รอยวนบนถ้วยดิน
โดย ฌาร์มา
เสียงคล้ายขันทิเบธก้องออกมาครั้งหนึ่งแล้วจางหายไปกับสายลมเย็นที่ปะทะเข้าใบหน้า ขณะอรุณลดาผลักประตูไม้บานเลื่อนส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเข้าไป กลิ่นดินชื้นลอยเข้ามาทักก่อนใครทั้งหมด สถานที่ถูกตกแต่งด้วยเครื่องไม้ บนเพดานมีโคมไฟสีขาวนวลเลยเด่นอยู่ รอบๆ ห้องเต็มไปด้วยชั้นวางเครื่องเซรามิก ทั้งแจกัน ถ้วย ชาม แก้วน้ำ หลากสีสันและรูปทรง ตรงกลางห้องมีโต๊ะไม้ยาวอยู่สามตัว ข้างๆ มีแป้นหมุนสำหรับก่อถ้วยดิน เครื่องมือปั้นและผ้ากันเปื้อนถูกพับวางเตรียมไว้เรียบร้อย เสียงน้ำหยดจากก็อกหลังห้อง กับเสียงหมุนเบาๆ ของล้อหมุนที่ยังไม่หยุดดีดังคลออยู่เรื่อยๆ เธอเดินเข้ามาเงียบๆ แต่ก็ไม่รอดพ้นสายตาของเขา
“สวัสดีครับ เชิญเข้ามาก่อนครับ” เขายิ้มกว้าง รูปร่างสูงใหญ่ ใส่เสื้อเชิ้ตสีซีดทับด้วยผ้ากันเปื้อนที่ดูนิ่มบางเหมือนผ่านการใช้งานมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เขายื่นผ้ากันเปื้อนใหม่เอี่ยมให้เธอ แล้วผายมือไปยังที่นั่งมุมซ้ายของห้องที่ยังเหลืออยู่
เพื่อนร่วมคลาสอีกเจ็ดที่นั่งรออยู่แล้ว ดูตื่นเต้นกับกิจกรรมตรงหน้า มีทั้งกลุ่มหนุ่มสาววัยรุ่นหัวเราะคิกคักที่พร้อมทั้งเสื้อผ้าหน้าผมและมือถือที่ตั้งตรงหน้าเตรียมถ่ายคอนเทนต์ คุณแม่ที่มาพร้อมลูกวัยไม่เกินห้าขวบ และผู้ชายวัยกลางคนที่ดูสุขุม
ช่วงนี้อรุณลดาไม่อยากอยู่บ้านเฉยๆ หลังจากเรียนจบมาแล้วสี่เดือน สัมภาษณ์งานไปแล้วหกที่ ก็อยู่ในช่วงรอการติดต่อจากบริษัทรับเข้าทำงาน ระยะเวลาที่ชวนอึดอัดและฟุ้งซ่าน เธอเริ่มหมดไอเดียว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรให้ไม่รู้สึกว่ากำลังถูกทิ้งไว้ข้างหลัง จนเลื่อนเจอเวิร์กช็อปนี้ในไอจีของเพื่อนที่ชอบทำงานฝีมือ “ปั้นเซรามิกด้วยมือครั้งแรกในชีวิต” แคปชันเรียบง่าย แต่ก็ตอบโจทย์คนที่ไม่มีแผนอะไรอย่างเธอเต็มเปา
เธอยิ้มรับผ้ากันเปื้อนแล้วเดินไปยังที่นั่งสุดมุมซ้าย มือวางกระเป๋าผ้าไว้เบาๆ แล้วหันมาสำรวจแท่นหมุนตรงหน้า เป็นแป้นไม้กลมๆ สีเข้ม ที่มีรอยขูดจากการใช้งานซ้ำซ้อนจนเป็นวง ก่อนชายที่ทักทายเอ่ยชวนเธอเมื่อครู่ จะเริ่มแนะนำคลาสเรียนปั้นเซรามิก เขาก้าวเข้ามายืนตรงกลาง แล้วพูดขึ้น
“สวัสดีครับ ผมธันครับ เคยเรียนที่เคย์สเปซเช่นกัน วันนี้คุณครูประจำติดธุระเลยเรียกผมมาช่วยดูแลคลาสแทนครับ”
ผู้เข้าร่วมเกือบทุกคนเอ่ยทักทายตอบ
”ไม่ว่าคุณจะเคยหรือไม่เคยปั้นมาก่อน ตลอดสามชั่วโมงนี้เราจะมาปล่อยจอย ปั้นเซเรมิกกัน เดี๋ยวผมจะแนะนำวิธีปั้น และเครื่องมือ อุปกรณ์ตรงหน้าให้เองนะครับ”
อรุณลดาหัวเราะแห้งๆ เธอไม่เคยปั้นเซรามิกมาก่อนเลย ทักษะทางศิลปะก็อยู่ในระดับเดียวกับเด็กอนุบาล เธอเพิ่งรู้จากธันว่าการปั้นเซรามิกมีสองแบบ แบบแรกคือปั้นมือ อิสระแต่ก็ยาก แบบสองคือปั้นบนแป้นหมุน ง่ายกว่าแต่ก็ยากเช่นกัน สุดท้ายเธอเลือกแบบแป้นหมุน อย่างน้อยๆ ก็มีตัวช่วยให้อุ่นใจขึ้นมาบ้าง
“เพิ่งมาเรียนเป็นครั้งแรกหรือเปล่าครับ มาครับผมช่วย ไม่ต้องกังวลนะครับ” เสียงของเขาดังขึ้นข้างตัว เธอสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาเขา ครั้งนี้เขายิ้มบางกว่าเดิม สายตาดูแล้วผ่อนคลายกว่าแสงโคมไฟอบอุ่นเหนือหัว
”ดินจะเริ่มแข็งตัว ถ้าอยู่ในอากาศนานเกินไปนะครับ ถ้าพร้อมแล้ว เดี๋ยวผมสอนวิธีเปิดแป้นให้ครับ”
เธอพยักหน้า ไม่รู้ว่าตอบรับเขา หรือแค่ตอบรับวันแปลกๆ วันนี้ที่เพิ่งเริ่มต้น หยิบก้อนดินกลมขึ้นมาเบา ๆ วางบนล้อหมุนที่เงียบอยู่ มันเย็นนิดหน่อย เหนียวหนืด และนิ่งราวกับยังไม่พร้อมให้ใครแตะต้อง ตอนที่เธอมองซ้ายมองขวาเก้ๆ กังๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“อันนั้นนิ่มไปนะครับ เดี๋ยวผมเปลี่ยนก้อนใหม่ให้” เขาคนเดิม ไม่รีบร้อน แต่หนักแน่น อรุณลดาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เขายิ้มบางๆ แล้วเดินไปหยิบดินก้อนใหม่มาวางตรงหน้าเธอ
ล้อหมุนบนแท่นเริ่มเคลื่อนไหว เสียงฝืดเบาๆ ดังขึ้นคล้ายลมหายใจที่ไม่มั่นคง อรุณลดาเอื้อมมือไปแตะก้อนดินตรงกลาง มันเย็นเปียก หยุ่น และยังไม่เป็นรูป เธอพยายามกดให้มันต่ำลง แต่จังหวะกลับเพี้ยนไปทุกครั้ง ดินไหลออกข้างเหมือนใจที่เต้นไม่เป็นระส่ำ
”อย่ากดแรงครับ” เสียงของเขาดังข้างตัวอีกครั้ง “ขออนุญาตช่วยนะครับ” ก่อนมืออุ่นๆ จะเอื้อมมาวางทับมือเธออย่างเบาหวิว
ราวกับถูกแช่แข็งเสี้ยววินาที แต่หลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้ชักมือกลับ แรงกดจากฝ่ามือเขานุ่มแต่มั่นคง เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้พอที่เธอได้กลิ่นสบู่อ่อนๆ จากเสื้อผ้า และอุณหภูมิของเขาที่ดูสงบกว่าโลกภายในใจเธอ
“คุณแค่ต้องเชื่อว่าดินแต่ละก้อน ก็อยากขึ้นรูปทรงของเขา” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ราวกับดินมีชีวิตจริงๆ มือเขายังประคองอยู่แบบนั้น นิ้วโป้งของเขาเคลื่อนเบาๆ เป็นจังหวะร่วมกับนิ้วของเธอ แล้วในจังหวะที่ล้อหมุนผ่านรอยต่อของแท่น ดินตรงกลางก็เริ่มตั้งตัวขึ้นเป็นทรงกลม เรียบ เนียน และนิ่ง
เธอไม่รู้จะพูดอะไร ลมหายใจสะดุดเป็นระยะ ขณะมองมือเขาที่อยู่บนมือ ใจเธอก็เต้นเร็วในความเงียบ ไม่ใช่เพราะเขาดูดี ไม่ใช่เพราะเขาคล่องแคล่ว แต่เพราะมีบางอย่างในคำพูดนั้น ที่ราวกับเขาไม่ได้พูดแค่เรื่องดิน
“อย่าฝืนให้มันเป็นไปตามที่คุณต้องการ...ใช้ใจสัมผัสดิน ว่ามันอยากอยู่ตรงไหน”
ไม่รู้ว่าล้อหมุนอยู่นานแค่ไหน แต่พอเขาถอนมือออก ไออุ่นจากมือเขายังอยู่ เขาพยักหน้าให้เธอเบาๆ ก่อนผละไปช่วยคนถัดไป อรุณลดายังคงนั่งอยู่ที่เดิม ล้อหมุนช้าลงเรื่อยๆ ดินตรงหน้าเป็นทรงแล้ว แต่ก็ไม่วายเกิดรอยเบี้ยวขึ้นข้างหนึ่ง อาจเพราะในใจเธอกลับหมุนแรงขึ้นทุกที เธอมองมือตัวเอง เห็นรอยดินเปื้อนที่ซ้อนทับกับฝ่ามือเขาเมื่อครู่ แค่รอยเปื้อนธรรมดา แต่กลับรู้สึกเหมือนมันได้ติดแน่นซึมเข้าเนื้อตัว เธอแค่อยากอยู่ที่นี่ต่ออีกสักนิด แค่อยากให้วันนี้ยืดยาวกว่าที่มันต้องเป็น
หลังเวิร์กช็อปจบ เธอมองตามเขาขณะเก็บอุปกรณ์และพูดคุยกับผู้เรียนในคลาสคนอื่นๆ เขาหันมาทางเธอเพียงแวบเดียว โค้งตัวเล็กน้อยคล้ายอำลา ส่งยิ้มสุภาพแล้วหันกลับไป ไม่มีอะไรพิเศษ ไม่มีคำพูดลา ไม่มีคำชวน แต่ช่วงเวลาสั้นๆ ตรงนั้นฝังอยู่ในใจของอรุณลดานานจนกระทั่งวันที่เธอได้เข้าทำงานประจำ
ทุกอย่างที่นี่แปลกใหม่สำหรับเธอไปหมด อาคารกระจกสูง ผู้คนเดินกันขวักไขว่ โต๊ะทำงานที่ยังไม่คุ้นแม้แต่ลิ้นชักที่วางคีย์บอร์ด และงานที่ได้รับมอบหมาย ทุกอย่าง...ยกเว้น ‘เขา’ แค่แวบแรกที่เธอเห็นแผ่นหลังของเขาขณะเดินอยู่ข้างหน้าโถงทางเดิน เธอแน่ใจ ต้องใช่แน่ ๆ จะลืมได้อย่างไร ในเมื่อมือคู่นั้นเคยประคองมือเธอบนแท่นปั้นดินอย่างอ่อนโยน แต่เขากับบริษัทเทคโนโลยีสารสนเทศ...มันดูห่างไกลกันเหลือเกิน เธอเร่งฝีเท้าตามไป ก่อนที่เขาจะเปิดประตูเข้าแผนกที่เธอไม่มีสิทธิ์ผ่านเข้าไป
“คุณคะ…คุณธัน…รึเปล่าคะ”
เขาไม่ได้หันมาในทีแรก แต่เมื่อได้ยินชื่อตัวเอง เขาชะลอฝีเท้าเล็กน้อย แล้วค่อยๆ หันกลับมา ส่วนเธอยืนหอบนิดๆ อยู่ตรงนั้น เรื่องราวก่อตัววุ่นวายในใจ เรื่องที่เธอเองก็ยังปั้นเป็นรูปร่างไม่เข้าที่
“ครับ…ผม…เอ่อ…อ้อ! คุณผู้เรียนปั้นเซรามิกนั่นเอง” เขาเกาหัวเบาๆ ราวกับกำลังค่อยๆ ล้วงเอาความจำออกมาทีละก้อน
อรุณลดาหน้าชาวูบ คำนั้นตอกย้ำให้เธอรู้ว่าแม้เขาจะอยู่ในความทรงจำของเธอชัดเจนแค่ไหน แต่ในความทรงจำของเขา เธอก็เป็นแค่ดินก้อนหนึ่งที่ผ่านมือไปเท่านั้นเอง
“คุณธันทำงานที่นี่เหรอคะ”
“ครับ อยู่แผนกวิเคราะห์ข้อมูล ทำดาต้าไซเอนทิสต์ข้างหน้านี้เองครับ แล้วคุณ...”
“ดาค่ะ…อยู่แผนกการตลาด ดาเพิ่งเข้ามาทำงานวันนี้วันแรกค่ะ”
“โอ้…ยินดีด้วยนะครับ แผนกติดกันพอดีเลยนะครับ ดีจัง แบบนี้ที่นี่ก็จะมีพนักงานที่ปั้นเซรามิกได้นิดหน่อย อยู่ตั้งสองคนแล้วสิครับ” เขายิ้มเบาๆ “พอดีผมต้องรีบไปทำงานต่อ ไว้คุยกันอีกนะครับ ขอให้สนุกกับงานครับ”
เขาเอ่ยลา แตะบัตรพนักงานกับเครื่อง และผลักประตูเข้าไปในแผนก
อรุณลดายิ้มจาง ๆ พยักหน้ารับ “เช่นกันนะคะ...”
เสียงประตูกระจที่ดูห่างเหินกว่าประตูไม้ที่สตูดิโอเปิดและปิดลง และเธอก็ยืนอยู่ตรงนั้นกับความรู้สึกที่คงมีแค่เธอที่จำได้
แต่แล้วประตูแผนกของเขาเปิดออกอีกครั้ง
“เดี๋ยวก่อนครับ…คุณดา”
อรุณลดาชะงัก
“วันนั้น...คุณปั้นถ้วยเล็กๆ ใบหนึ่งไว้ใช่ไหมครับ จำได้ว่ามัน...ไม่ค่อยกลมเท่าไหร่ เบี้ยวด้านข้างด้วย”
เธอหัวเราะเบาๆ “ค่ะ...เป็นงานที่พังตั้งแต่ครึ่งทาง แต่ไม่กล้าทิ้ง”
ธันยิ้มมุมปากกับคำตอบซื่อตรงนั้น เขาเอียงหน้าช้าๆ เหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็เปลี่ยนใจ
“แค่จะบอกว่า...วันนั้นผู้เรียนส่วนใหญ่เคยปั้นมาแล้วแทบทุกคน ผมจำคนที่กลั้นหายใจตลอดตอนปั้นได้ดีอยู่นะครับ”
อรุณลดายิ้ม “กลั้นหายใจเพราะกลัวดินล้มค่ะ ไม่ได้ตื่นเต้น”
“ก็ไม่แน่...เรากลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัวหรอกครับ”
คราวนี้เขาไม่หันกลับอีก แต่ก่อนประตูจะปิด เธอเห็นมือเขาชะงักอยู่ที่เครื่องสแกนเล็กน้อย ราวกับลังเลจะพูดบางอย่างต่อ แต่สุดท้ายก็ปล่อยให้มันผ่านไปเหมือนเดิม
ในบรรดาหลายสิ่งที่เธอยังไม่คุ้นในที่ทำงานใหม่ โต๊ะอาหารกลางวันกลายเป็นที่ที่เธอเริ่มรู้สึก ไม่แปลกแยกเท่าไหร่นัก อาจเพราะมีเขาที่บางวันแวะมาทัก บางวันก็แค่ยื่นถุงขนมใบน้อยมาส่งให้
“วันนี้มีข้าวกล่องเยอะกว่าคนกินอีก ถ้าไม่รังเกียจ มาช่วยผมหน่อยครับ”
วันหนึ่งธันพูดด้วยสีหน้าจริงจังเหมือนกำลังชวนอรุณลดาไปประชุมอะไรสักอย่าง แต่เธอกลับยิ้มตาหยีแล้วเดินตามไปอย่างไม่ลังเล ทั้งคู่นั่งลงที่มุมเล็กๆ หลังอาคารสำนักงาน พูดคุยเรื่องเล็กน้อย
“ชอบกินเผ็ดไหม”
“ตอนนั้นปั้นถ้วยไปกี่ใบ ถึงจะได้เลือกเผาใบแรก”
การคุยเรื่องธรรมดากับใครสักคนในทุกๆ วัน มันค่อยๆ ก่อตัวเป็นบางอย่างในใจที่พิเศษ อรุณลดาเริ่มจดจำจังหวะหายใจของเขาได้ เวลาที่เขาเงียบไปนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดอะไรที่คิดมานาน บางทีก็เหมือนมีอะไรจะพูด แต่เขาก็จะไม่พูด เธอเริ่มรู้ว่าเขาไม่ชอบเสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ และเขารู้ว่าเธอชอบกลิ่นดินเปียกมากกว่ากลิ่นน้ำหอม เธอไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียกนี้คืออะไร แต่เธอรู้สึก...ว่าอยากอยู่ตรงนี้ให้นานกว่านี้อีกสักนิด
แม้ข่าวเรื่องการลาออกของเธอจะแพร่กระจายไปทั่วทั้งชั้น แต่เธอก็ไม่ได้บอกเขาด้วยตัวเองว่าจะลาออกสิ้นเดือนนี้แล้ว มันรวดเร็วเกินไป เร็วจนเธอยังไม่ทันเตรียมใจให้ทันกับคำว่าจากลา ถ้าเธอมีทางเลือก ถ้าเหตุผลในการลาออกไม่เกี่ยวกับการเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต หากสัญญาจ้างของเธอไม่ใช่แบบรายเดือนที่ถูกปลดได้ทันทีหากไม่ทำงานตามคำสั่งทุกอย่าง เธอคงยินดีจะนั่งทำงานเงียบๆ ในแผนกข้างๆ เขาไปอีกนานแสนนาน และหากสตูดิโอเซรามิกเล็กๆ ที่เคยเป็นที่พักใจของเธอกับเขาไม่ปิดตัวลงเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา เธออาจกล้าคิด…ว่าเขายังจะอยู่ตรงนั้นที่เธอจะได้เจอเขาอีก มันเป็นการตัดสินใจที่เธอกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่และแทบไม่อยากยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง ถ้วยเซรามิกที่ร่วมปั้นและทาสีสันกับเขามาอย่างดีในใจ...เพียงรอเวลาเข้าเตาเผาให้กลายเป็นถ้วยที่งดงาม กลับถูกบีบให้แหลกเหลวลงเสียก่อน
วันสุดท้ายนั้น เขาไม่ได้มาเจอเธอที่โรงอาหารเหมือนเคย โต๊ะริมหน้าต่างที่เคยนั่งด้วยกันว่างเปล่า เธอเดินผ่านแผนกของเขาไปอย่างเงียบๆ ไม่มีกระดาษโน้ต ไม่มีชื่อ ไม่มีคำลา
“ถ้าฟ้าเปิดอีกนิด...ถ้าเขาถามหาเธอสักคำ นั่นอาจจะเพียงพอให้เธอทนทำงานต่อไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม”
แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนที่เธอก้าวออกจากตึกอากาศเย็นกว่าทุกวัน ไม่มีใครวิ่งตาม ไม่มีคำถาม ไม่มีความบังเอิญ มีเพียงเธอที่พูดกับตัวเองเบาๆ
“ถ้าได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง...คงจะดีสินะ”
เสียงคล้ายขันทิเบตดังกังวานขึ้น เพียงพริบตาทุกอย่างรอบตัวก็เปลี่ยนไป เพดานไม้เก่า หน้าต่างบานที่รับแสงเช้าเข้ามาในมุมเดิม กลิ่นดินเปียกอ่อนๆ เธอลุกพรวดขึ้นมาจากเก้าอี้เวิร์กช็อป มองไปรอบห้อง มือควานหามือถือ เปิดดูวันเดือนปี เป็นไปไม่ได้!…วันนี้คือวันเดียวกับวันที่เธอไปเวิร์กช็อปปั้นเซรามิก วันเดียวกับที่เธอเจอเขาวันแรก เธอหายใจไม่ทัน หัวใจเต้นดังราวกับจะหลุดออกมา
“ฝันอยู่เหรอ…”
“หรือว่านี่คือโอกาส…”
ธันเดินเข้ามาช้ากว่าคนอื่น มือถือกล่องใส่ดิน ใบหน้าเรียบสงบ
“ผมธันครับ วันนี้มาช่วยดูแลแทนคุณครูประจำที่มีเหตุจำเป็นไม่สามารถมาสอนวันนี้ได้ ถ้ามีอะไรไม่มั่นใจ ลองถามดินก่อนก็ได้ครับ บางทีมันตอบเร็วกว่าผม” เสียงเขายังนุ่มนวลแบบเดิม เมื่อเขาหันมาทางเธอ หัวใจเธอแทบหยุดเต้น
“ดา…ดาไงคะ ทำไมเรามาอยู่ที่นี่”
เขาหันมองสบตาเธอ ความฉงนอยู่ในคิ้วที่ขมวดน้อยๆ ก่อนจะตอบกลับยิ้มๆ
“ก็เพราะเราชอบปั้นเซรามิกเหมือนกันมั้งครับ” ว่าแล้วเขาก็เดินไปทักทายผู้เรียนคนอื่นๆ
หลังจากเริ่มปั้นบนแป้น ดินในมือเธอเริ่มสั่น เขาเข้ามาอย่างเงียบๆ เอื้อมมือประคองมือเธอ แรงกดของเขาเบาแต่มั่นคง
“อย่าฝืนให้มันเป็นไปตามที่คุณต้องการมากเกินไปนะครับ...”
อรุณลดาปั้นถ้วยเซรามิกโดยจงใจให้มีรอยเบี้ยวเหมือนใบแรกที่ได้ปั้นกับธัน ก่อนจบคลาส เขาก็เดินมาหา
“ครั้งแรกคุณก็ปั้นได้คล่องเหมือนคนเคยปั้นมาก่อนเลยครับ ถ้าฝึกต่ออีกหน่อย ปั้นเป็นถ้วยสวยๆ ได้สบาย”
มื้อกลางวัน เธอชวนเขา เขาตอบรับง่ายๆ เขาฟัง เธอพูด เขายิ้ม เธอยิ้ม ไม่ต้องมีชื่อเรียกความสัมพันธ์ แค่เธอรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังก่อตัว
เสียงคล้ายขันทิเบตดังกังวานขึ้น บางอย่างพาอรุณลดากลับมาที่ห้องเวิร์กช็อปในเวลาแรกอีกครั้ง โต๊ะที่เธอเคยนั่งมีคนอื่นนั่งแทน ธันเดินผ่านไปรับผู้เรียนที่ตามหลังเธอมา ไม่มีท่าทีว่าจะจำเธอได้
“อุปกรณ์อยู่ตรงมุมโต๊ะครับ อีกสักครู่ผมจะแนะนำวิธีการปั้นให้พร้อมกันนะครับ เชิญนั่งเลยครับ” เขาแนะนำรวมๆ อย่างสุภาพ ทั้งคู่สบสายตากันอยู่ชั่วครู่ สำหรับเธอมันเต็มไปด้วยความรู้สึก สำหรับเขาไม่มีอะไรอยู่ในนั้น เธอยืนอยู่ท่ามกลางห้องเดิม คนเดิม บรรยากาศเดิม แต่ไม่มีอะไรเหมือนเดิมเลยสักอย่าง เธอรวบรวมกำลังใจปั้นดินเป็นถ้วยที่มีรอยเบี้ยวเหมือนใบเดิมจนเสร็จ
เสียงคล้ายขันทิเบตดังกังวานขึ้นอีกครั้ง อรุณลดาย้อนกลับมาวันแรกที่เธอบังเอิญเจอเขาที่ทำงานอยู่บริษัทเดียวกัน แต่ครั้งนี้ เขาเดินเคียงข้างประคองผู้หญิงตัวเล็กน่าทะนุถนอมคนหนึ่งที่ท้องนูนยื่นออกมาอย่างเด่นชัด ดูห่างๆ ก็พอรู้ถึงความสัมพันธ์ของเขาทั้งคู่
เสียงคล้ายขันทิเบตดังกังวานขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้เธอย้อนมาในช่วงที่ทำงานที่เดียวกับเขาได้สักพักแล้ว เธอและเขาไปด้วยกันได้ดี เธอตัดสินใจไม่ลาออกจากงาน แต่สุดท้ายเขาเลือกไปทำงานต่างประเทศเป็นเวลาห้าปี และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็จืดจางตามระยะทางและความวุ่นวายของวัยคนทำงานสร้างตัว
เสียงคล้ายขันทิเบตดังกังวานขึ้นอีกครั้งและอีกครั้ง เธอย้อนกลับมาที่ห้องเวิร์กช็อปอีกครั้ง ไม่คาดหวัง ไม่ต้องการคำตอบใด ธันยังอยู่ ยิ้มทักทายเหมือนเดิม เธอยิ้มน้อยๆ ตอบรับทั้งทักทายและอำลา นั่งเงียบๆ ปั้นถ้วยใบหนึ่งด้วยมือที่มั่นคง ครั้งนี้เธอไม่ได้จงใจบิดมันให้เบี้ยวอีก ไม่ต้องการให้มันเป็นที่จดจำได้ เมื่อจบคลาส เธอวางมันไว้ในกล่องรวมผลงานเหมือนผู้เรียนคนอื่นๆ แล้วเดินออกไปจากห้อง โดยไม่แม้จะหันหลังกลับมาอีก
เสียงคล้ายขันทิเบตดังกังวานขึ้นอีกครั้ง เธอตื่นขึ้นในห้องนอนของตัวเอง ไม่มีเพดานไม้ ไม่ได้กลิ่นดิน ไม่มี เวิร์กช็อป ไม่มีบริษัทที่ทำงานนั้น และไม่มีธัน มีเพียงถ้วยเซรามิกขอบเบี้ยว วางอยู่บนชั้น เธอยกมันขึ้น รินน้ำชาอุ่นใส่ถ้วยขึ้นจรดปาก เมื่อดื่มจนพอดับกระหายแล้วก็เปิดหน้าต่าง เทน้ำชาที่เหลือค้างอยู่ทิ้งไป
…
|