ข้าวโพดคั่วรสขมขื่น
โดย พิมไม่มีการันต์
เมื่อย่างเท้าก้าวเข้ามาถึงหน้าโรงหนัง ข้าวโพดคั่วก็พร้อมใจกันส่งกลิ่นหอมยั่วยวน ต้อนรับการมาเยือนโรงหนังของฉันเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วไม่รู้ ตั้งแต่เริ่มศึกษาดูใจจนตกลงคบกับกันต์ กิจกรรมส่วนใหญ่ของเราคือการดูหนังในโรง ณ ห้างสรรพสินค้าใกล้บ้าน
กันต์เดินนำลิ่ว ๆ ตรงดิ่งไปยังตู้ขายตั๋วหนัง ฉันผู้เดินช้ากว่าจึงได้แต่มองหลังร่างสูงใหญ่เบียดบังจอจนมิด เมื่อฉันเดินไปถึง เขาหยิบตั๋วหนังสองใบออกจากช่อง ก่อนจะยื่นใบหนึ่งส่งมาให้
“เธอ ๆ” ฉันสะกิดเขา เมื่อเห็นว่าชื่อเรื่องบนตั๋วหนังไม่ใช่เรื่องที่ตกลงกันไว้ “ไหนว่ารอบนี้จะดูหนังที่เค้าอยากดูบ้าง ทำไมเป็นเรื่องนี้ล่ะ”
“เค้ารอดูหนังภาคต่อเรื่องนี้มานานละนะ ดูก่อนจะคบเธออีก เรื่องนั้นค่อยดูคราวหน้าละกัน มันไม่ออกโรงเร็ว ๆ นี้หรอก”
ฉันส่ายหัว ไม่ว่าจะดูหนังครั้งไหน กันต์จะเลือกเรื่องที่ตัวเองชอบเสมอ ส่วนฉันแม้ไม่ได้โปรดปรานการดูหนังเท่าไรนัก หากฉันก็มีหนังในใจที่อยากชวนเขามานั่งดูด้วยกัน แต่ก็ลงเอยด้วยสารพัดข้ออ้างจนไม่มีโอกาสได้ดู คราวนี้หนักยิ่งกว่า เพราะกันต์เล่นมัดมือชกด้วยการซื้อตั๋วหนังโดยไม่รอฉัน
“ก็ได้ ๆ” ฉันตัดบท เอาตั๋วหนังยัดใส่รวมกับกระเป๋ามือถือ “ปะ ไปซื้อป๊อปคอร์นกัน”
“ไม่อะ” เขาปฏิเสธพลางหยิบธนบัตรสีม่วงส่งให้ “อยากกินอะไรซื้อเลย เค้าเลี้ยง”
ฉันเดินแยกไปต่อแถวตรงเคาน์เตอร์ขายข้าวโพดคั่วเจ้าโปรด จนกระทั่งถึงคิวของฉัน พนักงานขายยิ้มกล่าวคำทักทาย ฉันเหลือบลงมองข้าวโพดคั่วในตู้กระจกใส ก่อนจะเลือกรสคาราเมลพร้อมน้ำอัดลมแก้วยักษ์ รู้สึกเหมือนน้ำตาลในเลือดดิ่งลงเหวจนโหยหาความหวานให้ชีวิต
หลังจากจ่ายเงินเสร็จ ฉันรีบหยิบชิ้นเคลือบคาราเมลหย่อนใส่ปาก หมายจะลิ้มรสอันหอมหวาน แต่เมื่อข้าวโพดคั่วเข้าไปอยู่ในปาก รสสัมผัสที่ได้กลับกลายเป็นขม
ฉันกลั้นใจกระเดือกชิ้นแรกลงคอ ปลอบใจตัวเองว่าคาราเมลคือน้ำตาลไหม้ อาจมีรสขมปนมาบ้าง จึงลองหยิบชิ้นต่อไป ๆ ขึ้นมากิน แต่ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม
“ลองกินป๊อปคอร์นนี่หน่อยสิ” ฉันยื่นถุงข้าวโพดคั่วตรงหน้าเขา “เธอว่ามันขมมั้ยอะ หรือเค้าคิดไปเอง”
“ไม่เห็นจะขมเลย เธอคิดไปเองหรือเปล่า”
ฉันนิ่งไป กันต์มักจะพูดขัดทำนองนี้เวลาฉันแสดงความคิดเห็น อย่างตอนฉันเตือนเรื่องขับรถเร็วจนเกือบจะชนคันข้างหน้าอยู่บ่อยครั้ง คนรักของฉันก็สวนกลับนิ่ม ๆ เพียงว่า เบรกอยู่น่า เธอก็เวอร์เกิน ใคร ๆ เขาก็ขับรถความเร็วประมาณนี้ เธอขับรถไม่เป็นจะรู้อะไร แล้วลงเอยว่าฉันเป็นฝ่ายยอมแพ้ทุกครั้ง
เรานั่งรออยู่ตรงโถงสักพักโดยไม่ได้สนทนาใด ๆ จนมาถึงรอบหนังที่จะดูแล้ว จึงพากันลุกไปต่อแถวทางขึ้น แล้วฉันก็สังเกตเห็นตอนที่พนักงานฉีกตั๋วว่าเลขที่นั่งของเขาห่างจากฉันไปสองที่นั่ง
“เธอ ๆ” ฉันถือถุงข้าวโพดคั่วกับแก้วน้ำอัดลมตามมาติด ๆ “ทำไมจองที่นั่งแยกอะ ห่างกันตั้งสองที่”
“เอ่อ มันไม่มีที่นั่งติดกันน่ะ เหลือแบบที่ว่าง ๆ นั่งติดกับคนอื่น”
“แล้วทำไมไม่ถามกันก่อนล่ะ ไม่มีรอบอื่นละหรอ” ฉันทักท้วง ต้องนั่งติดกับใครก็ไม่รู้ทั้งสองข้าง ทนเบิกตาดูภาพเคลื่อนไหวบนจอโดยปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ได้ สามชั่วโมงก็ทรมานนานเหมือนสามปี
“เอาน่า รอบไหนมันก็เต็มหมดแล้วอะ เหลือแต่ที่นั่งแยก ๆ หนังฟอร์มยักษ์ภาคต่อ ใคร ๆ ก็อยากดูทั้งนั้น ไม่ได้นั่งด้วยกันแป๊บเดียวจะเป็นไรไป” กันต์เริ่มแสดงความไม่พอใจ สุดท้ายฉันก็เป็นฝ่ายเงียบเสียเอง
ที่นั่งของเราอยู่โซนด้านซ้ายแถวกลาง ๆ ฉันหย่อนก้นลงนั่งเก้าอี้ ซ้ายมือของฉันเป็นสาววัยรุ่นกับคู่รัก นั่งคุยกระหนุงกระหนิงไม่สนโลก เหมือนสมัยฉันคบกับกันต์ใหม่ ๆ ไม่มีผิด ส่วนขวามืออีกสองที่ยังว่าง คาดว่าคงรอให้หนังฉายแล้วค่อยเข้าโรงเป็นแน่แท้
ถัดจากสองที่ว่างเปล่าก็คือกันต์ คนรักของฉันที่คบกันมานานสามปี บัดนี้ถูกมือถือดูดวิญญาณเหลือแต่กายหยาบนั่งเอนร่างพิงเก้าอี้ ไม่แม้แต่จะหันหน้ามายิ้มหรือพูดคุย ทั้งที่ตอนนี้ยังไม่มีคนนั่งคั่นกลาง ฉันดูดน้ำดำซ่าบาดลึกถึงลำคอ หยิบข้าวโพดคั่วรสขมขื่นขึ้นมากิน นั่งทบทวนอดีตฆ่าเวลารอหนังฉาย
หลังจากตัดสินใจคบกัน กันต์ก็เริ่มหันด้านไหม้เกรียมในชีวิตให้ฉันเห็น ทั้งคำพูดบั่นทอนและด้อยค่าให้ฉันรู้สึกแย่กับตัวเอง เขาบอกว่าเขาพร้อมมอบความรักให้ฉันเต็มที่ ภายใต้เงื่อนไขว่าฉันต้องทำให้เขารู้สึกรักก่อน ตอนฉันไปเยี่ยมบ้านกันต์ ฉันสัมผัสได้ว่าเขาซึมซัมวิธีคิดแบบนี้มาจากพ่อผู้อยู่เหนือแม่ทุกอย่าง
ในวันนั้น หลังมื้อเย็นแสนอร่อยฝีมือแม่ของกันต์ ฉันอาสาช่วยเก็บจานชามบนโต๊ะจะเข้าไปล้างในครัว แต่พ่อของกันต์ก็ห้ามไว้
“ไม่ต้องหรอกหนู หนูเป็นแขก จานนี่ปล่อยไว้ เดี๋ยวให้แม่เค้าเอาไปล้าง” ก่อนจะหันไปตำหนิภรรยาตัวเองเสียงดังต่อหน้าฉัน “เธอนี่ชักช้าจริง มันหน้าที่เธอไม่ใช่หรือไง ปล่อยให้แขกล้างจาน รู้ถึงไหนอายถึงนั่น”
หญิงวัยกลางคนว่าที่แม่สามีในอนาคตไม่มีปากเสียงใด ๆ ยกจานชามหลายใบซ้อนกันหายเข้าไปในครัว ส่วนกันต์ก็พาฉันไปนั่งเล่นในห้องรับแขกโดยไม่สนใจพ่อแม่ตัวเองเลยสักนิด
เขาเคยบอกฉันว่า พ่อของเขาคือผู้ชายในอุดมคติที่เขาอยากตามรอย ส่วนแม่ของเขาคือผู้หญิงในฝันที่เขาเสาะแสวงหาทั้งชีวิต
“ถ้าเค้าได้รักใครแล้ว จะไม่มีวันเปลี่ยนใจ ไม่บอกเลิกก่อน ไม่อยากให้คนที่รักต้องเสียใจ เค้ายอมเป็นฝ่ายถูกบอกเลิกเอง ถ้ารู้สึกว่าความสัมพันธ์ของเรามันไม่โอเค เธอบอกเลิกเค้าได้นะ”
แต่เมื่อฉันตัดสินใจจะบอกเลิกเพราะทนพิษคำพูดและการกระทำของกันต์ไม่ไหว เขากลับรั้งฉันไว้ด้วยประโยคที่ว่า
“เธอจะไปจากเค้าจริง ๆ ใช่มั้ย ไม่เสียดายเวลาดี ๆ ของเราเลยหรอ เค้าเข้าใจ ไม่ต้องห่วงเค้านะ อย่างมากก็แค่จมอยู่กับตัวเอง เสียใจน้ำตาไหลบ้าง เรื่องธรรมดาของคนที่รักหมดใจ”
กันต์จะตัดพ้ออย่างนี้ ก่อนจะส่งรูปคู่ช่วงเวลาแห่งความสุขมาตอกย้ำให้ฉันใจอ่อน กลับมาหาเขาอีกครั้ง และอีกครั้ง... แล้วฉันก็ต้องทนเห็นด้านไหม้เกรียมแบบนี้เรื่อยไป
โฆษณาบนจอดับวูบลงชั่วขณะ ก่อนแทนที่ด้วยภาพโปรดยืนทำความเคารพ ฉันเห็นกันต์เก็บมือถือแล้วยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนฉันนั้นก็ยังคงนั่งนิ่ง
“ยืนสิ” เขาหันมาพูดกับฉันหลังจากนั่งเงียบตั้งแต่เข้าโรง “ต้องให้บอกทุกครั้งเลยหรือไง”
ฉันมองหน้าเขานิ่ง ๆ “ไม่อะ ไม่เห็นมีใครยืนสักคน อยากยืนก็ยืนคนเดียว อย่าบังคับ”
ดูเขาทำท่าชะงักแล้วกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ไม่มีใครลุกขึ้นยืนสักคน ทุกครั้งที่เข้ามาดูหนัง เขาจะดึงฉันให้ลุกขึ้นยืนโดยไม่สนใจว่าฉันเต็มใจหรือไม่ วันนี้ฉันถือโอกาสพูดให้กระจ่างเสียที พลันเขาก็นั่งลงทั้งที่เพลงยังไม่จบ
เจ้าของเก้าอี้ฝั่งขวามือเพิ่งมาถึง เขานั่งลงตรงเก้าอี้ซ้ายมือของกันต์ โดยไม่มีใครตามมาด้วย นั่นแปลว่า ที่นั่งข้างฉันว่างอยู่จนเลือกสองที่นั่งติดกันได้ ความสัมพันธ์ของฉันมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร จุดที่เขาจงใจผลักไสให้ฉันไปนั่งไกล ๆ แล้วก็อ้างว่าไม่มีที่นั่งติดกัน
แสงไฟในโรงหนังเริ่มหรี่ลงจนมืด จอเบื้องหน้าส่องแสงวูบวาบ ฉันนั่งดูมาจนถึงฉากที่ครอบครัวตัวละครเอกหนีฝูงซอมบี้มาหลบอยู่ในบ้านร้างจนอาหารหมด ครั้นจะออกไปหาเสบียงก็ฝ่าวงล้อมซอมบี้ไปไม่ได้
ในวินาทีแห่งความเป็นความตาย สามีขุดอดีตถึงการตัดสินใจผิดพลาดของภรรยา เธอเลือกจะมาอยู่เมืองนี้เพียงเพราะเห็นแต่เปลือกนอกอันสวยงาม เธอโต้กลับทันทีว่า เขาก็เห็นด้วยกับเธอมิใช่หรือ ใครจะรู้ว่าอีกสิบปีต่อมา สวรรค์จะกลายเป็นนรก ตอนที่มีข่าวซอมบี้กำลังจะบุกเมือง เขาเองต่างหากที่มัวแต่รอความช่วยเหลือ แทนที่จะขวนขวายหาทางหลบหนีไปเสียแต่เนิ่น ๆ
นี่มันหนังไซไฟหรือหนังดราม่ากันแน่เนี่ย ยามคับขันปลุกสัญชาตญาณดิบของคนให้พุ่งพล่าน ฉันดูเพลิน ๆ พลางเคี้ยวข้าวโพดคั่วไปด้วย ความตื่นเต้นเร้าใจของหนังกลบความขมจนแทบไม่รู้รส
สามชั่วโมงไวเหมือนสามสิบนาที ตอนนี้หนังจบแล้ว ไม่มีใครสักคนเข้ามานั่งตรงขวามือของฉัน แสงไฟในโรงทยอยเปิดไล่ไปแต่ละจุด
ฉันหอบเอาทั้งแก้วน้ำอัดลมและถุงข้าวโพดคั่วออกมาจากโรงหนัง แทนการทิ้งมันไว้ในโรงเหมือนทุกครั้งที่กันต์บอกให้ทำ รู้สึกดวงตาแจ่มใสเห็นทุกอย่างชัดเจน
กันต์เดินตามฉันออกจากโรงหนังด้วยสีหน้าชื่นมื่น ผิดกับตอนก่อนเข้าโรงหนังลิบลับ จู่ ๆ เขาก็เดินไปส่องที่โรงข้างเคียง ชี้ให้ฉันดูโปสเตอร์หนังหน้าทางเข้า
“เธอ ๆ โรงนี้กำลังฉายเรื่องที่เธออยากดูพอดี เราแอบเข้าไปดูกันปะ ไม่มีใครรู้หรอก”
นึกถึงตอนเขาเล่าอย่างหน้าไม่อายว่า ก่อนคบกับฉันก็ทำแบบนี้บ่อย ๆ ดูเรื่องนั้นต่อเรื่องนี้โดยจ่ายราคาเดียว ไม่มีพนักงานคนไหนมานั่งดูตั๋วจากลูกค้าที่เข้าโรงหลังจากหนังฉายสักพัก เขาพยายามทำให้ฉันเชื่อว่าใคร ๆ ก็ทำกัน แต่ตอนนี้จิตใต้สำนึกของฉันย้ำเตือนว่า ไม่ควรทำด้วยประการทั้งปวง
“กันต์” ฉันเรียกชื่อเขาด้วยสีหน้าจริงจัง “เมื่อกี้ที่นั่งข้างเค้าว่าง มีคนมาแค่คนเดียว ก็แปลว่ามันมีที่ว่างตรงเค้ากับข้างเค้า สองที่ติดกันถูกมั้ย”
“เฮ้ย อย่าหาเรื่องกันน่า” กันต์ทำท่าหงุดหงิดเหมือนเช่นทุกครั้งที่ฉันพยายามซักไซ้หาความจริง “ก็ตอนจอง มันมีว่างแค่นั้นจริง ๆ”
“ไปถามพนักงานขายตั๋วดูมั้ย ว่าตรงนั้นมีคนจองจริงหรือเปล่า”
ฉันยกมือกอดอกแล้วทำท่าจะเดินไป คราวนี้ฉันจะไม่ยอมให้เขาโมโหกลบเกลื่อนความผิดอีกต่อไป และได้ผล ฉันเห็นความหวาดหวั่นในแววตาของกันต์เล็กน้อย
“อะ ๆ ก็ได้ คืองี้...เค้าจองแยกเองแหละ เมื่อกี้งอนเธออยู่ ก็บอกไปแล้วว่าเค้าดูบอลดึกไปหน่อยก็เลยสลบยาว เค้าอุตส่าห์รีบมา ก็มาเจอเธอโวยใส่รัว ๆ เฮ้อ วันหลังไม่นัดเวลาแล้วดีกว่า จะได้ไม่มีปัญหาแบบนี้”
คำสารภาพปนแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ พรั่งพรูจากปากของคน...รัก เขาปล่อยให้ฉันนั่งรอถึงสามชั่วโมงเต็มกว่าโดยไม่ขอโทษสักคำ พอฉันต่อว่าก็แก้เกมด้วยการโมโหและนิ่งเงียบมาตลอดทาง ฉันหวนนึกถึงหนังไซไฟกรุ่นกลิ่นดราม่า ข้าวโพดคั่วเหลือเพียงติดก้นถุง ทำให้ฉันคิดอะไรบางอย่างได้
เราออกจากโซนโรงหนังอย่างเงียบ ๆ กลิ่นหอมของข้าวโพดคั่วหน้าโรงหนังจางลงทีละน้อย จนถูกกลบด้วยสารพัดกลิ่นจากร้านรวงรอบตัว คลอเสียงของกันต์ไล่ตามหลังมาไม่ยอมหยุด
“เธอ เค้าหายงอนแล้วนะ เธอจะงอนเค้าทำไมละเนี่ย เรามาดูหนังกันกี่ทีแล้ว อย่าให้เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มาทำลายความสุขของเราสิ”
ฉันชักเท้าที่กำลังจะแตะบันไดเลื่อนออกทันที แล้วหมุนตัวกลับไปหาบริเวณที่พอจะยืนคุยกันได้
“กันต์ อยากรู้มั้ย ทำไมเค้ากินป๊อปคอร์นแล้วขม”
กันต์ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะร่วน “โอ๊ย ก็นึกว่าอะไร มันขมนัก ก็เอาไปคืนเคลมเงินร้านสิ จะมาซีเรียสกับมันทำไม”
“ไม่ใช่แบบนั้น เค้าหมายถึง...ความรักของเรามันขมขื่นไปน่ะ โคตรจะท็อกซิก สามปีที่คบกัน เธอเรียกร้องจะเอาแต่ได้อยู่ฝ่ายเดียว เค้าเหนื่อยแล้ว เค้าไม่อยากเป็นแบบแม่เธอ” ฉันระบายความในใจ อกข้างซ้ายเต้นตุบ ๆ เป็นจังหวะ “เราจบกันแค่นี้เถอะกันต์”
“เฮ้ย อะไรของเธอเนี่ย อยู่ดี ๆ ก็มาบอกเลิก” เขาพูดเสียงดังจนคนเดินห้างแถวนั้นหันมามอง “ไม่เสียดายเวลาที่เรามีร่วมกันหรอ”
“เสียดายเวลาชีวิตที่เหลือจากนี้มากกว่าน่ะ...” ฉันพูดเสียงดังยิ่งกว่า
“โอเค...ถ้าเธอจะเลิกกับเค้า ก็ได้ เค้าก็แค่นอนเสียใจ ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องห่วง...เค้าจะ...”
ฉันไม่รอให้เขาพูดจบ ใครจะมองว่าผู้ชายคนนี้น่าสงสารก็ช่าง พอกันที ฉันโยนถุงข้าวโพดคั่วพร้อมกับแก้วน้ำอัดลมทิ้งลงถังขยะ ก่อนก้าวเดินลงบันไดเลื่อนโดยไม่หันกลับไปมอง ไม่แปลกใจสักนิดถ้าเขาไม่ตามลงมา อีโก้ของกันต์มันสูงค้ำคอเกินกว่าจะง้อใคร
มือถือสั่นถี่ ๆ ข้อความนับสิบถูกส่งมารัว ๆ ฉันไม่แม้แต่จะเข้าไปอ่าน ทำเพียงแค่กดบล็อกอย่างรวดเร็ว แล้วเรียกแกร็บเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน
หลังจากจุดเปลี่ยนในวันนั้น กันต์ยังคงตามง้อฉันประมาณสัปดาห์ได้ แต่ฉันใจแข็งไม่กลับไปแล้ว ในที่สุด เขาก็เป็นฝ่ายล่าถอยไป มีพรายกระซิบว่าเจอเขาที่โรงหนัง กำลังปลูกต้นรักกับสาวคนใหม่ บางทีมือถือดูดวิญญาณเขาในช่วงหลังคงเป็นสาวคนนี้ก็ได้นะ
ฉันได้แต่ภาวนาให้เขาไม่แสดงด้านไหม้เกรียมออกมาให้คนรักใหม่เห็น แต่...ไม่มีทาง มันฝังรากลึกอยู่ทุกอณูขุมขนแล้ว
เวลาผ่านไปอีกหลายสัปดาห์ ฉันฉลองอิสรภาพของตัวเองด้วยการนอนดูซีรีส์อยู่กับห้อง หรี่ไฟลงเล็กน้อยให้มืดสลัวให้ได้บรรยากาศเหมือนในโรงหนัง เอนร่างลงบนโซฟา หยิบข้าวโพดคั่วรสคาราเมลเดลิเวอรี่จากโรงหนังเจ้าเก่าเจ้าเดิมใส่ปาก หลังจากเข็ดขยาดเสียจนไม่กล้าซื้อมากิน แต่วันนี้ฉันจะลองเปิดใจอีกสักครั้ง
ฉันถอนใจอย่างโล่งอก เมื่อลิ้นสัมผัสถึงรสหอมหวานของน้ำตาลไหม้อันคุ้นเคย ในที่สุด รสชาติแห่งความสุขก็กลับคืนหาฉันอีกครั้ง
|