¦ ¦ ¦ ¦


ฉบับที่ 20 : ประจำวันที่ 15 กันยายน 2568


เรื่องเล่าของพิม
โดย การดา



“นี่ก็ 6 เดือนแล้วนะ เธอจะต้องไปได้แล้วล่ะ” ยมทูตเอ่ย
“ยังค่ะ ฉันยังค้างคาใจอยู่” หญิงสาวตอบกลับ
“แต่หมดเวลาของเธอแล้วนะ นี่ผมก็ปล่อยผ่านมานานแล้ว เพราะเห็นว่าคุณยังยึดติด ยังปล่อยวางไม่ได้ซักที” ยมทูตกล่าวย้ำ
“ถ้าอย่างนั้น คุณยมทูตช่วยรับฟังเรื่องราวของฉันได้ไหมคะ” หญิงสาวถามแกมขอร้อง
ยมทูตจ้องมองหญิงสาวกลับมาราวกับจะมองให้ทะลุถึงจิตใจของเธอ ก่อนจะตอบรับว่า “ผมทำได้แค่รับฟังเท่านั้นนะ”
“ค่ะ ฉันทราบ แต่ถึงอย่างนั้น ก็ช่วยฟังหน่อยนะคะ เผื่อว่าอะไร ๆ มันจะดีขึ้น"

เรื่องราวมันเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 7 ปีก่อน
……..
ฉันคบหาดูใจกับนพ แฟนหนุ่มอายุน้อยกว่าฉันถึง 9 ปี เพียงระยะเวลาเพียงแค่ 6 เดือนฉันก็ตัดสินใจแต่งงาน แน่นอนว่าใคร ๆ รอบตัวล้วนแต่คัดค้าน “มันคิดถึงแต่เงินของเธอนั่นแหละพิม” “แค่พนักงานชั่วคราวของบริษัท สัญญาปีต่อปี ถึงคราวตกถังข้าวสารแล้วซินะ” “ พนักงานต๊อกต๋อยได้แต่งงานกับผู้บริหาร นี่มันซินเดอเรลล่าแบบกลับเพศแล้วมั้ง” 


เสียงรอบตัวฉันไม่มีใครชื่อชนยินดีนักกับการแต่งงานของฉัน แต่ฉันก็ยังคงดื้อดึงแต่งงานกับเขา เพราะตลอดเวลาที่คบหากันก่อนหน้านี้เขาแสดงให้ฉันได้เห็นแล้วว่าเขาดูแลฉันเป็นอย่างดี ฉันที่เอาแต่ทำงานจนลืมดูแลตัวเอง ทำให้หลายครั้งก็ป่วยกระเสากระแสะ ก็ได้นพนี่แหละ ที่คอยช่วยพาไปหาหมอ คอยรับคอยส่งในวันที่ทำงานหนักหนาเสียจนหมดแรงจะเดินทางไปไหน ๆ ด้วยตัวเอง
ฉันยังจำได้ดีในวันแรกที่เราพบกัน เขาเป็นพนักงานหน้าใหม่ในออฟฟิซที่อยู่ตึกเดียวกันกับฉัน เขาเป็นคนประเภทที่ยิ้มแล้วโลกสดใสน่ะ รอยยิ้มของเขาสว่างถึงเพียงนั้น ในขณะที่คนเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานแบบฉันมักถูกพูดถึงว่า ก็น่าจะเป็นคนสวยอยู่หรอก แต่เครียดจนไม่น่าจะมีใครทนไหว คนที่ตรงข้ามกันถึงเพียงนี้ กลับมามีชีวิตที่บรรจบกันได้อย่างไรกันนะ ฉันเองก็ยังไม่อยากเชื่อ
งานแต่งงานเล็ก ๆ แขกไม่ถึง 100 คนของเราที่ถูกจัดขึ้น แม้ฉันจะรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยที่แทบจะไม่มีญาติผู้ใหญ่ฝั่งนพมาซักเท่าไหร่ มีเพียงคุณป้าของนพคนเดียว นพบอกกับฉันว่า พ่อทิ้งไปตั้งแต่ยังเด็กมาก ส่วนแม่นั้นเสียไปตอนที่ยังเรียนไม่จบ นพโตมากับป้า แต่กลับดูไม่สนิทใจดีนัก แต่ก็คงไม่แปลกอะไร เพราะนพเล่าว่า ป้าก็เพียงทำงานส่งเสียเลี้ยงดู ให้ที่หลับที่นอนแก่นพเท่านั้น ไม่ได้สนิทอะไรกัน หนำซ้ำเมื่อเจอหน้ากันตอนที่นพได้งานทำแล้ว ป้าก็มักจะขอเงินเสมอ ทั้ง ๆ ที่นพเองก็เพิ่งเริ่มทำงาน ยังไม่ได้เป็นพนักงานประจำเลยด้วยซ้ำ ต้องรอต่อสัญญาปีต่อปี แต่ป้าก็มักจะอ้างบุญคุณที่เลี้ยงดูกันมาทำให้นพยิ่งไม่อยากใกล้ชิดกับป้ามากมายอะไรนัก “งานแต่งขนาดเล็กหรือใหญ่นั้นไม่สำคัญหรอก สำคัญที่เรารักกัน” นพบอกกับฉันแบบนี้ ก่อนจะย้ำว่า “อันที่จริงถ้าพี่อายที่แต่งงานกับเด็กไม่มีอะไรแบบผม เราจดทะเบียนสมรสกันอย่างเดียวก็ได้นะครับ”
แน่นอนว่าฉันตอบแบบไม่คิดเลยว่า “พี่ไม่ได้อายหรอกที่แต่งงานกับนพ กลัวแต่นพจะเบื่อที่พี่แก่เร็วแล้วไปหาสาว ๆ มากกว่า” และแน่นอนว่านพตอบกลับฉันด้วยรอยยิ้มแสนสดใส ก่อนจะให้คำสัญญาว่าไม่ไปไหนหรอก “เพื่อให้พี่ยิ่งมั่นใจ เราจดทะเบียนสมรสกันนะครับ”
คุณลองคิดดูซิคะ ผู้หญิงอายุสี่สิบกลางอย่างฉันอยู่เป็นโสดมานานเหลือเกิน จนวันหนึ่งมาเจอผู้ชายที่ทั้งเอาใจ ทั้งปากหวาน ดูแลใส่ใจดันเป็นอย่างดี หัวใจจะไม่หวั่นไหวได้อย่างไร
ถึงเราจะรักกันและแต่งงานกันเร็วปานนั้น แต่ก็ใช่ว่าได้แต่งงานกันง่ายดาย พ่อของฉันไม่ชอบใจนักกับการที่ฉันคบหาถึงขั้นจะแต่งงานกับนพ จนกระทั่งแต่งงานแล้วก็ยังไม่ชอบนพ จนฉันต้องซื้อบ้านเพื่อแยกออกมาอยู่กับนพกันสองคน ในวันที่ฉันเก็บของเพื่อย้ายออกอยู่นพ พ่อที่แทบจะไม่เคยดุด่าว่ากล่าวฉันกลับโมโหเสียงดัง ประโยคของพ่อยังก้องในความทรงจำฉันอยู่เลย ”มันไม่ได้รักแกหนักหนาหรอก มันหลอกแก แล้วแกก็เชื่อ เรียนเก่ง ทำงานเก่งซะเปล่า ดันถูกผู้ชายหลอก“
เขาดูแลฉันเป็นอย่างดี แม้แต่อาหารเขาก็ตั้งใจทำด้วยตัวเอง คนที่เป็นโรคลำไส้แปรปรวนอย่างฉัน จะกินอะไรก็ต้องเลือก นพบอกกับฉันแบบนั้น และฉันก็เชื่อเขา เขาลงมือเองตั้งแต่เลือกวัตถุดิบไปจนถึงทำออกมาเป็นอาหารในแต่ละมื้อ เป็นแบบนี้ไปทุกวัน เขาบอกกับฉันเสมอว่า เขายินดีที่จะคอยซัพพอร์ตฉันในทุก ๆ เรื่อง หากฉันรักในการทำงานก็ขอให้ทำให้เต็มที่ เขาจะคอยสนับสนุนและดูแลฉัน
สุขภาพของฉัน รวมถึงเรื่องอื่น ๆ เอง อย่างไรเสียเขาก็ไม่ได้มีหน้าที่การงานที่ดีเท่าไหร่นัก เงินเดือนก็ไม่ได้สูงมากมายอะไร “บางที่ผมอาจจะเกิดมาเพื่อเป็นพ่อบ้านก็ได้มั้งครับ” นพตอบกับฉันแบบทีเล่นทีจริง
อันที่จริงฉันเคยถามนพนะว่าไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ ที่ใคร ๆ ก็มองว่านพเกาะผู้หญิง คำตอบของนพทำให้ฉันแปลกใจนิดหน่อยแต่ก็ดีใจที่นพดูจะไม่คิดมาก “ผมก็เกาะพี่จริง ๆ นั่นแหละ ผมรู้ตัวดีว่าไม่ใช่คนที่หาเงินได้มากแบบพี่ไง ผมเลือกดูแลพี่พิมให้พี่หาเงินได้ดีกว่า ผมไม่คิดมากเรื่องนี้หรอก” นั่นทำให้ฉันคลายกังวล และฉันยอมรับว่านพช่วยดูแลฉันได้ดีมากจริง ๆ
กระทั่งวันหนึ่ง นพเข้าไปที่ห้องเก็บของ รื้อเจอถ้วยชามเบญจรงค์ที่เป็นมรดกตกทอดมาจากคุณยาย ที่ฉันนำมาด้วยตอนย้ายมาบ้านหลังนี้ นพตื่นเต้นจนตาวาวตอนที่ได้เจอ “จานสวย ๆ เหมาะกับคนสวย ๆ อย่างพี่พิม ผมเอามาใช้นะครับพี่” เขาบอกกับฉันแบบนี้ และฉันก็อนุญาต
เขาไม่เพียงแต่ทำอาหาร แต่ยังจัดใส่จานสวย ๆ เหล่านั้นให้ฉันได้รับประทานทั้งอาหารจริง และอาหารตา
หนึ่งปีผ่านไป สองปีผ่านไป จวบจนเข้าปีที่หกของการแต่งงาน ยาวนานเพียงนี้แล้ว เสียงครหานินทาว่านพหวังเพียงสมบัติเงินทองของฉันก็ค่อย ๆ เบาลงไป แม้แต่คุณพ่อของฉันเองก็ยอมรับในตัวนพมากขึ้น ถึงแม่ว่าในเชิงหน้าที่การงานแล้ว นพจะด้อยกว่าฉัน ไม่ซิ ปีหลัง ๆ นพเลือกที่จะไม่ต่อสัญญาการทำงาน แต่เลือกขอเงินฉันบางส่วนไปเทรดหุ้นแทน นพให้เหตุผลว่าเขาจะได้อยู่ที่บ้าน ดูแลบ้านและฉันได้เต็มที่ ฉันเลือกจะเชื่อเหตุผลของนพ ทุกอย่างเหมือนจะไปได้ดี แต่กลับมีเรื่องอื่นให้ต้องกังวลแทน
“นพ พี่ว่าอาหารของเธอน่าจะช่วยสุขภาพพี่ไม่ไหวแล้วล่ะ พี่ทั้งปวดท้องทั้งคลื่นไส้อาเจียนเกือบตลอดเวลา ไปหาหมอตรวจก็ไม่เจอสาเหตุอะไรที่มันชัดเจนซักที”
“พี่อาจจะเครียดกับงานมากไปก็ได้นะครับ พี่ต้องปล่อยวางและพักผ่อนมาก ๆ เดี๋ยววันนี้กลับไปผมจะทำอาหารอย่างสุดฝีมือเลยพี่ก็ทานเยอะ ๆ นะครับ ช่วงนี้พี่ดูเพลียมากเลย แล้วก็ผอมลงไปเยอะเลยด้วย“
”จ้ะ ๆ กลับไปพี่จะทานอาหารที่เธอเตรียมไว้ให้หมดเลยนะ“
ดูเหมือนไม่มีอะไรใช่ไหมคะ ดูเป็นเรื่องราวของคู่รักที่ควรจะเป็นไปด้วยดี นพดูแลฉันดีเหลือเกิน ใส่ใจทุก ๆ อย่าง ในขณะที่ดิฉันเอาแต่ทำงานราวกับต้องชดใช้หนี้เป็นร้อยล้านพันล้าน มันก็ไม่น่าแปลกอะไรที่ฉันจะไม่สบายเอาง่าย ๆ โดยเฉพาะกับคนที่ร่างกายอ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้วแบบฉัน
จนวันหนึ่ง นพก็บอกกับฉันว่า “ผมว่าพี่พิมย้ายที่ตรวจสุขภาพไหมครับ ตรวจที่เดิมก็ไม่เจอสาเหตุซักที ลองย้ายโรงพยาบาลไหม ผมว่าพี่อาการดูไม่ดีขึ้นเลยนะครับ”
“พี่ก็รักษาที่นี่มาตลอด แต่จะลองปรึกษาคุณหมออีกโรงพยาบาลดูก็ได้”
ด้วยเพราะมัวแต่คิดว่าไม่เป็นอะไร เพราะไว้ใจ หรือเพราะอะไรก็ตาม กว่าที่ฉันจะได้ตรวจอีกโรงพยาบาลอาการฉันก็ทรุดลงจนแม้แต่ฉันเองยังตกใจ หน้าตาที่ซูบเซียว แก้มที่ตอบลง ท้องที่เริ่มโตขึ้นจนน่าเป็นห่วง ผมที่ร่วงจนทำให้ผมบนศีรษะดูบางลงไปอย่างชัดเจนนั่น ทำให้ฉันเริ่มคิดว่า ฉันต้องกลับมาดูแลตัวเองดี ๆ แล้วล่ะ ถึงนพจะแสดงออกว่ารักและใส่ใจฉันมากแค่ไหนก็ตาม แต่นพก็อายุน้อยกว่าฉันมาก ถ้าปล่อยตัวจนทรุดโทรมมากนพก็อาจจะเลิกกับฉันไปหาสาว ๆ สวย ๆ ก็เป็นได้
ฉันรักนพมากจนไม่อยากเสียเขาไปให้ใครจริง ๆ
วันที่ฉันตัดสินใจไปหาหมออีกโรงพยาบาลกับนพ นพถึงกับขอร้องให้ฉันลางานเพื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียด ระหว่างที่ฉันกำลังสะลึมสะลือนอนรอให้ยาหมดฤทธิ์ ฉันเห็นว่าหมอที่ตรวจร่างกายฉันเรียกนพไปคุย สีหน้าของนพเรียบเฉยอย่างน่าประหลาดใจ พอฉันถามนพว่ามีอะไรอย่างนั้นหรือ นพไม่พูดอะไร นพบอกเพียงว่าอีกสองสัปดาห์ เรามาฟังผลด้วยกันนะครับ
ใช่ สองสัปดาห์ถัดมาฉันถึงได้รู้ ว่าฉันเป็นมะเร็งลำไส้ลุกลามไปถึงตับแล้ว ลำพังมะเร็งลำไส้ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลนัก แต่การที่มันลุกลามไปถึงตับแล้วต่างหาก ที่น่ากังวล ฉันได้แต่ช๊อคในผลการตรวจก่อนจะมองหน้านพ ที่ไม่แสดงสีหน้ายินดียินร้ายอะไรออกมาทั้งนั้น
“เดี๋ยวผมดูแลพี่เอง พี่ก็เพลา ๆ การทำงานได้แล้วนะ พี่ต้องพักบ้างนะครับ ผมจะดูแลพี่พิมให้ดีที่สุด” นพบอกกับฉันแบบนี้
นพก็ไม่ได้พูดอะไรผิดไปจากการกระทำของนพ นพดูแลฉันอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว แต่การดูแลนั้น เหมือนดีเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอที่จะช่วยให้อาการของฉันดีขึ้นมาได้เลย ไม่นับจากที่ฉันทรุดหนักจากการแพ้ยาเคมีบำบัดร่วมเข้าไปอีก อาการของฉันจึงทรุดลงอย่างรวดเร็ว
ฉันมีแต่อาการทรุดลง ๆ จนวันหนึ่งที่ฉันป่วยจนลุกไปไหนแทบไม่ได้ เพราะไม่สามารถทำอะไรได้ฉันจึงอ่านอะไรไปเรื่อยเปื่อยในอินเทอร์เน็ตเพื่อฆ่าเวลา จนไปเจอเรื่องเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับข้าวของเครื่องใช้โบราณ แล้วได้เจอว่าเครื่องเบญจรงค์เองไม่เหมาะที่จะนำมาใส่อาหาร เพราะมันใช้โลหะหนักอย่างสารหนูและตะกั่วในการเคลือบสีให้ติดทน
โลหะหนักถ้าสะสมมาก ๆ มันทำให้เกิดมะเร็งได้ไหม ใจของฉันมันคิดเตลิดไปไกลเสียแล้ว นพจะรู้ไหมนะ เขารู้ไหม เขาตั้งใจหรือเปล่า
คุณยมทูตรู้ไหมคะ ตอนนั้นฉันรู้สึกขับข้องใจมากว่าเขาตั้งใจหรือเปล่า หรือเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ หรือการชวนฉันไปจดทะเบียนสมรสนั้นเพียงเพราะต้องการเป็นผู้นับมรดกโดยชอบด้วยกฎหมายหากฉันตายไปก่อนอย่างนั้นหรือ แต่เขาอาจจะไม่ตั้งใจก็ได้ เพราะเอาจริง ๆ แล้วก็ไม่ได้มีอะไรการันตีว่าการใช้จานชามเบญจรงค์เหล่านั้นจะทำให้ได้สารพิษจนตายได้นี่นา
แต่ถ้าเขาตั้งใจ เขาต้องเลือดเย็นขนาดไหนที่แกล้งทำเป็นรัก ดูแลเอาใจใส่ฉันเป็นอย่างดี ระยะเวลาไม่ใช่สั้น ๆ 6 ปีเลยนะคะ ที่เขาคอยดูการผลิดอกออกผลของการกระทำของเขา แถมระหว่างนั้นเขายังคงแสดงออกราวกับว่ายังคงรักฉัน ใส่ใจดูแลฉันอยู่ตลอดเวลา
ฉันอยากคิดว่าเขาคงไม่ตั้งใจ เขาคงรักฉันเหมือนอย่างเมื่อแรกที่เราคบกับ นพเป็นผู้ชายใส่ใจค่ะ เป็นผู้ชายละเอียดละออ เขาดูแลฉันดีตั้งแต่ก่อนแต่งงานด้วยซ้ำไป
แล้ววันหนึ่งอาหารของฉันก็ถูกเสิร์ฟมาในจานธรรมดา ๆ ฉันพยายามพยุงร่างกายที่แสนอ่อนล้าและเจ็บปวดขึ้นมาอย่างยากลำบาก พลางมองไปที่นพ นพที่เดี๋ยวนี้หลบสายตาของฉัน พูดคุยน้อยลง ฉันมองนพสลับกับมองจานอาหาร ก่อนจะเอ่ยปากถามนพว่า “นพ…. ทำไมเปลี่ยนจานล่ะ ไหนเธอเคยบอกว่าจานสวย ๆ เหมาะกับฉันไง ตอนนี้ ฉันไม่สวยแล้วเหรอ?”
“มะ ไม่ใช่หรอกครับ พี่พิมอยากให้ใส่จานเดิมจริง ๆ เหรอครับ” นพมองหน้าฉันเพียงชั่วครู่ก่อนจะหลบตาฉันเหมือนเดิม ก่อนจะยกข้าวไปเปลี่ยนเป็นจานสวย ๆ อย่างที่ฉันเคยใช้มาตลอด สีหน้าของนพวันนั้นฉันจำได้ไม่ลืม สีหน้าของความยากลำบากใจ สายตาที่หลุบลงต่ำ น้ำเสียงที่อ้อมแอ้มไม่มั่นใจเหมือนแต่ก่อน มือที่สั่นไหวน้อย ๆ ตอนหยิบจานข้าวนั้นไปเปลี่ยน
นพพาไปร้านอาหารอร่อย ๆ ทุกครั้งที่ฉันเอ่ยปากว่าอยากกินอะไรอะไรเป็นพิเศษ เขาพาไปเที่ยวพักผ่อนเวลาที่งานของฉันเสร็จ เป็นคนพาฉันไปตรวจสุขภาพเองด้วยซ้ำไป และตั้งแต่แต่งงานกันมา เขาไม่เคยลืมวันครบรอบของเราซักปีเลย ดูซิคะใส่ใจฉันถึงเพียงนี้จะให้ฉันเชื่อได้อย่างไรว่าเขาตั้งใจจะทำร้ายฉัน ฉันไม่อยากเชื่อค่ะ
แต่ก็นั่นแหละ เมื่อความสงสัยเกิดขึ้นแล้ว มันเกาะแน่นราวกับกาวเหนียว ๆ ที่ดึงออกไปอย่างไรก็ไม่หมด ที่สำคัญ ยิ่งพยายามเช็ดออกเท่าไหร่ กาวเหนียวนั่นก็มีแต่จะเลอะเทอะเประเปื้อนไปทั่ว 
หรือเขาตั้งใจแต่แรก แต่มารู้สึกผิดตอนเห็นสภาพที่น่าอดสูของฉันอย่างนั้นหรือค่ะ ถ้าเป็นแบบนั้นฉันอยากให้เขาสารภาพมาตามตรงเสียดีกว่า ฉันจะได้ให้อภัยเขา และจะได้กลับไปรัก กลับไปไว้ใจเขาได้อย่างเดิม แต่การทิ้งความค้างคาใจไว้แบบนี้ นอกจากอาการป่วยจะทำให้ฉันทรมานกายแล้ว ฉันยังทรมานใจมากมายเหลือเกิน 
ฉันไม่สามารถมองหน้านพด้วยความไว้วางใจว่าผู้ชายคนนี้จะดูแลฉันเป็นอย่างดีได้อีกต่อไปแล้ว และในสภาวะเช่นนี้ สภาวะที่ฉันอ่อนแอเหลือเหลือเกิน ฉันต้องการคนมาดูแลที่ไว้วางใจได้ แต่สำหรับฉันตอนนี้ที่ไม่ใครที่จะวางใจได้นั้น มันอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวมากเเกินไป
“พี่พิม ครบรอบ 7 ปี ของเราแล้วนะครับ” นพพูดกับฉันที่อ่อนแรงเหลือเกินบนเตียง ฉันได้แต่ยิ้มน้อยๆ ให้นพ แล้วพยายามมองใบหน้าของเขา
ดูดวงตานั่นซิ ดวงตาที่ชื้นแฉะไปด้วยน้ำตา มันเป็นน้ำตาของความเศร้าเสียใจที่เห็นฉันอาการมีแต่แย่ลงจนสิ้นหวังเพียงนี้ หรือเพียงแกล้งทำให้ฉันตายใจนะ ชั่วเสี้ยวนาทีที่เขาหันหน้าหนีไป ฉันอดคิดไม่ได้ว่าเขาทนดูสภาพฉันไม่ได้อีกแล้วใช่ไหม หรือเพียงแอบยิ้มสะใจในสภาพปางตายของฉัน
โถ่ นพ ถ้าเธอจะแกล้งร้องไห้มันไม่จำเป็นเลย ฉันรู้ตัวดีแล้วว่าคงอยู่ได้อีกไม่นาน 
วันครบรอบ 7 ปีของเราจึงเรียบง่ายเช่นนั้น อาหารที่รับประทานด้วยกันสองคนเงียบ ๆ ปราศจากบทสนทนา ด้วยฝ่ายหนึ่งไม่มีเรื่องจะคุย และอีกฝ่ายไม่มีแรงจะคุย
เพียงสิบวันหลังจากนั้น ฉันก็ไม่ได้หายใจอีก
……..

“และคุณก็ไม่ยอมไปปรโลก ยังยึดติดอยู่”
“ใช่ค่ะ”
จากวันนั้น ฉันอดไม่ได้ที่คอยตามดูนพ เสียงนินทามาอีกระลอกเมื่อนพไม่มีน้ำตาซักหยดในงานศพของฉัน นพเพียงแต่เงียบ ไม่คุยเล่นอะไรกับใคร ยืนนิ่งราวกับหุ่นยนต์ที่ทำไปตามคำสั่ง ท่ามกลางเสียงวิจารณ์อย่าง “เห็นไหม สุดท้ายก็ไม่ได้รัก หวังเงินนั่นแหละ” “เสียใจที่ไหนน้ำตาไม่มีซักหยด” “สงสัยจะรอเวลานี้มานานแล้วซินะ สมบัติเพียบ เป็นผัวตามกฎหมายด้วยมันดีอย่างนี้เองซินะ” 
ฉันเฝ้ามองนพและตั้งคำถามเช่นกัน ฉันเพียงคนเดียวหรือเปล่านะที่มีความรักให้อีกฝ่าย เขาเคยรักฉันหรือเปล่านะ เขาใจร้ายขนาดสามารถมองคนที่นอนข้างกัน 6 ปีตายลงอย่างช้า ๆ โดยไม่รู้สึกอะไรจริง ๆ เหรอ
ถึงอย่างนั้นงานศพของฉันนพก็ตั้งใจทำทุกอย่างออกมาอย่างดี ดอกไม้ตกแต่งสีขาวที่ฉันชอบ เลือกภาพที่ดูสวยงามสดใสที่สุดของฉันมาใช้ในงาน อาหารโปรดของฉันในงานทำบุญ ซึ่งก็ครบถ้วนเท่าที่จะทำได้ บางทีฉันอาจจะคิดมากเกินไป นพคงไม่ตั้งใจ
แต่นี่มันอะไรกันคะ! ฉันตายไปยังไม่ทันครบ 5 เดือนเต็มเลย เขากลับมีแฟนใหม่เป็นสาวสวยรุ่นน้องหน้าตาสะสวย เขากลับยิ้มหัวเราะเล่นกับผู้หญิงคนใหม่ได้อย่างง่ายดายเหลือเกิน เขาอยู่ด้วยกันในบ้านที่เราเคยอยู่ด้วยกัน!
ผู้หญิงคนใหม่ที่อ่อนเยาว์กว่า ร่างกายแข็งแรงกว่า นพไม่จำเป็นจะต้องมาดูแลเอาใจใส่อะไรมากมายแบบฉัน
“ฉันค้างคาใจเหลือเกิน เขาใจร้ายขนาดตั้งใจฆ่าฉันจริงๆ เหรอ ความรักระหว่างเราเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า? ฉันอยากรู้คำตอบจริงๆ“
“มันสำคัญหรือ?“ ยมทูตเอ่ยปากถาม ”ในเมื่อคุณตายแล้ว“
พิมทำได้แต่เงียบ
”เขาอาจจะทั้งรักและไม่รัก ตั้งใจฆ่าหรือไม่ตั้งใจก็ได้ทั้งนั้น แต่ตอนนี้เธอไม่มีชีวิตให้สงสัยแล้ว“
พิมก้มหน้า เม้มปากแน่น น้ำตาร่วงพรั่งพรูก่อนจะหันไปมองนพอีกครั้งหนึ่ง แล้วทอดถอนใจพร้อมกับน้ำตาที่ค่อย ๆ หยุดไหล “ตอบแบบนี้ ใจร้ายจังนะคะ ไม่ได้ช่วยลดความค้างคาใจของฉัน ไม่ได้ทำให้ความเจ็บปวดของฉันลดลงเลย”
“ใจร้ายหรือ ผมแค่ตอบไปตามความเป็นจริง การได้รู้เรื่องในใจของอดีตคนรักคุณไม่ได้ทำให้ความจริงที่ว่าคุณตายแล้ว และกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว การที่ความค้างคาใจจะหายไปไหมนั้น อยู่ที่คุณเท่านั้นนะ คุณพิม”
พิมขยับริมฝีปากเหมือนอยากจะพูดอะไรออกมา แต่สุดท้าย เธอก็ตัดสินใจเก็บคำพูดนั้นกลับเข้าไป ก่อนจะค่อย ๆ ยกมือขึ้นเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้า นั่นซินะ ความจริงของนพจะเป็นอย่างไร มันไม่ได้แก้ไขความจริงของเธอที่ว่าเธอตายแล้ว ความจริงที่ว่าไม่ว่าอย่างไร เธอไม่สามารถอยู่ข้าง ๆ ชายหนุ่มที่เธอรักได้อีก
ส่วนความจริงของนพคืออะไร มันยังสำคัญอยู่ไหม เธอไม่แน่ใจนัก แต่ความจริงที่แน่นอนอยู่ตรงหน้า คือเธอไร้ซึ่งชีวิตให้กลับไปแก้ไขอะไรได้อีก
................................
“คุณพร้อมที่จะไปต่อได้แล้วไหมคุณพิม” ยมทูตเอ่ยถาม
”ค่ะ ฉันคิดว่าฉันไปได้แล้ว“ 

……………………..
ชายหนุ่มเงยหน้าจากภาพของหญิงคนรักเก่า แล้วมองรอบ ๆ ตัวบ้าน ซักพักก็รู้สึกราวกับมีลมเย็นเยือกพัดผ่านไป ได้ยินคล้ายเสียงคุ้นเคยเรียกชื่อ ”นพ“ อย่างแผ่วเบาวูบหนึ่ง
ก่อนจะลุกไปหาหญิงสาวที่เป็นคนรักของตนในปัจจุบัน




ขอสงวนสิทธิ์ข้อความทั้งหมดภายในเว็บไซท์
Copyright by http://www.espressoandcigarette.com