บทเพลงของนางเงือก
โดย นัทสึมิ
อย่ามาเล่นริมหาดเวลานี้ พวกเด็กเปรต! นางเงือกจะลักตัวเจ้า ไป! กลับบ้านเสีย ยังอีก อีแก่นี่มีอะไรน่าขำ พวกเด็กโง่! พ่อแม่พวกเจ้าไม่เคยเล่าหรือ พวกมันร้องเพลง เสียงหวานๆ นั่น…..ใครได้ยินก็ห้ามใจไม่อยู่ทั้งนั้น หยุดหัวเราะ! ไอ้เด็กนรก! นางเงือกจะทรมานเจ้า เจ้าไม่เคยได้ยินเรื่องมาเรียหรือ มาเรียลูกพ่อค้าผู้มั่งคั่ง เจ้าของดวงตาสีฟ้าใสเหมือนท้องฟ้าไร้เมฆ ผมของนางทองอร่ามเหมือนแสงตะวัน และเขา—กะลาสีหนุ่มคนนั้น—อา เขาช่างรูปงามนัก ผมสีดำขลับ ดวงตาสีอำพัน พวกเจ้าต้องไม่เคยเจอคนหนุ่มคนไหนหล่อเหลาเท่านี้แน่ ทีนี้พวกเจ้าก็นิ่งฟังเสียที ข้าจะรีบเล่าก่อนจะโพล้เพล้ แล้วพวกเจ้าก็กลับบ้านกันไปเสีย ขืนยังอยู่ต่อจนมืด พวกเจ้าจะถูกนางเงือกล่อลวงไปแบบมาเรีย ไม่ต้องกลัว หากพวกเจ้าเชื่อข้า พวกเจ้าจะรอดจากเสียงเพลงมรณะนั่น
นางมารอเขาที่หาดนี่ทุกวัน ทุกวันเลย รอทำไมงั้นหรือ เพราะกะลาสีหนุ่มของนางบอกว่าจะกลับมาน่ะสิ เขาสัญญา…หลังจากนอนกับนางคืนแล้วคืนเล่า บอกรักนางนับพันหนด้วยคำพูดและตาสีอำพันของเขา ฟังก่อนสิ! พวกเจ้าเอาแต่ถามหานางเงือกกันทำไม มันเป็นเดรัจฉานชั่วร้าย ใช่ใช่ เจ้าได้ยินมาไม่ผิดหรอก มันรูปงาม ผิวขาวซีดกว่าทรายบนหาดนี่เสียอีก และเกล็ดหางปลานั่นสวยยิ่งกว่าไข่มุกแพงๆ ที่พวกพ่อค้าเอามาขายที่ตลาด จะจับงั้นหรือ เจ้ากล้าทีเดียว แต่ก็โง่มากด้วย เจ้าไม่มีโอกาสจับนางได้หรอก เพียงนางเปล่งเสียงร้องเพลง เจ้าจะสยบยอมต่อนาง พ่อหนุ่มน้อย
นางโดนจับไปได้ยังไงน่ะหรือ ไม่ใช่เพราะกะลาสีคนนั้น! เด็กโง่ กะลาสีหนุ่มนั่นไม่เหมือนคนอื่นๆ หรอก เขาไม่มีวันไปหลงใหลกับพวกสัตว์นรกนั่น เพราะเขารักมาเรียที่สุดน่ะสิ ไม่ว่านางเงือกกี่ตนหรือปิศาจจากท้องทะเลหน้าไหนก็พรากเขาไปจากนางไม่ได้ เขายอมฝ่าพายุอีกร้อยลูกเพื่อมาพบนาง โอ ดวงตาสีอำพันเขาช่างหนักแน่น ปีติล้น หัวใจของมาเรียในตอนนั้นน่ะ ทั้งสองหัวร่อต่อกระซิกกัน จูงมือกันเดินริมหาด พ่อยอดรักของนางเก็บเปลือกหอยมาร้อยสร้อยข้อมือ มือหยาบใหญ่นั่นเทอะทะ กว่าจะร้อยจะถักเชือกกับเปลือกหอยได้ พวกแม่ค้าสาวๆ เห็นก็หัวเราะคิกคักกันใหญ่ ส่วนมาเรียก็ดีใจจนหลั่งน้ำตา หัวเราะร่าแล้วโผกอดกะลาสีหนุ่มของนางต่อหน้าคนทั้งตลาดเลยทีเดียว นางซื้อเสื้อผ้าใหม่ที่สุด แพงที่สุด นุ่มที่สุดที่พ่อค้ามีในร้านให้เขา นั่งลงซะ! ข้ายังเล่าไม่จบ ขืนพวกเจ้าลุกหนีข้า ข้าจะสาปให้เงือกมาเอาตัวเจ้าไป พวกเจ้าไม่เห็นหรือไง คู่รักสองคนนี้เปี่ยมสุขยิ่งกว่าเวลาพวกเจ้าได้กินขนมหวานตามใจอยากเสียอีก
อีกแล้ว นางเงือกอีกแล้ว อยากรู้จักพวกมันไปทำไมกัน แต่พวกเจ้ารู้ไว้ก็ดี ปิศาจเท่านั้นที่รังสรรค์ภาพลวงตาเช่นนี้ได้ พวกเจ้าต้องระวังไว้ ข้าบอกแล้วว่ากะลาสีหนุ่มไม่ได้ทิ้งมาเรียไปหานางเงือก! ไอ้เด็กเวร! ถึงเวลาที่เขาต้องออกทะเลเพื่อไปค้าขายต่างหาก เขาจะสร้างตัวเพื่อกลับมาหานาง เพื่อให้คู่ควรกับนาง มาเรียทั้งวิงวอน ทั้งโมโหโทโส ใครได้ยินเสียงคร่ำครวญของนางก็คงนึกเวทนาทั้งนั้น กะลาสีหนุ่มทั้งปลอบโยน พรมจูบ พร่ำสัญญา และในที่สุด เขาก็ไป….เขาปีนขึ้นไปที่ท้ายเรือเพื่อโบกมือลาให้นางจนเรือลำใหญ่ค่อยๆ เล็กลง เล็กลง จนลับขอบฟ้า…
และเขาไม่กลับมาอีกเลย
ทำไมน่ะหรือ เขาอาจมีหญิงอื่น เฮอะ ไอ้อีพวกนั้นก็พูดกันไป เขาอาจตายแล้ว อีพวกผีเจาะปาก แต่ไม่ว่าใครจะพูดอะไร มาเรียก็มารอเขาที่โขดหินริมฝั่งตั้งแต่เย็นย่ำจรดรุ่งสาง นางเห็นเงาเขาทาบทับทุกแห่งหนในยามกลางวัน และแว่วเสียงเรียกจากเขาในยามกลางคืน แต่เงียบ—เหมือนพวกเจ้าตอนนี้—ไม่มีเสียง ไม่มีข่าวคราว ไม่มีกะลาสีหนุ่ม
ทะเลเอย ได้โปรดนำเขากลับมา มาเรียคนงามคุกเข่าลงบนหาดทราย พร่ำสวดขอพร บทสวดของนางเริ่มด้วยความสงบเสงี่ยม จำนนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดก็ตามที่นำเขากลับมาได้ จากนั้นเสียงบทสวดค่อยเจือเสียงสะอื้น และเปลี่ยนเป็นร่ำไห้ ทุกคืน ทุกคืน แต่แล้ว...คืนที่ดวงจันทร์เหลือเพียงเสี้ยวเดียวเหมือนหัวใจนาง….นางก็ได้ยิน….เสียงหวานๆ กังวาน….เหมือนอะไรน่ะรึ….ระฆังทองคำในโบสถ์ ไม่ก็เครื่องดนตรีที่ทำจากไม้ชั้นเลิศกระมัง….ไม่มีเสียงใดในโลกเสนาะหูได้เท่านั้นแล้ว….นางได้ยินเสียงนั้นก่อน จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมอง และริมโขดหินก้อนนั้น ใช่ ก้อนที่พวกเจ้าไปวิ่งเล่นกันมานั่นแหละ…หญิงสาวนางหนึ่งกำลังนั่งร้องเพลง แสงจันทร์ในคืนนั้นก็มืดมัวเหลือเกิน แต่พวกเจ้าเชื่อมั้ย เกล็ดหางปลาสีไข่มุกของนางสะบัดแกว่งสะท้อนแสงจันทร์วับแวม ผมหยิกยาวสยายถึงสะโพก
งดงาม น้ำตาของมาเรียเหือดแห้งด้วยความงงงัน หญิงสาวมาที่นี่คืนแล้วคืนเล่าก็ไม่เคยพบใคร ความเศร้าหล่นหายไปชั่วขณะตอนเห็นดวงหน้านางเงือกในแสงจันทร์ แม้แสงจะริบหรี่แต่ความงามนั้นฉายเด่น ริมฝีปากบางเอื้อนเอ่ยคำร้อง เสียงคลื่นเคล้าคลอเป็นทำนอง ร้องว่าอะไรงั้นหรือ โอ ข้าไม่รู้หรอก คนที่ได้ยินบทเพลงของนางเงือกไม่มีใครได้กลับมาเล่าให้ฟังหรอก บ้างก็ว่านางได้ยินเสียงเขา บ้างก็ว่านางได้ยินเสียงเพลงรอรักของชายหนุ่ม แต่ไม่ว่าเพลงจะร้องว่าอะไร มาเรียก็ขยับใกล้เข้าไป ใกล้เข้าไป ขาเจ้ากรรมของนางปีนขึ้นโขดหิน นางทรุดนั่ง ห่างจากเงือกสาวตนนั้นเพียงหนึ่งช่วงแขน
ชายหนุ่มยังรอรัก ขอเจ้าจักรอข้าเคียงข้างกัน
ช่างไพเราะ ไยนางเงือกจึงเลือกบทเพลงนี้ หรือทะเลได้ยินคำอธิษฐานของนาง โอ๊ย มาเรียก็ฟังตำนานมาเหมือนพวกเจ้านั่นล่ะ แต่พ่อของนางเอาแต่พูดว่าพวกชาวบ้านน่ะงมงาย เขาล่องเรือไปจนทั่ว ยังไม่เคยได้เห็นได้ยินอะไร บางที ทุกคนอาจจะผิดทั้งหมดก็ได้ สิ่งงดงามเช่นนี้หรือจะชั่วร้าย เพลงที่นางกำลังได้ยินรื่นหูนัก หาใช่บทเพลงแห่งความตายแบบที่ใครพูดกัน….เฮ้อ มาเรียผู้น่าสงสาร นางตกในห้วงทุกข์แห่งการรอคอยเขาทุกคืนวัน มีเพียงเสียงคลื่นคุยเป็นเพื่อน
เป็นเจ้าจะกล้าเข้าใกล้สิ่งมีชีวิตลึกลับมากกว่านั้นหรือ มาเรียไม่รู้จะทำเช่นไรจึงได้แต่สวดมนต์ ครั้งนี้ไร้เสียงสะอึ้น ได้โปรด นำเขากลับมา นางเงือกหยุดร้องเพลง ตั้งใจฟังคำอธิษฐานของมาเรีย แต่นางกลับส่ายหน้าช้าๆต่อคำวิงวอนของหญิงผู้ใจสลาย เสียงของมาเรียดังขึ้นเรื่อยๆ ข้าต้องทำเช่นไรถึงได้พบเขา นางกรีดร้องดังเช่นที่ทำทุกคืน ร่างนั้นยังคงแย้มยิ้ม ดวงตาสีน้ำทะเลจ้องมาเรียไม่วางตา กลัวหรือ หึหึหึ มาเรียจะกลัวอะไรได้อีก ในเมื่อความกลัวการสูญเสียโอบรัดนางทุกวันจนรวดร้าว ครั้นแล้วนางก็หัวเราะ ไปให้พ้น อีผีเน่า นางด่าทอสาดเสียเทเสียอยู่บนโขดหินนั่นแต่ยังไม่ขยับไปไหน หัวเราะสลับร่ำไห้ ถ้าแกไม่ช่วยข้า แกก็ตายตกไปเสีย แกมันเป็นปิศาจ โอ๊ย พวกชาวบ้านได้ยินกันจนชินชา ไม่มีใครสนใจหรอก เงือกตนนั้นยังคงนิ่งงัน ฟังนางหมิ่นหยาม ทำไมไม่ช่วยงั้นหรือ ข้าจะไปรู้ได้ยังไงกันนังหนู ใครจะไปเข้าใจปิศาจได้ล่ะ มาเรียอาละวาดจนเสียงแหบแห้ง น้ำตาไม่หลั่งเพราะไม่มีให้ไหลอีกต่อไป นางสิ้นแรง ฟุบหน้าลงกับโขดหินชื้นๆ ช่างน่าเวทนา นางหลับตา ไม่อยากรับรู้สิ่งรอบกาย ปรารถนาให้ตัวนางจมหายไป พึมพำชื่อกะลาสีหนุ่มแสนรักอย่างไร้หวัง ได้แต่ภาวนาเสียงแหบพร่า ข้ายอมแลกทุกอย่างเพื่อให้ได้พบเขา
สะดุ้งอะไรกัน เจ้าพวกขวัญอ่อน แค่เสียงคลื่นโครมใหญ่ปะทะหินเอง ฮ่าฮ่าฮ่า แค่นี้พวกเจ้ายังตกใจกันเลย แต่เทียบกับมาเรียไม่ได้หรอก สิ้นเสียงคลื่นซัด นางก็ลงไปอยู่ในทะเล
เยียบเย็น มืดทึม ทุรนทุรายเพียงใดพวกเจ้าไม่เข้าใจหรอก นางยังไม่ทันได้สูดคว้าอากาศซักเฮือก รู้ตัวอีกทีก็กลืนน้ำเค็มเข้าไปเต็มท้อง นางสำลักน้ำ แต่ยิ่งสำลักก็ยิ่งกลืนน้ำเข้าไปจนแสบคอยิ่งกว่ากลืนยาพิษ ครั้งจะหายใจก็ทำไม่ได้ นางไม่ใช่ปลานี่นะ นางลนลานเตะถีบตะเกียกตะกาย หึหึหึ มนุษย์อาจใจสลายจนอยากตาย แต่พอความตายมาเยี่ยมถึงที่แบบนี้ มาเรียก็คงกลัวตาย—หรือไม่ก็กลัวว่าความตายจะพรากนางไปจากเขา—โอ๊ย มือนังปิศาจนั่นยึดนางไว้แน่นยังกับโซ่ตรวน แต่ก็ไม่ยี่หระกับชะตาของนางเลย มันลากนางไปข้างหน้าเหมือนสาหร่ายเปื่อยๆ ขาของนางตะกายน้ำไม่รู้ทิศทาง แล้วนางก็ถีบเข้ากับอะไรบางอย่างลื่นๆ แข็งๆ ความรู้สึกเหมือนพวกเจ้าจับปลามือเปล่า หางของเงือกนั่น เกล็ดไข่มุกหลุดกระจาย มันส่งเสียงกรีดร้องชวนสยอง แล้วมาเรียก็หลุดจากพันธนาการ นางว่ายหนีไปในทางตรงข้ามทันที นางเห็นแสงเรื่อเรืองอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล นางแกว่งแขนตะกายไปหาแสงนั่น อีกนิดเดียว
ข้าจะพบพาน อย่าหนีหน้าห่างหายจากข้าไป…
บทเพลงนั่นอีกแล้ว มาเรียได้ยินหลังจากโผล่หน้าพ้นน้ำ ไอโขลกสำลักน้ำและสูดอากาศยามราตรีเฮือกใหญ่ แม้นางเหนื่อยหอบแทบขาดใจ แต่เพลงนั้นกลับสะกดนางไว้ จากนั้นนางเริ่มหันรีหันขวางในน้ำเย็นเฉียบ ตามหาเงือกสาวผู้ขับขานเพลงนั้น นางแทบมองอะไรไม่เห็นในแสงจันทร์สลัวเลย จึงทำได้เพียงเงี่ยหูฟัง ทำไมนางไม่หนีไปน่ะหรือ เฮ้อ เด็กอย่างพวกเจ้าจะรู้อะไร แรงรักมีชัยเหนือแรงใดเสมอ แถมบทเพลงนั่นก็ทรงพลังเหลือเกิน นางจะหนีได้อย่างไร
ข้าเฝ้ารอเพียงเคียงรักเจ้า….
นางเห็นหางไวๆ ของนางเงือกแล้ว บทเพลงยังคงดังก้องประสานเสียงคลื่น ชักนำแขนของนางให้จ้วงน้ำไปหาเงือกตนนั้น เขายังรอข้าจริงหรือ เขายังรักข้าหรือ แต่ไม่ว่าจะถามเท่าไหร่เงือกตนนั้นก็ไม่ตอบ เอาแต่ร้องท่วงทำนองแห่งการคืนรัก มาเรียเริ่มคิดว่านางเงือกตนนี้อาจพูดภาษามนุษย์ไม่ได้ นางคงร้องเพลงตามที่ได้ยินได้ฟังมา แล้วนางจะได้ยินเพลงนี้จากไหนล่ะถ้าไม่ใช่จากกะลาสีหนุ่มของนาง คิดได้ดังนั้น สีหน้านางก็กระจ่าง ข้าจะไปพบเขาให้ได้! นางละล่ำละลักออกมา ความอบอุ่มแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ชั่วขณะนั้น เรี่ยวแรงก็กลับมา ความเหนื่อยล้ามลายไปสิ้น เงือกสาวมองนางด้วยดวงตาสีน้ำทะเลอย่างมีคำถาม แต่มาเรียยังคงยืนยันหนักแน่น ดวงหน้างดงามเอียงคอส่งยิ้มบางๆ ก่อนดำลงไป พวกเจ้าคิดว่ามาเรียอาจถูกหลอกงั้นหรือ เฮอะ! เจ้าจะให้นางกลับไปคร่ำครวญเหมือนเดิมโดยไม่ทำอะไรหรือ ไม่มีทาง ถ้านางต้องรอคอยเขาอย่างทุกข์ตรมเช่นเดิมแล้ว สู้ไปตามหาเขาด้วยตัวเองจะดีกว่า แน่อยู่แล้ว มาเรียต้องดำน้ำเป็นสิ นางโตมากับทะเลเหมือนพวกเจ้า นางสูดหายใจแล้วดำลงไป
ท่ามกลางทะเลสีดำ มาเรียได้ยินเพียงบทเพลงของนางเงือก และได้เห็นเพียงเกล็ดหางสีไข่มุกรางๆใต้น้ำเท่านั้น มีหลายครั้งที่ปอดของนางร่ำร้องขออากาศ หัวนางหมุนติ้วและแข้งขาก็ผ่อนช้าไร้แรง แต่มาเรียก็อดทน มีอยู่สองครั้งที่นางทนไม่ไหว ต้องถีบตัวเองขึ้นจากน้ำฮุบเอาอากาศเข้าไปเพื่อให้ไปต่อได้ นางเกือบคลาดกับเงือกแล้ว ได้แต่ตะลีตะลานว่ายเหนือน้ำตามไปแม้จะอ่อนล้า แต่เสียงหวานใสนั้นนำทางนาง เมื่อมาเรียดำกลับลงไปอีกครั้ง นางตั้งมั่นว่าจะไม่หายใจเหนือน้ำอีกแล้วเพื่อตามนางเงือกให้ทัน
ยังไม่ตายหรอก ก่อนมาเรียจะขาดใจ เงือกสาวพุ่งทะยานขึ้น มาเรียตามไป ขาแทบไม่มีแรงปีนขึ้นฝั่งเตี้ยๆ ได้แต่ใช้สองมือตะกายขึ้นมา เมื่อลำตัวพ้นน้ำมาเรียก็นอนพังพาบลงบนหาดแคบๆ ชื้นๆ หอบหายใจถี่รัว ในสติพร่าเลือนของนาง หญิงสาวยังคงกวาดตาไปรอบๆ ที่นี่ไม่ใช่หาดแต่เป็นโขดหินแบนๆรายล้อมด้วยผนังหินสูงท่วมหัว ตรงเพดานมีรูโหว่เหมือนช่องหน้าต่างเล็กๆให้แสงจันทร์ลอดเข้ามา มาเรียไม่ได้ขึ้นฝั่งที่ไหน นางโผล่ขึ้นมาในถ้ำใต้น้ำไร้ชีวิต นอกจากเสียงคลื่นทะเลแล้ว นางไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แสงจันทร์ก็สลัวมากจนนางแทบมองไม่เห็นมือตัวเอง นางพยายามชันตัวลุกขึ้นนั่ง ร้องเรียกชื่อยอดดวงใจของนาง แต่มีเพียงเสียงของตัวเองสะท้อนกลับมา มาเรียถอดถอนใจด้วยความเจ็บร้าว เขาอยู่ที่ไหนกัน น้ำตาหลั่งรินเงียบงันเพราะอ่อนล้าเกินคร่ำครวญ นางหันหาเงือกสาว หวังได้ยินอะไรก็ได้ ทว่าทุกอย่างพลันนิ่งสนิท มีเพียงเสียงคลื่นว่างเปล่าโอบกอด
เงือกสาวเกาะโขดหินหน้าปากถ้ำแคบ ลำตัวของนางยังอยู่ในน้ำ ครีบหางสะบัดช้าๆ ส่งเสียงจ๋อมแจ๋มเป็นจังหวะ นางจ้องมาเรียไม่วางตา มาเรียกสบตาสีน้ำทะเลของนาง กระทั่งตอนนี้นางเงือกไม่เอ่ยคำใด สิ่งเดียวที่ออกจากปากนางคือบทเพลงแห่งการคืนรัก เงือกสาวค่อยๆ ว่ายเข้าไปทางปากถ้ำ ยังคงจ้องมาเรียราวเชื้อเชิญ นางมองเข้าไปในถ้ำมืดมิด หากจะไปหากะลาสีหนุ่มของนางคงต้องลอดถ้ำนี้ไป และราวกับโดนสะกด มาเรียค่อยๆเลื่อนตัวกลับลงน้ำ นางยินดีว่ายข้ามทุกมหาสมุทร ลอดถ้ำทุกแห่งหน เพียงได้พบเขา
มาเรียว่ายเข้าไปในถ้ำ ในช่วงแรกมาเรียยังพอคลานเข้าไปได้โดยไม่ต้องดำน้ำ แต่แล้วโขดหินก็ค่อยๆ บีบอัดเข้ามา เท้าและแขนของนางต้องคอยผลักหินใต้น้ำเพื่อดันตัวไปข้างหน้า นางเงือกดูเหมือนจะว่ายผ่านถ้ำใต้น้ำไปได้อย่างคล่องแคล่ว ข้าไม่รู้หรอกว่าเพราะอะไร ภายในถ้ำค่อยๆ แคบลง แคบลงจนนั่งไม่ได้ มาเรียเริ่มหวาดกลัว แต่นางยังคงแทรกตัวเข้าไปในรอยแยกของถ้ำเพื่อตามเสียงเพลงไป นางรู้สึกราวกับอยู่ในท้องของสัตว์ร้ายใต้ทะเลที่กำลังกลืนร่างนางเข้าไป ถ้ำแคบลงจนมาเรียทำได้แค่นอนหงาย ใช้มือและเท้ายันผนังหินเตี้ยๆเพื่อขยับไปข้างหน้า หินขรุขระบาดมือเท้านางราวฟันคมนับร้อยซี่ เมื่อนางเบือนหน้าฝั่งหนึ่งหลบผนังหินด้านบน แต่หินคมใต้น้ำครูดบาดใบหน้าอีกฝั่งหนึ่งของนางจนเลือดไหลซิบ กระนั้น ในโมงยามความสิ้นหวัง สิ่งเดียวที่ปลอบประโลมนางคือบทเพลงของนางเงือก อีกนิด อีกนิด หินจะบาดมือเท้าอีกกี่แผล แต่มาเรียจะได้พบเขา นางอาจไม่ได้งดงามเหมือนดอกไม้แรกแย้ม แต่กะลาสีหนุ่มของนางจะเข้าใจ เขาจะโผกอดนาง พร่ำคำรักเหมือนที่เคยทำ
แต่แล้ว มาเรียเริ่มขยับตัวได้มากขึ้น แม้จะแสบเค็มเกลือไปทั้งร่าง แต่ใบหน้านางสัมผัสสายลมสดชื่น อีกไม่ไกลคงถึงปากถ้ำ ไม่นาน นางเห็นท้องฟ้าสีน้ำเงินของรุ่งสาง นางคลานเชื่องช้าออกมาจากถ้ำ เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยขีดข่วน รู้สึกราวเกิดใหม่ หญิงสาวสูดกลิ่นยามเช้าเข้าไปเต็มปอด มั่นใจว่านางจะได้พบกะลาสีของนาง นั่นไง ชายหาด! มาเรียรีบพุ่งตัวไปแต่เงือกสาวตนนั้นคว้าแขนนาง ส่ายหน้าช้าๆ แม้จะสงสัยแต่ความตื่นเต้นกำลังครอบงำนาง เงือกสาวยังไม่เอ่ยคำ
แสงตะวันเหมือนเวลานี้เลย สีส้มของอรุณผสมกับสีน้ำเงินของรัตติกาล จะรุ่งสางหรือสนธยาก็ไม่ต่างกัน มาเรียเฝ้ารอเมื่อแสงสีส้มต้องหาดทราย แล้วนางก็เห็น….ชายหนุ่มผมดำขลับร่างสูงโปร่งกำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่ง นั่นกะลาสีหนุ่มของนาง เขารู้ว่านางจะมา มาเรียเริ่มหัวเราะ พร่ำขอบคุณและกอดร่างเย็นเฉียบของนางเงือกไม่รู้กี่พันรอบ เขาก้มๆ เงยๆ เก็บอะไรบางอย่างอยู่ริมหาด อาจเป็นเปลือกหอยก็ได้ เขาจะร้อยสร้อยเปลือกหอยอีกเส้นหรือ หัวใจมาเรียพองโต เขายังเป็นเช่นเดิม นางค่อยๆขยับตัวจะว่ายไปหาเขา แต่เงือกสาวยังยึดข้อมือมาเรียไว้และส่ายหน้าช้าๆ มาเรียมองไปที่ชายหาด รอยยิ้มกว้างค่อยๆร่วงหล่น
ด้านหลังกะลาสีหนุ่ม หญิงสาวร่างสูงกำลังเดินช้าๆมาหาเขา ผมสีน้ำตาลและชุดกระโปรงของนางพลิ้วไหวในสายลม นางสวมกอดชายหนุ่มที่กำลังขะมักเขม้นร้อยสร้อยคอ เขายิ้มกว้าง หันไปโอบนาง เหมือนที่เคยโอบมาเรีย สวมสร้อยข้อมือเปลือกหอยให้นาง เหมือนที่เคยสวมให้มาเรีย มาเรียได้พบเขาแล้วในที่สุด ท้องทะเลไม่ได้กลืนกินเขา งานหนักไม่ได้กีดกันเขา
ผวาอะไรกัน เสียงกรีดร้องรวดร้าวแหลกสลายแบบนี้แหละที่มาเรียทำ มีเพียงหัวใจไร้รักตะหากที่พรากคนเราออกจากกัน
“พวกเจ้าทุกคน! กลับบ้านเดี๋ยวนี้!” เสียงแหลมสูงของหญิงสวมผ้ากันเปื้อนทำเด็กๆสะดุ้งโหยง นางถกแขนเสื้อแล้วรวบชายกระโปรงขึ้น ไล่ต้อนเด็กๆที่หวาดกลัวให้ลุกขึ้น “ไปเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นข้าจะฟาดพวกเจ้า” นางรุนหลังเด็กๆให้รีบไป มองหญิงชราด้วยดวงตารังเกียจแล้วดึงเด็กหญิงคนหนึ่งมาไว้ข้างตัว
“แม่ๆ นางเงือกมีจริงใช่มั้ย” เด็กสาวตัวน้อยถามเสียงใส
“โอ๊ย นิทานหลอกเด็ก” ผู้เป็นแม่ตอบ “อย่าไปฟังยายแก่นั่น มันเป็นบ้าไปเพราะถูกผู้ชายทิ้งน่ะสิ”
|