The Unfinished Project
โดย ณกันต์
ฉันยืนตัวสั่นอยู่หน้าห้องประชุม มือเย็นเฉียบ หัวใจเต้นรัวราวกับจะทะลุออกนอกอก เสียงเต้นถี่ดังลั่นอยู่ในหู ฉันมองไปรอบ ๆ ห้อง ผู้บริหารนั่งมองฉัน รอให้ฉันเริ่มการพรีเซนต์ สายตาฉันกวาดไปทั่วอย่างไร้สติก่อนจะหยุดลงตรงที่เขา ดวงตาคมเข้มที่มองมาอย่างอ่อนโยนเสมอ เขายิ้ม พยักหน้าให้ฉันอย่างให้กำลังใจ น่าแปลกที่ความหวาดหวั่นจางหายไป แต่หัวใจไม่ยักเต้นช้าลง มันเต้นเร็วกว่าเดิมด้วยซ้ำ แต่กลับนำพาอารมณ์ที่น่าเคลิบเคลิ้มหลงใหลมาแทนที่ความหวั่นวิตกที่เพิ่งจางไปเมื่อครู่
ภูพยักหน้าให้ฉันอีกครั้ง ราวกับจะเตือนให้ฉันเริ่มพรีเซนต์ได้แล้ว ฉันพยักหน้ากลับไปเป็นการตอบรับ สูดลมหายใจเข้าลึก ยิ้มกว้างเรียกความมั่นใจให้ตัวเองแล้วเริ่มพรีเซนต์
เมื่อจบการพรีเซนต์ ฉันยืนใจเต้นรัวด้วยความหวาดหวั่น รำคาญตัวเองที่มีอาการวิตกจริตแบบนี้ทุกครั้งที่ต้องรับฟีดแบค ทั้ง ๆ ที่ก็รู้ว่าตัวเองไม่ได้พรีเซนต์แย่ขนาดนั้น ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าฉันใช้เวลากับงานชิ้นนี้มากแค่ไหนแถมมีภูที่เป็นโปรเจคเมเนเจอร์มาช่วยดูด้วย มันไม่แย่อยู่แล้ว แต่ฉันจะไม่โล่งใจจนกว่าจะได้รับคำชมจากผู้บริหาร
ผู้อำนวยการเริ่มพูดก่อน เขาเอ่ยชมภาพรวมของโครงการ ก่อนจะให้ความเห็นอย่างสุภาพและมีประเด็นในการปรับปรุงโครงการ
“มันก็เกือบดีแล้วนะ แต่ลองไปคิดเรื่องนี้อีกหน่อยแล้วกัน เพราะเนื้องานที่เราอยากกำจัดมันไม่ได้หายไปไหน คุณแค่ย้ายไปให้ทีมอื่นทำใช่ไหม ผมเข้าใจว่ามันประหยัดกว่า แต่ถ้าไม่ต้องจ่ายเลยจะดีกว่านี้หรือเปล่า”
ฉันหน้าชา คำพูดดี ๆ ที่ชมมาก่อนหน้าปลิวหายไปหมดไม่หลงเหลือในสมอง ฉันรับคำก่อนจะก้มหน้างุด แทบไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาใครอีก รวมถึงภูด้วย
พวกผู้บริหารออกจากห้องประชุมไปแล้ว แต่ฉันรู้ว่าภูยังนั่งอยู่ เขาอ้อยอิ่งทำเป็นเก็บของช้า ๆ ราวกับรอให้ฉันเอ่ยอะไรออกมาก่อน สักพักเขาก็ดันร่างสูงของตัวเองให้ลุกขึ้น บอกสั้น ๆ ว่ารอเดี๋ยวนะ แล้วก็ออกจากห้องประชุมไป ฉันมองตามไป เห็นว่าเขาหายไปในห้องครัวและกลับมาอีกครั้งพร้อมกับแก้วกาแฟสองแก้ว ใช้หลังดันประตูห้องประชุมให้เปิดออกแล้วก้าวเข้ามา กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นโชยฟุ้ง ทำให้จิตใจฉันสงบลงได้บ้าง
เขายื่นแก้วให้ฉันที่บอกขอบคุณสั้น ๆ แล้วยกขึ้นจิบ แทบไม่รู้สึกถึงรสชาติหรือความร้อนของมัน หัวใจฉันยังคงกระวนกระวายอยู่กับความเห็นของผู้บริหาร ไม่ได้เรื่องเลย แค่ทำให้ดีก็ไม่ได้ ฉันมันคิดไม่รอบด้าน ฉันมันไม่ได้เรื่อง ความคิดวกวนอยู่ในหัว แถมที่ร้ายที่สุดคือฉันทำมันพังต่อหน้าภู และนี่คืองานที่ภูร่วมทำกับฉัน ฉันทำให้เขาเสียชื่อ
เสียงแก้ววางกระทบโต๊ะเบา ๆ ก่อนที่ภูจะหันมาหาฉัน มองฉันอย่างตั้งใจ เขาเอ่ยเบา ๆ น้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยนเหมือนทุกครั้ง
“นลินเก่งมากเลย”
แค่นั้นเอง น้ำตาฉันก็ร่วงเผาะ ๆ ลงมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ฉันไม่กล้ามองหน้าเขาเลยยิ่งก้มหน้างุดแทบจะจมแก้วกาแฟ ภูนั่งนิ่งไม่พูดอะไร เหมือนไม่แปลกใจที่เห็นฉันร้องไห้ แค่เลื่อนกล่องทิชชู่มาตรงหน้าฉันที่ดึงมันออกมาซับน้ำตา
“จริง ๆ นะ ตอนแรกตื่นเต้นเลยตะกุกตะกักหน่อยใช่มั้ย พอเครื่องติดแล้วคล่องปรื๋อเลย เห็นคุณกรณ์ที่เป็นไดเรคเตอร์มั้ย เขายิ้มพยักหน้าให้นลิน ตอนที่นลินเล่าว่าพยายามแก้ปัญหายังไงบ้าง ติดต่อใครบ้างแล้วใครว่าอะไรบ้าง” ภูพูดเรื่อย ๆ น้ำเสียงอบอุ่นทำให้ใจฉันอุ่นวาบขึ้นมา มันได้ผลยิ่งกว่ากาแฟที่เขายกมาให้เสียอีก
มือใหญ่บีบเบา ๆ ที่ไหล่อย่างให้กำลังใจ เขาพูดย้ำอีกครั้งว่าเก่งมาก ทำเอาฉันน้ำตารื้นอีกรอบ มันเหมือนฉันรอจะฟังคำนี้จากใครสักคน ใครที่จะทำให้ฉันเชื่อว่าฉันไม่ได้แย่ขนาดนั้นอย่างที่ใจฉันคอยดูถูกตัวเองอยู่เสมอ
“นลินรู้สึกยังไงบ้าง”
คำถามนี้อีกแล้ว คำถามที่ทำให้ฉันตกหลุมรักเขาเมื่อหลายเดือนก่อน ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่ควรไปหลงรักหนุ่มป๊อบคนนั้นในออฟฟิศ คนที่หน้าตาหล่อเหลา ตัวสูง ยิ้มเก่ง เรียนจบจากมหาวิทยาลัยระดับโลกและทำงานเก่งชะมัด แถมยังเข้ากับทุกคนได้ดีจนน่าอิจฉา ภูใจดีมากกับทุกคนและทุกคนก็รักภู มองยังไงเราก็ไม่เหมาะกัน และเหมือนไม่มีทางจะโคจรมาใกล้ชิดกันได้จนหัวหน้าโยนงานมาให้ฉันทำและไปเทียบเคียงเขามาจากทีมโปรเจคให้มาช่วยฉันนี่ละ ตอนนั้นก็เกิดเรื่องคล้าย ๆ แบบนี้ ฉันสติแตก กลัวการรับฟีดแบค ก้มหน้างุดหลังจากที่ทุกคนออกจากห้องไป ทิ้งไว้แค่ฉันกับเขา ภูนั่งเงียบ ๆ ตรงนั้นก่อนจะถามว่าฉันรู้สึกอย่างไร ฉันตอบอ้อมแอ้ม แต่พอเห็นว่าเขาตั้งใจฟังทุกคำที่ฉันพูดแล้ว เรื่องต่าง ๆ ที่กังวลในใจก็หลุดโพละออกมา เกือบจะร้องไห้ใส่เขาด้วยซ้ำ ฉันน้ำตาคลอ และถึงจะเห็นแค่นั้น ภูก็ยื่นทิชชู่ให้ฉันอยู่ดี
ฉันละสายตาจากแก้วกาแฟแล้วเหลือบมองเขาในที่สุด เขายังจ้องกลับมาอย่างต้องการคำตอบ รอยยิ้มน้อย ๆ ติดอยู่ที่มุมปากอย่างเคย
“ก็รู้สึก... โล่งใจที่พรีเซนต์จบแล้ว แต่ก็เสียใจที่ทำไม่ได้ตามที่ทุกคนคาดหวัง ฉันไม่ได้เรื่องเลย ขอโทษนะภู”
ภูเลิกคิ้ว “ขอโทษภูเรื่องอะไร นลินไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย อีกอย่าง ทำไมชอบคิดว่าตัวเองไม่ได้เรื่อง นลินเก่งมากนะ อยากให้นลินเห็นตัวเองอย่างที่ภูเห็นบ้าง จะได้มั่นใจขึ้น”
ใจเต้นระส่ำแบบแทบจะทำฉันหมดสติจากคำพูดเขา ฉันรู้ตัวเลยว่าหน้าต้องแดงวาบไปแล้วแน่ ๆ และเขาต้องสังเกตเห็นแล้วแน่ ๆ เพราะภูชะงักไปหน่อยก่อนจะหลบสายตาวูบแล้วเสมองไปทางอื่น เขาทำมันอย่างแนบเนียนราวกับกังวลว่าฉันจะเข้าหน้าเขาไม่ติด ภูหันกลับมาอีกครั้ง ยิ้ม ย้ำอีกว่าฉันเก่งมากและเขาเห็นพัฒนาการของฉันมาตลอดตั้งแต่ตอนเริ่มทำโปรเจคกันจนถึงตอนนี้
คำพูดของเขาทำให้หัวใจอันหนักอึ้งของฉันเบาลง ฉันดีพอ ภูบอกแบบนั้น ฉันยกกาแฟขึ้นจิบอีกครั้ง คราวนี้รับรู้ถึงอุณหภูมิอุ่น รสชาติขมกับกลิ่นหอมปลายที่ทำให้อารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง เมื่อเห็นว่าฉันรู้สึกดีขึ้นแล้วเขาก็เริ่มคุยเรื่องงาน เรื่องความคิดเห็นที่ได้รับมาว่าควรจะปรับแก้ไขอย่างไร ภูลุกขึ้นไปเขียนกระดานสีขาวในห้องประชุม ร่างระยะเวลาคร่าว ๆ จากตอนนี้จนถึงวันที่จะแก้ไขโปรเจคให้เสร็จลุล่วง เขาขมวดคิ้วจ้องกระดานอยู่พักใหญ่ก่อนจะหันมาหาฉันพร้อมสีหน้าที่เป็นปกติ จากนั้นเราก็ออกจากห้องประชุม เขาเปิดประตูให้ฉัน เราออกเดินไปด้วยกันพลางคุยกันไปเรื่อย ๆ
เขามาส่งฉันที่แผนกก่อน จะบอกว่ามาส่งคงไม่ได้เพราะแผนกฉันเป็นทางผ่านจากห้องประชุมไปยังแผนกของเขา ตอนที่ทีมของฉันเห็นภู ทุกคนก็กรี๊ดกร๊าดวี้ดว้ายกันใหญ่ที่หนุ่มป๊อบแวะมา ภูหัวเราะขำแล้วเล่นสนุกกับทุกคน ในทีมกำลังเปิดกล่องโดนัทที่เพิ่งซื้อมาเพื่อผลาญงบกินเลี้ยงทีมประจำไตรมาสที่ยังเหลืออยู่ ภูก็โดนชวนให้กินด้วยกัน เพื่อนในทีมยื่นกล่องโดนัทให้ฉันเลือกก่อน ฉันมองโดนัทหน้าตาน่ากินหลากรสชาติและสีสัน เห็นอันที่เยินที่สุดเพราะโดนบี้จากการขนส่ง ฉันหยิบมันขึ้นมาทันที พวกเพื่อน ๆ ส่งเสียงล้อเลียนเรื่องที่ฉันเป็นคนเสียสละอีกแล้ว ฉันขำ หันไปหาภูที่ยืนมองโดนัทในมือฉันอย่างครุ่นคิด เขาแย่งมันไปแล้วก็กัดกินเข้าไปคำใหญ่ หยิบอีกชิ้นที่สวยที่สุดในกล่องขึ้นมาแล้วยัดใส่มือฉันแทน
“นลินเหมาะกับอันนี้มากกว่า” พูดแค่นั้นแล้วก็โบกมือยิ้มแย้มให้ฉันและเพื่อน ๆ ก่อนจะก้าวจากไป
ฉันนั่งลงที่โต๊ะทำงาน มองโดนัทหน้าตาดีในมือ ยกมือถือขึ้นมาถ่ายลงอินสตาแกรมพร้อมโพสต์อีโมจิหน้ายิ้ม ก่อนจะกัดโดนัทเข้าปากไปคำใหญ่ อร่อยจัง... อุ่นดีจัง อุ่นในใจ
ในห้องประชุมวันถัดมา ผู้จัดการที่มาประชุมกับเราก้าวออกจากห้องไปอย่างหงุดหงิด เขาอยากให้ฉันรับงานชิ้นหนึ่งไปทำ บอกว่าเกี่ยวข้องกับโปรเจคของเรา คำพูดของเขาเหมือนจะเข้าท่า เหมือนกับว่าฉันนี่แหละที่ต้องทำงานชิ้นนี้ ถึงจะดูก้ำกึ่งว่าไม่น่าเกี่ยวกับโปรเจคนี้แต่ฉันก็พยักหน้าหงึกหงักเตรียมรับงานเขาไปทำเต็มที่ จนภูสวนขึ้นมากลางคันว่างานนี้ไม่เกี่ยวกับโปรเจค และเขาคิดว่าทีมอื่นจะเหมาะกว่า ภูแนะนำให้เขาไปคุยกับทีมหนึ่ง เขาบอกว่าไปคุยมาแล้วและโดนปฏิเสธมาถึงได้มาทางนี้ แต่ภูก็แค่ยิ้มและตอบปฏิเสธไปอย่างสุภาพว่าเวลาของพวกเราไม่ได้มีมากจนรับงานนี้มาทำเพิ่มได้ และมันแทบไม่เกี่ยวอะไรกับโปรเจคนี้เลย เขาถึงได้เดินหน้าตึงออกจากห้องประชุมไป
ฉันที่เก็บของเสร็จแล้วกำลังลุกขึ้นยืนตอนที่ภูดึงฉันให้นั่งลงอีกครั้ง มองฉันนิ่ง ๆ เหมือนหนักใจ บอกฉันว่าฉันไม่ควรสุ่มสี่สุ่มห้ารับทุกอย่างเข้ามาทำเองเสียหมด มันทำให้ฉันไม่มีเวลาทำงานของตัวเอง มัวแต่ทำงานให้คนอื่นแล้วเอาเวลาเลิกงานมาทำงานตัวเองจนต้องกลับบ้านดึก ๆ ดื่น ๆ เช้ามาก็มานั่งหาวใส่เขา
“ปฏิเสธบ้างก็ได้ ไม่มีใครว่าอะไรหรอก”
ฉันกะพริบตาใส่เขา มันจะไม่มีใครว่าอะไรจริง ๆ เหรอ แค่คิดว่าต้องปฏิเสธคนฉันก็ไม่กล้าแล้ว ฉันกลัวพวกเขาเสียใจเพราะฉัน ผิดหวังเพราะฉัน
“เอ็นดูเขา เอ็นเราขาด รู้จักมั้ย นลินจะช่วยใครแค่ไหนก็ได้ถ้ามันไม่เดือดร้อนตัวเอง” เขาบ่น มองฉันอย่างชั่งใจ “เคยขึ้นเครื่องบินมั้ย”
ฉันเลิกคิ้วมองเขาอย่างงุนงงที่เขาเปลี่ยนเรื่องเป็นเรื่องขึ้นเครื่องบิน แต่ก็พยักหน้า
“แอร์โฮสเตสเค้าบอกว่าอะไร ในกรณีฉุกเฉิน หน้ากากอ็อกซิเจนตกลงมา ให้สวมให้ตัวเองก่อนค่อยช่วยคนอื่นใช่มั้ย”
ฉันพยักหน้าอีก เข้าใจแล้วว่ามันเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขาจะพูดยังไง
“ถ้าไม่ช่วยตัวเองก่อนก็ตาย แค่นั้นแหละ”
“ทำไมวันนี้โหดจัง” ฉันโพล่งออกไปอย่างอดไม่ได้
“ก็ทำตัวน่าเป็นห่วง นลินต้องขีดเส้นแบ่งให้ชัด อย่าให้ใครมาเอาเปรียบ” เขานิ่งไปพัก ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วมองฉันอีกครั้ง สายตาอ่อนโยนลง “ขอโทษนะ ภูของขึ้นทุกทีเวลาเห็นคนโดนเอาเปรียบ แล้วนลินก็...”
ฉันเลิกคิ้ว รอให้เขาพูดต่อ
ภูนิ่งไปนิด เหมือนพยายามเลือกคำพูดให้ถูกต้อง “ก็เป็นคนดีที่พร้อมจะช่วยทุกคน ทุกคนก็พร้อมจะพุ่งเข้าหาเพราะแบบนั้น” เขาถอนหายใจอีก “ภูไม่ชอบเห็นนลินโดนเอาเปรียบ”
ใจฉันเต้นรัวอีกแล้ว ฉันรีบหลบสายตาเขา ภูคงรู้เพราะเขารีบพูดต่อ “ภูเป็นแบบนี้กับทุกคน เห็นคนโดนเอาเปรียบแล้วมันหงุดหงิดใจ”
ฉันบอกขอบคุณเขาอ้อมแอ้ม บอกว่าฉันเข้าใจ...เข้าใจว่าเขาก็เป็นแบบนี้กับทุกคน ไม่ใช่กับฉันแค่คนเดียว
วันเวลาผ่านไป โปรเจคของเราคืบหน้าไปอย่างน่าประทับใจ ภูรู้จักคนเยอะ เขาติดต่อกับคนในและนอกแผนกเพื่อประสานงานจนทำให้งานคืบหน้าไปได้มาก ฉันได้เรียนรู้อะไรมากมายจากเขา มันสนุกมากจริง ๆ ที่ได้ทำงานกับภู และก็ต้องยอมรับว่าฉันชอบที่ได้ใกล้ชิดกับเขาด้วย
ฉันเริ่มปฏิเสธคนเป็นแล้ว ภูสอนทริคให้ฉันหลายอย่าง ครั้งแรกที่ฉันเริ่มปฏิเสธ ฉันแทบสติแตก ใจเต้นจนจะบ้า กลัวอีกฝ่ายจะลุกขึ้นมาด่าว่าฉันเห็นแก่ตัวที่ไม่ช่วยเขา แต่ก็ไม่เห็นเป็นไร ทุกคนก็แค่พยักหน้ารับว่าฉันทำไม่ไหวเพราะไม่มีเวลามากพอ บางคนมีหงุดหงิดนิดหน่อยแต่ก็แค่นั้น พอเห็นแบบนั้นแล้วฉันก็โล่งใจขึ้น เลยกล้าปฏิเสธคนมากขึ้นเพื่อให้ตัวเองได้ทำงานของตัวเอง ถึงจะมีบางงานที่อีกฝ่ายตื๊อเก่งมากจนฉันทนปฏิเสธต่อไปไม่ไหวเลยรับมาทำเองแต่ก็น้อยเต็มที ทีนี้ฉันเลยไม่ต้องเลิกงานดึก ๆ ดื่น ๆ แล้วมานั่งหาวใส่ภูตอนเช้าแล้ว
โปรเจคมาถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว เหลือเวลาอีกราวสองสัปดาห์เพื่อวัดผลและทำสรุปไปนำเสนอผู้บริหารอีกครั้ง ฉันเบิกบานเต็มที่เพราะเห็นโปรเจคดำเนินไปได้ด้วยดี ภูยิ้มสดชื่นให้ฉัน แต่แล้วก็นิ่งไป ดูลังเลอึกอัก เขาเงียบไปสักพักจนฉันสังเกตได้
“มีอะไรหรือเปล่า”
เขาวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะ หันมาหาฉันแล้วมองฉันอย่างตั้งใจ “มีเรื่องจะบอก”
ฉันเลิกคิ้ว มองใบหน้าหล่อเหลาที่ตอนนี้ดูหนักใจ
“ภูลาออกแล้ว”
ฉันรู้สึกเหมือนหัวใจดิ่งลงพื้น มือที่จับหูแก้วสั่น “ฮะ”
ภูมองฉัน บอกช้า ๆ อีกครั้งด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเหมือนเคย “ภูลาออกแล้ว ศุกร์หน้าทำงานวันสุดท้าย”
“ทำไมไวจังล่ะ ไม่ต้องรอแจ้งลาออกหนึ่งเดือนล่วงหน้าเหรอ”
“ก็แจ้งไปตั้งแต่เดือนที่แล้ว แต่เพิ่งได้บอกนลิน ไม่อยากให้เสียสมาธิทำงาน”
ฉันมึนงงเหมือนโดนทุบหัว มือบีบแก้วแน่นขนาดนี้เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ฉันสูดลมหายใจเข้าลึก คิดว่าจะพูดอะไรดี
“ภูลาออกก่อนโปรเจคจบ กำลังคุยกันอยู่ในทีมว่าใครจะมารับช่วงต่อ ไม่ต้องห่วงนะ ภูจะส่งต่องานให้ดี ไม่ให้นลินเดือดร้อน”
ฉันไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นเลย ไม่เลยสักนิด อยากจะตะโกนบอกเขาอย่างนั้นแต่ก็ทำไม่ได้ ฉันแค่ยิ้มจาง ๆ ให้เขา พยักหน้ารับแล้วบอกขอบคุณ
วันสุดท้ายของการทำงานของภู เราไปกินข้าวด้วยกัน ภูย้ำหลายครั้งว่าเขาภูมิใจมากแค่ไหนที่เห็นฉันเก่งขึ้นเรื่อย ๆ จากวันแรกที่ได้ทำงานด้วยกันจนถึงตอนนี้ ฉันปฏิเสธคนเก่งแล้วเขาเลยไม่ห่วง เขาบอกฉันว่าคำพูดความคิดเห็นจากคนอื่น ๆ นั้นเป็นการประเมินผลงาน ไม่ได้ประเมินตัวตนของฉัน บอกให้ฉันเชื่อมั่นในตัวเองให้มาก อย่าดูถูกตัวเอง พูดไปก็ตักกุ้งใส่จานฉันด้วย
“เอาไปเลยชิ้นใหญ่สุด นลินสมควรได้รับทุกอย่างที่ดี ถ้ารู้สึกว่าโลกใจร้ายกับเรา อย่าซ้ำเติมตัวเอง ใจดีกับตัวเองนะ”
ฉันน้ำตาไหล คำพูดของเขาแตะหัวใจฉัน โอบกอดใจที่บอบช้ำของฉันอย่างนุ่มนวล ถ้าไม่ได้เจอกันแล้ว ไม่มีภูที่คอยส่งยิ้มให้กำลังใจฉันแล้ว ฉันจะเป็นยังไง
โปรเจคจบไปแล้วด้วยดี และออฟฟิศเงียบเหงาเมื่อไม่มีภู หัวใจฉันหนักอึ้ง มองเพื่อนในทีมเปิดกล่องคัพเค้กเจ้าดังที่บริษัทสั่งมาแจก คัพเค้กหน้าตาน่ารักเรียงราย สายตาฉันเหลือบไปยังชิ้นที่ยับเยินที่สุดที่มุมกล่อง มือยื่นไปทางนั้นอย่างเคยชิน ฉันชะงัก คำพูดของภูดังในหัว ลังเล แต่ฉันเลือกชิ้นสวยให้ตัวเอง
เพื่อน ๆ ส่งเสียงล้อเลียนให้กับความเปลี่ยนแปลงนี้ แซวว่าฉันเลือกอะไรดี ๆ ให้ตัวเองได้สักที
ฉันมองคัพเค้กชิ้นสวยบนโต๊ะ ความรู้สึกหนึ่งผุดขึ้นในอกทำให้ฉันยิ้ม ฉันถ่ายรูปลงอินตาแกรม พิมพ์อีโมจิหน้ายิ้มพร้อมใส่แคปชันติดตลกที่ทำให้ฉันยืดอกอย่างภาคภูมิใจ
‘My pick :)’
นั่งยิ้มให้ตัวเองไม่ทันไรภูก็มากดไลก์ เขาคอมเมนต์ด้วย เป็นอีโมจิยกนิ้วโป้งพร้อมกับหน้ายิ้ม
ฉันวางมือถือลง หันไปมองท้องฟ้าใสนอกหน้าต่างพลางถอนหายใจ ภูไม่อยู่ที่นี่แล้ว.... ทิ้งไว้แค่คำพูดที่ประทับลงในใจฉัน ฉันตบไหล่ตัวเองเบา ๆ เหมือนที่ภูชอบทำ ไม่เป็นไรนะ ฉันยังมีตัวเองอยู่ทั้งคน
|