่ห่างกันแค่ไหน

 ไม่ได้ไปเชียงใหม่
ไปทะเลก็ไม่ได้ พยาบาลจะโกรธแน่ถ้าแผลโดนน้ำ


พอโพสต์รูปผ้าพันแผลของวันถัดไป “พี่” ส่งรูปทะเลมาให้

“ทะเลบอลติก ตอนหน้าหนาว” สีฟ้าครามเข้ม ขึงขัง ลึกและกว้างช่างจะยากหยั่งถึง แต่ผิวน้ำก็ดูอ่อนโยนเหลือเกิน ต่อมาคือฟ้าก่อนมืดบนเขากลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ยอดต้นมะกอกขับให้เห็นขอบฟ้าตัดกับน้ำทะเลเป็นสีม่วงเจือเขียวมรกต

“สวยจัง ทะเลไทยสีไม่เหมือนทะเลที่นู่นเลย”
“ไม่ได้อยู่ใกล้ ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่ตรงหน้า แต่อยากให้เรารู้ว่า ไม่ได้ไกลกันเลยนะ”

ฉันส่งรูปกลับไปบ้าง

“หนูปลูกดอกทานตะวันไว้บนระเบียงห้อง ช่วงนี้ดอกบานใหญ่ขึ้นเยอะ”
“พี่รู้ไหมว่า ดอกทานตะวันน่ะ หันหน้าหาพระอาทิตย์เสมอนะ”

หน้าจอบอกว่า ได้รับข้อความแล้ว แต่ก็แค่นั้น ความเงียบงันจากอีกฟากฟ้ากลืนเป็นสีเดียวความมืดของโลกฝั่งนี้ ฉันปิดไฟเข้านอน ไม่มียิน หรือโทนิกกับมะนาวฝาน เหลือแค่คำถามว่าใจฉันนั้นหันไปทางไหน

หนึ่งวัน สองวัน ช่องข้อความก็ยังว่างเปล่า มันเงียบเกินไป สำหรับเวลาที่ใจไม่อยากฟังเสียงในหัว

“วันนี้ไปสัมภาษณ์งานมาด้วยนะ”
“แต่เขาบอกว่าเด็กไป นึกว่าจะมีประสบการณ์มากกว่านี้ - โหยเซ็ง รู้สึกเสียเวลา ทำไมมันยากจังเลย”

“เหนื่อยแย่เลย ไม่เป็นไรหรอก แสดงว่าเราไม่เหมาะกับเขา”
“ไม่รู้สิ รู้สึกตัวเองห่วย ไม่ได้เรื่องอะไรเลยไม่มีใครอยากรับทำงาน”
“การที่บริษัทไม่เลือก มันมีหลายเหตุผลที่บางที ก็ไม่เกี่ยวกับเรานะ”
“สัมภาษณ์งานแค่หนึ่งครั้ง ไม่ได้ก็ไม่ใช่ว่าเราไม่ดี”
“ที่ของเรามีอยู่แล้ว รอหน่อย เท่านั้นเอง”

“ไม่เคยมีใครบอกแบบนี้กับหนูมาก่อน ดีใจที่พี่ไม่เคยรำคาญเลย”

“เป็นเรื่องของเวลา เดี๋ยวโอกาสก็มาเหนื่อยก็พักก่อนก็ได้ ค่อยเริ่มใหม่”
“ดึกแล้วนี่ นอนได้แล้วมั้ง แล้วไม่ต้องดื่มแล้วนะ”

ฉันกลืนยินจนหมดแก้ว
ขอบคุณ รู้สึกดีขึ้นแล้ว - เขียนแบบนี้จะดีไหม ไม่เห็นเป็นไร ไม่ได้บอกว่ารักเสียหน่อย

ไม่ดีหรอกน่า ส่งสติกเกอร์ดีกว่ามั้ง

“เห็นว่าที่ยุโรปหนาวมาก เป็นไงบ้าง หิมะตกยัง”
“ตกนิดหน่อย ก็หนาว มองไปทางไหนก็ขาว แล้วเดินลำบาก”
“หนูว่าหนาวก็ดีกว่าร้อน อาบน้ำสามรอบก็ไม่ช่วย เปิดแอร์ก็เปลืองไฟ”
“อยู่นี่ ใครๆ ก็คิดว่าดี แต่มันก็เท่านั้นแหละ”

“พี่อยากกลับไทยถาวรบ้างไหมอ่ะ”
เผื่อเราจะได้พบกัน

ฉันกระซิบในใจเสียงต่ำ โอ้ย อย่างกับว่าเสียงมันจะผ่านคีย์บอร์ดไปถึงที่ฝั่งนั้น
“ถ้าพี่กลับมาไทย เราก็จะได้เจอกันไง” ฉันพิมพ์แล้วลบ บ้าบอน่า

“ไม่หรอก ไม่มีอะไรอยู่ที่นั่น”
... ฉันไง มีฉัน


แป้ก แป้ก แป้ก ความน้อยใจ ความอับอายถูกระบายลงบนปุ่ม “กดลบ” เสียงกระทบจากคีย์บอร์ดที่ดังเกรี้ยวกราดเหมือนจะบอกว่า เฉยไว้ ดีกว่าทำให้ตัวเองเสียหน้า

อย่านะ อย่าไว้ใจตัวเองในคืนนี้ ทั้งจากหัวใจที่สับสน ทั้งจากแก้วทรงกลมที่น้ำแข็งละลายจนกลบกลิ่นแอลกอฮอล์หมดจดชวนให้คิดถึงสิ่งที่ไม่ควรคิด คอนเดนเซอร์กระหึ่มแข่งกับจังหวะเต้นของหัวใจ ไฟถนนด้านนอกมืดเกือบหมด เหลือแค่หน้าต่างสีส้มอ่อนเป็นจุดไกลๆ กับหลอดไฟสีขาวของร้านสะดวกซื้อ ที่นั่นคงแค่หัวค่ำ แต่แล้วยังไงกัน ฉันเป็นแค่ทานตะวันบนระเบียงที่เฝ้ามองพระอาทิตย์ในตอนกลางคืน รู้ว่าไม่มีแสง แต่ก็ยังชะเง้อหา เขาก็ยืนอยู่ตรงนั้น แค่ไม่เคยหันกลับมา

สติ้กเกอร์รูปแมวและพระจันทร์สีฟ้าถูกใช้เพื่อปกปิดความว้าวุ่นใจ แล้วกลางคืนก็เปลี่ยนเป็นกลางวัน กลับมาเป็นอีกหลายคืน เข้าอาทิตย์ที่สอง จนถึงเดือนใหม่ก็ยังไร้การตอบกลับ “พี่” ยังคงดำเนินชีวิตอยู่ด้านหลังความเงียบนั้น แน่ล่ะ ใครจะอยากใส่ใจเด็กว่างงานที่วันๆ เอาแต่ถ่ายรูปกับปลูกดอกไม้

ไม่สน ก็ไม่สน อยู่ไปอย่างเดิมก็ได้
ฉันก็มีเรื่องให้ทำเหมือนกัน หางาน หาเงิน มาจ่ายค่าบ้านนี่ไง ถึงจะมีเวลาว่างมากมาย แต่ให้คิดถึงใครแบบจับต้องไม่ได้ มันก็เหนื่อยอยู่เหมือนกัน

“ไอ้นักบวชมีผมเนี่ยนะ”
พี่เบิ้มหัวเราะเสียงสูงแข่งกับเสียงขุดเจาะของไซต์งาน ต้องตื๊ออยู่นานกว่าจะยอมพูดถึงเพื่อนสนิท

พี่” เป็นสถาปนิกอยู่เมืองหนาว เมืองรวยๆ ที่ไม่ค่อยดัง เขาว่ายังนั้น ถึงจะเข้าเรียนห่างกันหลายปี แต่คำว่าสถาบันก็ทำให้เราได้เป็นคนกลุ่มเดียวกันแม้ไม่เคยพบหน้า “พี่” หน้าตาเรียบเชียบ ใส่เฉพาะเสื้อเชิ้ตสีสว่างลายทางรุ่นบรรพบุรุษ ไม่เคยใส่กางเกงขาสั้น แต่ที่มีทุกวันคือรองเท้าผ้าใบคอนเวิร์สสีขาวสะอาดตา

“พี่” ไม่ค่อยคุยกับใคร เป็นพวกกวนประสาท เคร่งศีลห้า ยังไม่รับเข้ารับปริญญาก็หนีไปเมืองนอกทันทีที่เรียนจบ วันๆ อ่านแต่หนังสือเรือนพื้นถิ่นและปรัชญา ไม่ค่อยมาเรียนแต่ก็ได้คะแนนเป็นอันดับสองของรุ่น

ส่วนฉันอยู่ที่สองเหมือนกัน ถ้านับจากท้ายตารางน่ะนะ

ฉันมีเพื่อนเยอะ ถ้ามีงานสังสรรค์แปลว่าจะมีฉันอยู่ที่นั่น แต่ดันเฮฮาไปหน่อยจนเกือบพ้นสถานะนักศึกษา ใช้เวลาเรียนมากกว่าคนอื่นเกือบปีกว่าจะรู้ว่าไม่ชอบ ผันตัวมาเป็นผู้ช่วยในเอเจนซี่โฆษณาแถวสถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี มีรองเท้าคอนเวิร์สรุ่นเดียวกันอยู่สามสี

เอาเป็นว่า นอกจากยี่ห้อรองเท้าและสถานศึกษา เราไม่มีอะไรเหมือนกันเลย

“ถามทำไม แกชอบมันเหรอ”

ชอบ
คนไม่ชอบกัน คุยกันทุกวัน แลกเปลี่ยนความคิดไปมา โดยไม่มีสถานะได้ด้วยเหรอ

ฉันอยากรู้จัก อยากเข้าใจคนๆ นี้ อยากเห็นมากกว่าที่เขาอนุญาต อยากเป็นคนสำคัญ แต่ที่ผ่านมา ยิ่งใกล้ กลับยิ่งห่างไกล ใจหนึ่งอยากหยุดแค่นี้ จะดีกว่าถ้ามีความแน่นอน และชัดเจนจากใครคนอื่น แต่อีกพื้นที่ของหัวใจก็ตอบตัวเองไม่ได้ ดอกทานตะวันจะเบ่งบานได้อย่างไรหากไร้แสงจากพระอาทิตย์

วันนี้แดดร้อนและไม่มีฝน
คอนเวิร์สทั้งสามคู่ถูกซักและตากไว้บนระเบียง อากาศอย่างนี้ พรุ่งนี้ก็แห้งสนิท ความอบอ้าวของกรุงเทพฯ ไม่เคยทำให้ฉันแปลกใจ ถึงจะระอุชวนอึดอัดสักแค่ไหน แต่เมื่อไหร่ที่ความร้อนจากไป กลับเหมือนว่าอะไรๆ มันไม่เหมือนเดิม

สมัยเรียนมหา’ลัย ฉันเคยคิดว่าผ้าใบเก่าๆ น่ะเท่จะตายไป แต่พอเข้าไปในโลกของการทำงาน โลกของการเป็นผู้ใหญ่ กลับไม่ใช่แบบนั้น ฉันให้ความเชื่อของตัวเองเป็นมาตรฐานจนถึงวันที่ถูกเลย์ออฟเป็นกลุ่มแรก

“พี่” เคยพูดว่า รองเท้าไม่ได้เล่าว่าเราเป็นคนแบบไหน แต่มันก็บอกได้ว่าเรารู้จักดูแลตัวเองหรือเปล่า ถึงว่า รองเท้าของเขาจึงสะอาดสะอ้านอยู่เสมอ

“ไม่เห็นโพสต์รูปเลย”
“กดย้อนดูแล้วมีรูปใหม่นิดเดียวเอง”

แถวนี้มีอะไรให้น่าถ่ายรูปเก็บไว้ทั้งนั้นแหละ แต่เมมโมรี่การ์ดไม่เหลือที่ว่าง แถมแบตเตอร์รี่ก็เริ่มเสื่อมสภาพ เจ้า S90 เลยได้พักร้อนแบบไม่มีกำหนด

“พี่ก็ไม่เห็นมีรูปใหม่บ้างเลย
ตอนนู้นก็เห็นแค่รูปหน้าเหลืองหน้าซีด ไม่เห็นมีอะไรใหม่”
“สมัครงานเป็นไงบ้าง”
“สมัครงานก็ดีค่ะ”

“ระหว่างอยู่ในโรงพยาบาล กับรถติดกลางสุขุมวิท อันไหนน่าเบื่อกว่ากัน”
“ทำไม อยู่ที่โรงพยาบาลเหรอ พี่เป็นอะไร”
“ก็มาดูตึก ดูอาคารน่ะ เผื่อได้เอามาใช้ทำงาน”
“โรงพยาบาลที่นู่นหน้าตาเป็นยังไง”
“ก็เหมือนๆ กันแหละ มีหน้าต่าง ทางเดินยาว ไฟสว่างๆ อาหารไม่อร่อย”
“ตกใจอ่ะ พี่ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วค่ะ”
select all แล้ว delete


พี่คะ พี่จะมาลึกลับใส่หนูทำไม
พี่มาของพี่ก่อน มาทำให้วุ่นวายใจแล้วหายไปเกือบสามเดือนโดยไม่บอกกันนี่ ไอ้เราก็ปลงไปแล้ว อยู่กับความรู้สึกพังๆ จนใกล้หายดี แล้วพี่ก็กลับมา แล้วทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะให้ทำยังไง อยากให้ถามเหรอว่าหายไปไหน หรือควรตะโกนไปว่า พี่นี่โคตรใจร้าย

“ไปก่อนนะคะ”

ท้ายข้อความคือสติ้กเกอร์แมวเหลืองยิ้มกว้าง
ปิดแล็ปท็อป ผูกเชือกรองเท้า หัวใจเต้นโครมคราม พี่นะพี่ มาทำแบบนี้ได้ยังไงกัน

คืนนั้น ฟ้าที่สี่แยกอโศกเป็นสีฟ้าโคบอลต์ จากตึกชั้น 18 มองเห็นพระจันทร์เสี้ยวพร้อมดาวอีกสองดวงเหมือนคนอมยิ้ม ฉันถามคนข้างๆ ว่า แบบนี้ ประเทศเธอมีไหม

Wonderful!
เซบาสเตียนยิ้มตาหยี

พวกเราเดินออกมาด้านนอกพร้อมกันกับคนอื่นๆ เป็นนโยบายบริษัทว่าเมื่อหมดเวลา ทุกคนต้องหยุดทำงานและกลับบ้านทันที แปลกแต่เจ๋งดี นายจ้างฝรั่งเป็นแบบนี้เหรอเนี่ย

เบียร์หม๋ายยยย

ฉันส่ายหัวแล้วหยิบ S90 มากดภาพพระจันทร์ยิ้มเก็บไว้
“Next time na!”
นายฝรั่งโบกมือให้แล้วเลี้ยวไปยังชานชาลารถไฟใต้ดิน ส่วนฉันแยกไปฝั่งทางขึ้นรถไฟฟ้า

ชีวิตพนักงานพาร์ทไทม์กะกลางคืนก็สบายดีเหมือนกัน เงินไม่เยอะมากมายแต่ไม่ต้องเบียดคนในรถไฟ เดินทางสี่ป้ายเท่านั้น ง่วงหน่อย แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องนั่งมองหน้าจอเปล่าอย่างเลื่อนลอยยามฟ้ามืด

ถึงจะไม่ได้เขียนแบบเลยตั้งแต่เรียนจบ แต่พอเข้าอาทิตย์ที่สองนิ้วที่สัมผัสคีย์บอร์ดก็เริ่มคล่องเหมือนไม่เคยหายไป บรรยากาศในบริษัทผลิตแบบบ้านสำเร็จรูปให้สำนักงานสัญชาติยุโรปจึงราบรื่น เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกได้เป็นส่วนหนึ่งของอะไรบางอย่าง ความอ้างว้างถูกรีสตาร์ท แล้วแทนที่ด้วยคุณค่าที่มาจากผลของงาน

หลังผ่านช่วงทดลองงาน เซบาสเตียนขอให้ฝ่ายบุคคลรับฉันเป็นพนักงานประจำ และไม่ต้องมาทำงานกะดึก ซึ่งถ้าทำได้ดี นอกจากจะได้เลื่อนเป็นหัวหน้าทีมแล้ว ยังอาจได้ไปติดต่องานที่ยุโรปอีกด้วย

จะได้ไปเมืองนอกเหรอเนี่ย
อากาศหนาวเป็นยังไง จับหิมะแล้วเย็นแค่ไหน ถ้าเอาผ้าใบคอนเวิร์สไปใส่ จะอุ่นมากพอไหมนะ

“ในรูปคือใครน่ะ”

ถ้าไม่ใช่ “พี่” ก็คงไม่มีใครสังเกตเห็น ไม่มีหรอก ฉันไม่ชอบถ่ายรูปคนอยู่แล้ว ถ้าให้เดา ก็คงเป็นรูปเงาหัวหน้าฝรั่งในวันคืนพระจันทร์ยิ้มแน่ๆ

“คนที่ทำงานค่ะ”
“ดีใจด้วยนะ”
“อย่างนี้ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องที่พักแล้วสิ”
“ขอบคุณค่ะ ดีขึ้นมาก ไม่มีอะไรให้กลุ้มแล้วล่ะ”

เดือนหน้าจะได้ไปดูงานที่ยุโรปด้วยนะ ได้วีซ่าแล้ว
select all แล้ว delete

“พี่” หายไปนานจนระยะห่างของคนแปลกหน้ามีมากกว่าครั้งแรก ความหยุดนิ่งของเขา เหมือนกลางคืนที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่แสงสว่างยามเช้าจะเดินทางมาถึง ความหวังของฉันร่วงโรยเหลือไว้เพียงความว้าเหว่ แต่มันก็ทำให้มองเห็นใจของตัวเองมากขึ้น
ชอบ?
คนไม่ชอบกัน คุยกันทุกวันได้สิ
คุยแบบไม่มีสถานะน่ะได้อยู่แล้ว เพราะมันไม่มีอะไรให้นิยามตั้งแต่แรก

บางที ฉันอาจไม่ได้ชอบ “พี่” อย่างที่เคยคิด แค่ชอบการที่มี “พี่” เป็นอยู่ตรงนั้น คอยถาม คอยห่วงใย ให้กำลังใจ ให้รู้สึกว่ามีใครในโลกเดียวกัน ให้รู้ว่าฉันไม่ได้อยู่เพียงลำพัง

ฉันอาจแค่เหงา
เป็นดอกทานตะวันเฉาๆ ที่เห็นพระอาทิตย์ส่องผ่านมาจนเกิดเป็นความหวัง ช่วงเวลาที่คุยกัน ก็เป็นเพียง “แสง" ที่ไม่ได้ตั้งใจส่องมาถึงฉัน

ความรู้สึกที่เกิดขึ้น อาจเป็นสิ่งที่ฉันสร้างเพื่อปลอบหัวใจอ้างว้างในค่ำคืนมืดมิด ก็มีกันบ้าง หากในช่วงที่อ่อนล้า เราอยากจะมีคนเคียงข้าง แต่ถ้าเอาความเหงาเป็นโจทย์ แล้วหวังให้คำตอบคือ “รัก” หรือจะใช้ว่า “รัก” เพื่อลบสถานะของการไม่อยากอยู่คนเดียว มันไม่ยุติธรรม ทั้งกับเขาและกับตัวฉันเอง

“ถ้าชวนกินเหล้า ไม่ไปนะ”
ฉันส่งเสียงใสแจ๋วไปยังปลายสาย

“ไม่ใช่เว้ย
นี่ แกรู้ยัง ไอ้นักบวชมีผมน่ะ … ”

… พี่เบิ้มเงียบ แต่ใจฉันเงียบยิ่งกว่า

“มันกลับมาไทยนะ เมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง”
“ไม่รู้เลยค่ะ เพิ่งได้ยินเนี่ยแหละ”

“มันไม่ได้บอกใคร พี่ก็เพิ่งรู้ไม่นาน”
“เออ แกได้เข้าอินเตอร์เน็ตบ้างไหมวะ”
“ไม่เลยค่ะ”

ไม่เลย ฉันทำงานตลอด ทำงานมากเกินไปด้วยซ้ำ พักเดือนละสามวัน เข้าเช้าออกค่ำ ไม่เหลือแรงอยากเห็นอะไรในโลกเกือบจริงอีกแล้ว เพราะความจริงคืออะไร เราก่อสร้างให้เป็นอย่างใจต้องการได้ไหม สิ่งที่ใจรู้สึก จะเป็นอย่างที่มองเห็นได้หรือเปล่า

“เรอะ เออก็ดีแล้ว”
“นี่ถ้าเปลี่ยนใจ ท่าช้าง ร้านเดิม มาก่อนสามทุ่มนะ จะได้คุยกัน มีพวกพี่เก่าๆ มาด้วย ….”

ฉันบอกลาแล้ววางสาย
กดคำสั่งพิมพ์งาน จนหมึกสีดำหมด ความสว่างจากหลอดไฟบางส่วนหายไปพร้อมคนอื่นที่กลับบ้านไปก่อนหน้า เสียงเครื่องดูดฝุ่นดังขึ้นเรื่อยๆ ทีมกะกลางคืนจะเข้ามาทำงานในอีกหนึ่งชั่วโมง พื้นที่ตรงนี้จะเป็นของคนอื่น และต้อนรับฉันอีกทีเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น

รถไฟฟ้าวิ่งไปจนสุดสาย ยิ่งเดินทางออกไปไกล ผู้คนยิ่งเบียดเสียดกันอย่างเร่งรีบในตู้เหล็กที่วิ่งแหวกอากาศกลางท้องฟ้า ตรงกันข้ามกับฉันที่ควรลงเมื่อสี่สถานีที่แล้ว

ดอกไม้ ภาพถ่าย ความทรงจำ เหมือนแสงสีส้มของพระอาทิตย์ที่ลับไปโดยไม่รู้ตัว บางสิ่งก็เลือนหายไปเช่นกัน แค่ว่า มันไม่กลับมาเหมือนยามเช้า

แสงที่ฉันชะเง้อหา เคยมีหรือเปล่า ความเงียบเหงาแวะมาหา และจากไปในวันรุ่ง เหมือนเดิมอยู่ทุกวัน ช่วงเวลาสั้นๆ ที่มีใครเข้าใจ มีความห่วงใย เคยมีอยู่จริงบ้างไหม “พี่” อยู่ที่ใด อาจยังอยู่ตรงไหนสักแห่งบนฟ้าอีกฝั่งนั้น

ความเงียบมันน่ากลัว แต่เมื่อความจริงไม่อยากปรากฎตัว ความว่างเปล่าก็เป็นสิ่งเดียวที่ยังอยู่ตรงหน้า ดอกทานตะวันหันหาพระอาทิตย์เสมอ และเติบโตต่อไปได้ แม้ต้องผ่านกลางคืนเพียงลำพัง




ขอสงวนสิทธิ์ข้อความทั้งหมดภายในเว็บไซท์
Copyright by http://www.espressoandcigarette.com