จิ๊กซอว์ดวงจันทร์
โดย ปรัชวิชญ์ บุญยะวันตัง
1
คืนนั้นจันทร์เต็มดวง ผมไม่ได้อยู่บ้าน ผมกางเต็นท์นอนอยู่ที่เชียงดาว ระหว่างปล่อยโคมลอยคนเดียวที่ริมลำธารในหมู่บ้าน ข่าวเศร้าซึ่งไม่ใช่ข่าวโคมลอยก็เดินทางฉับไวมาทางโทรศัพท์
มาพร้อมกับเสียงพลุและแสงสว่างวาบของดอกไม้ไฟในเทศกาลประเพณียี่เป็ง ภาพนั้นงดงามแต่จางหายในพริบตา ชีวิตของพลุและดอกไม้ไฟช่างแสนสั้น ไม่ต่างจากชีวิตเพื่อนผม ไม่รู้ว่าครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่คนรู้จักเสียชีวิตเพราะโรคซึมเศร้า และผมไม่นึกเลยว่าจะเกิดกับเพื่อนรักของผม เพื่อนสมัยมัธยมที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง...
หมิวเป็นเพื่อนผู้หญิงคนแรกในชีวิตมัธยมของผม เรานั่งใกล้กันเพราะผมเกเร ครูเลยจับให้นั่งใกล้หัวหน้าห้อง หมิวเป็นสาวหมวย ใบหน้ากลมขาวคล้ายซาลาเปา หากแต่ดวงตาสีน้ำตาลเหมือนลูกเกาลัด ผมม้าที่ปรกหน้าผากคล้ายแถบบาร์โค้ด ริมฝีปากเรียวสวยสีแดงอ่อนด้วยน้ำยาอุทัยทิพย์ หมิวเป็นคนอัธยาศัยดีและมีน้ำใจ ตลกเฮฮา เป็นนักกิจกรรมตัวยง ไม่แปลกที่หนุ่มในโรงเรียนแวะมาขายขนมจีบไม่ขาดสาย
แต่เธอบอกผมว่าเธอไม่ชอบกิน เซเว่นก็มีขาย ถ้าอยากกินเดี๋ยวเธอซื้อกินเอง หลังบทสนทนาเธอจะมีรอยยิ้มให้เสมอ แต่ผมเพิ่งมารู้ภายหลัง ว่าภายใต้ความร่าเริงนั้น มีบางสิ่งบางอย่างที่กำลังกัดกินเธออยู่...
หมิวได้ชื่อว่าเป็นนักสะสม ตลอดหกปีที่เป็นเพื่อนกัน เธอสะสมทุกอย่าง สะสมแสตมป์ สะสมบัตรเติมเงิน สะสมของแถมจากขนมขบเคี้ยว พับดาวใส่ขวดโหลโถยาดองที่พ่อเธอจะใช้ดองเหล้าก็เคยทำมาแล้ว ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงสะสมพวกเศษซากเหล่านี้ เศษซากที่กองรวมกันแล้วเหมือนขยะสิ้นดี ผมไม่เห็นว่ามันจะสวยงามหรือน่าเก็บไว้
ฤดูฝนเทอมหนึ่งของช่วงเวลามัธยมสี่ ในคาบว่างคาบสุดท้ายก่อนเลิกเรียน หมิวสอนให้ผมต่อจิ๊กซอว์ เป็นแผ่นกระดาษแข็ง ขนาดเท่า ๆ กับกระเป๋านักเรียนแบบถือ หมิววางแผ่นจิ๊กซอว์ลงบนกระเป๋านักเขียนของเธออย่างเบามือ เทชิ้นส่วนกองรวมกัน ส่วนแผ่นกระดาษแข็งที่ว่างเปล่านั้นเป็นสีน้ำตาล รอให้หมิวต่อจิ๊กซอว์ระบายเรื่องราวลงไป ดั่งจิตรกรถือพู่กันกำลังวาดภาพ ก่อนหมิวจะชวนผมต่อด้วยกัน ผมถามเธอว่าจิ๊กซอว์เป็นรูปอะไร ขอดูได้ไหม?
“ถ้ารู้แต่แรกว่าจิ๊กซอว์เป็นรูปอะไร เราจะต่อไปทำไม ต่อด้วยกันสิจะได้รู้ว่าเป็นรูปอะไร”
“ถ้าหากต่อเสร็จแล้วไม่ใช่ภาพที่จินตนาการไว้ หมิวจะเสียใจไหม?” ผมนั่งเก้าอี้ตรงข้ามเธอ
“ชีวิตเราไม่ได้สมหวังทุกเรื่องหรอกนะ ถึงแม้ภาพที่ออกมาไม่ใช่ภาพที่คิดไว้ แต่เราได้พยายามแล้ว” หมิวโกยชิ้นส่วนจิ๊กซอว์มาตรงหน้าผม บอกผมให้ช่วยกันต่อ ช่วยกันจัดการเศษซากชิ้นส่วนตรงหน้า ให้กลายเป็นภาพวาดที่งดงาม ภาพที่เราสองคนช่วยกันวาดมันออกมา
ผมค้นพบว่าการต่อจิ๊กซอว์ช่างยากสิ้นดี เสียเวลาและดูไร้สาระ ในขณะที่ช่วยหมิวต่อ ผมก็บ่นไม่หยุดเหมือนหมีกินผึ้ง หมิวตีมือผมหลายรอบ เพราะชิ้นส่วนบางอันเข้ากันไม่ได้ แต่ผมก็ดันทุรังที่จะยัดมันเข้าไป จนชิ้นส่วนจิ๊กซอว์บางอันบิดเบี้ยวเกือบฉีกขาด เธอบอกผมให้ใจเย็น ๆ
“ต่อจิ๊กซอว์ก็เหมือนการทำอะไรสักอย่างในชีวิตนั้นแหละ มีภาพที่คิดไว้ มีการลงมือทำ มีปัญหาและอุปสรรค”
“เหมือนกับการก่อกองทรายที่ทะเลไหม ก่อจากฐานไปสู่ยอด ก่อปราสาทด้วยทรายและน้ำทะเลสีบลูฮาวายนั่นน่ะ” ผมถามหมิวแล้วยิ้ม
“พูดเหมือนกับว่าแถวนี้มีทะเลสวย ๆ ไม่มีหรอกสีบลูฮาวายน่ะ เท่าที่เห็นตามชายหาดมีแต่เศษขยะและซากตะไคร่น้ำเขียวเต็มหาด เห็นแล้วขมคอชะมัด” หมิวเบ้ปาก
เสียงออดบอกเวลาเลิกเรียนเราก็ต่อเสร็จ เศษซากชิ้นสุดท้ายถูกประทับลงใจกลางภาพวาด เป็นภาพดวงจันทร์เต็มดวง กลมโต สีทองเหมือนลูกบอลที่แขวนตามต้นคริสต์มาส ขนาดเท่า ๆ ผลส้ม และมีเงากระต่ายกำลังส่งยิ้มให้ ฉากหลังเป็นผืนฟ้าดำทะมึน มีดาวระยิบคล้ายใครทำกากเพชรหกใส่ เป็นภาพวาดที่งดงามที่เราสองคนช่วยกัน ผมอาจเป็นลูกมือที่แย่ แต่ภาพนี้ก็งดงามจริง ๆ
หมิวยกภาพขึ้นแนบกับอก แล้วบอกให้ผมถ่ายรูปให้หน่อย ผมหยิบกล้องฟิล์มโอลิมปัส เพ็น เอฟ มรดกตกทอดของพ่อ ขึ้นฟิล์ม โฟกัสใบหน้าหมิว ผมประหม่าถึงแม้จะสบตากันผ่านช่องมองภาพ ผมกำลังเขียนภาพหมิวด้วยแสงแดด สิ้นเสียงชัตเตอร์ ผมกับหมิวก็คบกัน
2
ช่วงเวลาสามปีที่คบกันช่างสุขล้นเหมือนผมได้เจอส่วนเติมเต็ม คล้ายผมตามหาจิ๊กซอว์ชิ้นนี้มาตลอด แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่พบ ผู้หญิงหลายคนบอกว่ามีส่วนที่ผมขาดหาย แต่เมื่อลองเข้ากันแล้วพบว่าไม่ใช่สิ่งที่ผมตามหา จนเมื่อเจอชิ้นส่วนของหมิว รอยต่อที่แหว่งวิ่นก็ได้รับการเติมเต็ม จากเศษซากชีวิตถูกประกอบจนเป็นชีวิตที่เต็มอย่างสมบูรณ์
ช่วงเวลาที่คบกันเราก็เหมือนคู่รักทั่วไป นั่งฟังเพลงที่โรงอาหารด้วยกัน นั่งเล่นกีตาร์และร้องเพลงในห้องเรียน ไปดูหนัง กินข้าว และนอนด้วยกันบางครั้งบางคืน ซึ่งเป็นเรื่องปกติของวัยรุ่น
บางคืนเราจะอยู่ที่โรงเรียนจนดึกดื่น แอบขึ้นดาดฟ้าตึกผู้อำนวยการ นั่งบนโต๊ะเก้าอี้ที่สนิมเขรอะ ดื่มน้ำอัดลมและขนมปังที่ซื้อจากร้านค้าในโรงเรียน ลมกลางคืนพัดผ่านระหว่างเรา บางวูบหนาวบางวูบร้อน ในมุมมองจากชั้นเจ็ด เรามองเห็นดวงจันทร์ชัดเจน เบื้องล่างเป็นเมืองที่กำลังหลับ มีเพียงแสงไฟจากเสาไฟฟ้า เสาโทรศัพท์ และไฟจราจรที่กำลังตื่นอยู่
หมิวบอกกับผมว่าการนั่งมองดวงจันทร์ช่วยให้อาการโรคซึมเศร้าของเธอดีขึ้น ไม่มีหมอที่ไหนยืนยันผลการรักษานี้หรอก เธอบอกว่าแค่มองดวงจันทร์แล้วรู้สึกดี สีเหลืองนวลตาและท้องฟ้าสีดำทำให้เธอสงบ ราวกับว่าสัตว์ประหลาดที่กำลังเกาะกินเธอได้เผลอหลับไปชั่วครู่ชั่วยาม หรืออาจเร้นกายหายวับไป จนเมื่อวันใหม่มาเยือน ดวงอาทิตย์ปรากฏตัว สัตว์ประหลาดตัวนั้นจะค่อย ๆ ฟื้นตื่นขึ้นมาอีกครั้ง และเริ่มกัดกินเธอช้า ๆ จนส่งผลต่อจิตใจและร่างกายอันอ่อนแอของเธอ
เมื่อผมรู้ว่าพอมีสิ่งที่จะเยียวยาเธอจากสัตว์ประหลาดตัวนี้ เราเลยมักจะกาปฏิทินในวันพระใหญ่ ในคืนเดือนเพ็ญ วันนั้นเราจะอยู่โรงเรียนจนถึงดึกดื่น ซื้อขนมและอาหารแห้งกักตุนไว้ บางคืนอยู่ถึงเช้าโดยไม่ได้หลับนอนก็มี บางครั้งฝนตกก็นั่งฟังเสียงฝนใต้กันสาดของทางขึ้นดาดฟ้า ผมโปรดปรานการถ่ายรูปดวงจันทร์ยิ่งนัก แต่กล้องฟิล์มที่ผมมีวัดค่าแสงดวงจันทร์ไม่ได้ ไม่เหมาะกับถ่ายกลางคืน เลยใช้กล้องมือถือของหมิวถ่าย ส่วนมือถือของผมเอาไว้ฟังวิทยุและไว้โทรหาหมิวเท่านั้น
ครั้งหนึ่งหมิวทำจิ๊กซอว์ขึ้นมาเอง เธอบอกว่าเธอถ่ายภาพจากมือถือ แล้วให้ร้านล้างรูปอัดภาพให้ ก่อนจะติดกาวบนกระดาษลัง แล้วตัดเป็นชิ้นส่วน ผมถามหมิวว่ารูปอะไร หมิวหน้านิ่วใส่ผม น้ำเสียงไม่สบอารมณ์ บอกว่าผมไม่รู้จักการรอคอย แล้วเราก็นั่งต่อจิ๊กซอว์ด้วยกันอีกครั้ง
เมื่อต่อเสร็จเลยรู้ว่าเป็นรูปดวงจันทร์เต็มดวง ดวงเก่าดวงแรกที่เรานั่งมองด้วยกันด้วยกัน พระจันทร์ดวงนั้นถูกถ่ายในคืนแรกที่ผมกับหมิวขึ้นแอบขึ้นดาดฟ้า และเป็นคืนแรกที่ผมได้รู้ว่ารสชาติของความรักนั้นเป็นอย่างไร แต่เราจะเอาแน่เอานอนกับดวงจันทร์ไม่ได้หรอก บางวันเต็มดวง บางวันครึ่งเสี้ยว บางวันเหมือนไม่เต็มใจอยากจะเป็นดวงจันทร์ บางครั้งผมเคยนึกว่าหมิวเป็นดวงจันทร์ ส่วนผมเป็นแค่คนบ้าคนหนึ่งที่ได้ครอบครองดวงจันทร์เพียงผู้เดียว และหลังจากเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย เราก็ไม่ได้ขึ้นดาดฟ้านั่งมองดวงจันทร์กันอีก
ผมออกจากบ้านริมทะเลสาบสงขลา มาเรียนมหาวิทยาลัยเปิดที่กรุงเทพฯ ส่วนหมิวไปไกลถึงแคลิฟอร์เนีย ไปเรียนภาษาอังกฤษและกฎหมายที่อเมริกา ที่นั่นไกลเกินผมจะเอื้อม ผมไม่รู้ว่าเรายังมองดวงจันทร์ดวงเดียวกันเหมือนเคยหรือเปล่า บางครั้งเวลาผมนั่งมองดวงจันทร์จากหอพักริมคลองแสนแสบ ผมมักนึกว่าเสมอว่าหมิวจะนั่งมองอยู่ด้วย แต่ลืมไปว่าไทม์โซนเวลาของเราต่างกัน เลยไม่มีสักวันที่เราจะได้มองดวงจันทร์พร้อมกัน บนนั้นคงไม่มีอะไรให้เราค้นหาอีกแล้ว
จิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่เคยเติมเต็มก็ขาดวิ่นไป ภาพดวงจันทร์เต็มดวงที่เราต่อด้วยกัน เหลือเพียงเศษซากชิ้นส่วนที่รอวันเติมเต็มอีกครั้ง รอวันที่ส่วนที่ขาดหายกลับมาเติมเต็ม แต่ผมรู้ดีว่าวันนั้นจะไม่มาถึง ผมได้แต่หวังว่าสัตว์ประหลาดตัวนั้นที่กำลังกัดกินเธออยู่จะไม่เดินทางไปอเมริกากับเธอด้วย ขอให้สัตว์ประหลาดตัวนั้นไม่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง
ผมติดตามข่าวคราวของหมิวผ่านไทม์ไลน์ ในหน้าเฟซบุ๊กของหมิวไม่เคยมีรูปดวงจันทร์ ส่วนใหญ่จะเป็นรูปทะเลและชายหาด ทะเลที่นั่นสีบลูฮาวายสมใจอยากของเธอ หมิวลงรูปเธอใส่บิกินี่ตอนไปเที่ยวทะเลที่ฮาวายกับชายหนุ่มหุ่นหมีหนวดเฟิ้มที่มีรอยสักรูปสมอเรือที่แขน วันที่ผมรู้ว่าหมิวมีคนรักใหม่ ผมกดปุ่มเลิกติดตามในเฟสบุ๊ก ผมไม่กล้าลบเพื่อนเธอ เพราะผมกลัวว่าวันหนึ่งเธอจะทักมาหาแล้วผมไม่ได้ตอบ ถึงแม้เลิกติดตามแล้ว แต่บางครั้งผมก็แอบเข้าไปส่อง เมื่อเห็นว่าหมิวมีความสุขดี ผมก็เลยปล่อยเธอไป
หลังจากผมสูญเสียชิ้นส่วนที่สำคัญของชีวิตไป ผมใช้ชีวิตที่เว้าแหว่งตามลำพังมาโดยตลอด มีผู้หญิงเข้ามาหยิบยื่นชิ้นส่วนให้หลายคน แต่ไม่เคยมีจิ๊กซอว์อันไหนลงตัวเท่ากับชิ้นส่วนของหมิว ผมเลยเลิกตามหาส่วนที่ขาดหายอีก เลิกคิดถึงดวงจันทร์ ทำได้แค่ประคับประคองความเหงาและมีชีวิตต่อไป
3
ผมมาเที่ยวเชียงดาวเพียงลำพัง ลางานหนึ่งสัปดาห์ คลื่นเสียงและมลภาวะในกรุงเทพฯ มากมายจนเกินผมจะรับไหว เลยคิดว่าอยากจะพักสมองและชาร์จพลังให้กับตนเอง ผมเลือกเชียงดาวเพราะชอบภูเขา และชอบอากาศเย็น เหตุผลมีแค่นั้น
คืนนั้นผมเดินลัดเลาะไปตามถนนในหมู่บ้าน เสียงลำธารติดตามไปทุกที่ เดินสวนกับผู้คนในหมู่บ้านที่มุ่งหน้าไปยังสะพานไม้เก่า บ้านเรือนตกแต่งสีสันงดงาม ผู้คนมีชีวิตชีวาในเสื้อผ้าพื้นเมือง
ผมไม่มีกระทงหรอก เพราะลอยกระทงมีแต่ทำลายแม่น้ำ หากจะขอขมาพระแม่คงคาจริง แค่ไม่ทิ้งขยะลงน้ำก็เพียงพอแล้ว ผมเลยเดินไปยังจุดปล่อยโคมลอยที่มองเห็นดวงจันทร์เต็มดวงที่สุดในหมู่บ้านแทน
ผมเดินเลี้ยวเลียบตลิ่งและลัดเลาะไปตามแนวต้นไม้สูงใหญ่ ก่อนออกสู่ถนนทางเข้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว เดินลอดรั้วกั้นเข้าไป เห็นสะพานแขวนข้ามแม่น้ำ ซึ่งอยู่คนละฝั่งกับสะพานไม้ที่ชาวบ้านไปลอยกระทงกัน มีคนบอกว่าบนสะพานแขวนที่นี่จะเห็นพระจันทร์ชัดที่สุดในหมู่บ้าน ชาวบ้านเลยเรียกที่นี่ว่า ‘สะพานดวงจันทร์’
ผมขึ้นไปยืนบนสะพานแขวน เบื้องล่างเป็นลำธารและโขดหิน ส่วนข้าง ๆ เป็นป่าทึบ เสียงจิ้งหรีดกรีดปีกแข่งกับเสียงพลุ เสียงลำธารไหลซ่า โคมยี่เป็งที่ลอยขึ้นสู่ฟ้า ดูไกล ๆ คล้ายหิ่งห้อยที่บินออกจากหมู่บ้านทีละตัว ทีละตัว จนลับหายไป แต่ผมยังไม่กล้าสบตากับดวงจันทร์...เพราะหากผมเผลอสบตา เรื่องราวของบางคนจะวนกลับมา คนที่ผมคิดถึงสุดหัวใจ...
4
หลังจากปล่อยโคมลอยและคำอธิษฐาน ผมรวบรวมความกล้า เงยหน้าสบตากับดวงจันทร์เต็มดวงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี บนฟ้ามีดวงจันทร์ดวงเดียว แต่โคมยี่เป็งที่ลอยพาดผ่านบนฟ้า ทำให้ตาพร่าและมองเห็นดวงจันทร์หลายดวง
หากแต่เป็นดวงจันทร์ที่ลุกไหม้อย่างรวดเร็ว ไม่ยืนยง และจันทร์เต็มดวงที่เราเฝ้ามองคืนนี้ก็ไม่มีวันอยู่ค้ำฟ้า เพราะรุ่งเช้าดวงอาทิตย์จะมาทวงคืนความยิ่งใหญ่ของค่ำคืนที่ผ่านมา ผมรู้สึกเหน็บหนาวและร้าวร้านอย่างบอกไม่ถูก
เรื่องราวในอดีตชำแรกขึ้นมาในห้วงทรงจำ ความรู้สึกคิดถึงหมิวท่วมท้นล้นเอ่อ จนผมจ่อมจมลงไปในลำธารแห่งความเศร้า ก่อนที่เสียงฮือฮาของชาวบ้านฉุดผมออกจากลำธารน้ำตาอีกครั้ง...
ชาวบ้านชี้ชวนให้ผมดูโคมยี่เป็งที่เพิ่งปล่อย มันกำลังลุกไหม้ โดยมีดอกไม้ไฟหลากสีเป็นฉากหลัง
ผมเฝ้ามองโคมลอยลุกไหม้จนเหลือแต่พวยควันลับหายไปในผืนฟ้าสีดำ คำอธิษฐานก็มอดไหม้ไปด้วยเช่นกัน
สุดท้ายก็ไม่มีอะไรยั่งยืนค้ำฟ้า ทุกสิ่งล้วนจางหายไปจากเรา ขึ้นอยู่แค่เวลา จะเร็วหรือช้าเท่านั้น
5
ยังไม่ทันที่ผมเดินกลับจากสะพาน ข่าวร้ายก็ชำแรกแทรกผ่านเสียงพลุและดอกไม้ไฟ โทรศัพท์ทางไกลจาก รูมเมทคนไทยเพื่อนของหมิว ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นโรงเรียนมัธยมเดียวกัน ปลายสายฝากข้อความเสียงมา...
ผมกดเปิดลำโพงเพราะเสียงพลุดังเกินกว่าจะคุยแนบหู เสียงที่ได้ยินจับใจความได้ว่า
“หมิวเสียชีวิตแล้ว ผูกคอตายในหอพัก กำลังนำศพกลับไทย”
สิ้นเสียงวางสาย ผมแตกสลายลงตรงนั้น เสมือนจิ๊กซอว์ที่หลุดหล่นจากกล่อง กระจัดกระจายเกินกว่าจะนิยามได้ว่าเป็นภาพอะไร ก่อนสติสัมปชัญญะจะลาลับไป ผมเห็นเพียงแสงจันทร์รำไรเลือนราง
หญิงสาวที่ผมรักที่สุดได้พ่ายแพ้แก่สัตว์ประหลาดตัวนั้นแล้ว ชิ้นส่วนที่เคยเติมเต็มผมหล่นหายไปตลอดกาล บนนั้นคงมีสิ่งสวยงามที่มากกว่าดวงจันทร์ให้หมิวเฝ้ามอง ไม่มีสัตว์ประหลาดที่คอยกัดกินอีกต่อไป...
ไม่ว่าผมจะมองดวงจันทร์จากสถานที่แห่งหนไหนบนโลกใบนี้ ก็ไม่งดงามเท่าจิ๊กซอว์ดวงจันทร์ที่เราเคยต่อด้วยกันอีกต่อไป นับจากนี้กลางคืนของผมจะมีเพียงเดือนมืด ไร้ซึ่งแสงแห่งความหวังใดทั้งสิ้น และมันจะเป็นความมืดมิดที่ยาวนาน จนถึงวันที่ผมไม่อาจมองเห็นแสงใดบนโลกใบนี้อีก