ซิมโฟนีบรรเลง
โดย บรูโน่ วังก์
สองชั่วโมงต่อมา ตอนที่เขายืนอยู่ริมแม่น้ำวัลตาว่า เมืองเชสกี้ครุมลอฟก็อวลไปด้วยหมอกและประวัติศาสตร์อาลัยสีพาสเทล เศษปรักหักพังของหัวใจล่องลอยเหนือทุ่งหญ้าที่ขนาบไปด้วยสายน้ำคดเคี้ยว
หากเป็นเมื่อหลายสิบก่อน โจเซฟคงไต่บันได 162 ขั้น ขึ้นไปบนยอดหอคอยโบราณสไตล์เรเนซองส์สูง 54 เมตร แต่อดีตอันแตกสลายเกาะกินเนิ่นนานจนชายวัย 62 ซึ่งเต็มไปด้วยโรคประจำตัวเกี่ยวกับข้อกระดูก ไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะใช้นิ้วมือเหี่ยวแห้งเป็นซังข้าวโพดเกาะจับบันไดขั้นแรก
ซิมโฟนีหมายเลข 9 “From the New World” ของ Antonin Dvorak ล่องลอยมาจากแสนไกล ในความทรงจำพร่ามัว โจเซฟคิดถึงผู้คนจากทั่วสารทิศที่รื่นเริงกันอยู่ในเทศกาลดนตรีซอยบางลา เกาะภูเก็ต พวกเขาอยู่ห่างออกไปไม่รู้กี่พันกี่หมื่นกิโลเมตร นับระยะห่างจากอดีตถึงปัจจุบันยิ่งไกลแสนไกล
ชายชราสมมุติตัวเองเป็นโน้ตดนตรีในอากาศ ล่องลอยไปยังประเทศไทย หมายเพียงตามหาใบหน้าอดีตคนรักในเทศกาลดนตรีต่างทวีป เธอเติบโตในครอบครัวนักดนตรี วิญญาณของเธอจะไปไหนไกล นอกจากในที่ที่มีตัวโน้ตดนตรี พ่อของเธอเป็นนักเปียโนชาวฟิลิปปินส์ผู้หอบเอาวัยหนุ่มมาเสี่ยงโชคยังประเทศไทย ขณะแม่ของเธอเป็นหญิงพื้นเมืองภูเก็ต ผิวเหลืองซีดซ่อนซุกในชุดย่าหยา วัยสาวของนางทำให้เป็นคนขี้ระแวง ลึกลงไปใต้ริมฝีปากอิ่มหนา ฟันขาวเรียงเป็นระเบียบราวภาพวาด มีพรสวรรค์ด้านการขับร้องซุกซ่อน รอฤดูกาลเหมาะสมเผยตัว ต้นตระกูลฝ่ายแม่ของนางเป็นนักแสดงรองแง็ง
คนหนุ่มสาวพบกันใต้หง่อคากี่ ในวันฟ้าพรำฝน สบตา หนาวสั่น อารมณ์หลบซ่อนเผยตัวอย่างช้าๆ หลายเดือนต่อมาตอนที่ดอกพุดบาน พวกเขาบอกรัก และพูดถึงการแต่งงาน เป็นเรื่องปกติของเกาะภูเก็ต พ่อของหญิงสาวพบกับแม่ของเธอที่นี่เช่นกัน ใต้ช่องซุ้มโค้งสไตล์โบสถ์โปรตุเกสของโรงแรมออน ออน โรงแรมแห่งแรกของเกาะ มีมนต์เสน่ห์เสมอ
“มีอะไรให้ช่วยไหมคะ…” เสียงหวานนุ่มคุ้นหูทักทาย เจือด้วยความห่วงใย
โจเซฟงกเงิ่นปาดน้ำตา หันหาเจ้าของเสียง
ว่างเปล่า ไม่มีใครสักคนอยู่ตรงนั้น
หลอกหลอนกันอีกแล้ว ชายชราคิด หันมองรอบกายอีกครั้ง ลมจากแม่น้ำพัดต้องกายวูบหนึ่ง กลิ่นดอกไม้คุ้นจมูกโผล่มาและหายไป ซิมโฟนีหมายเลข 9 ล่องลอยเศร้าสร้อยเหนือสะพานหม่น โจเซฟปล่อยน้ำตาไหลลงแม่น้ำวัลตาว่า
ไหลไปยังอดีตแสนไกล
ไหลเพื่อตามหา ‘ละไม’ หญิงสาวแห่งเอเชีย
ความทรงจำจูงมือโจเซฟไปทุกที่ กลิ่นของหญิงสาวเหมือนกลิ่นดอกพุดแรจมูกเขาตลอดเวลา ซิมโฟนีที่ประพันธ์ลงบนหัวใจยังบรรเลง เธอเป็นธิดาแห่งดนตรี สาวน้อยเอเชียผิวเหลืองซีด มือเล็กราวตุ๊กตา ดวงตาของเธอสุกสกาวราวดวงดาวในคืนมืด ริมฝีปากของเธอขยับฮัมเพลงอยู่ตลอดเวลา แม้เพียงแค่ทำนองแต่เขารู้สึกได้ถึงแก้วเสียงราวระฆังใสที่ตีบอกเวลาทุกชั่วโมงมากว่า 600 ปี บนหอนาฬิกาดาราศาสตร์
สำหรับชายอายุหกสิบสอง ความทรงจำเกี่ยวกับเธอราวรูปปั้นนักบุญ ผิวรูปปั้นแค่กร่อนจากสายลม แต่ไม่เคยหายไป ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทั้งสองเจอกัน มีแต่ความหวาดกลัวและสงครามเท่านั้นที่เปลี่ยนและพรากทุกอย่างไปจากทุกคนบนโลก
เสียงเชลโล่กับไวโอลีนของนักดนตรีเปิดหมวกแว่วหวานมาจากสะพานชาร์ล โจเซฟรับรู้ถึงความสั่นสะเทือนที่ส่งทอดไปยังก้อนอิฐเย็นชื้นทุกก้อน ดอกหญ้าทุกดอก ก่อนลามเข้าสู่หัวใจชายชรา
เขาร้องไห้อีกครั้ง
นานเท่าไหร่ไม่รู้ โจเซฟกลายเป็นรูปหินอ่อนแกะสลัก น้ำตาทำให้ดอกไม้โบราณหยุดการเบ่งบาน โลกมืดดำ สายน้ำหยุดนิ่ง ไร้กาลเวลา เขาหยุดตัวเองเอาไว้เพื่อประหยัดน้ำตา ขอฟื้นตื่นอีกครั้งตอนระฆังบอกเวลาบนหอนาฬิกาดาราศาสตร์ดังขึ้นในชั่วโมงต่อไป
“ดอกพุดภูเก็ตบานแล้ว…”
เสียงใสคุ้นหูปลุกชายชรา เขาสะดุ้งเฮือก ราวผุดขึ้นจากห้วงน้ำลึกตอนกำลังจะหมดลมหายใจ
มองหารอบตัว ไม่มีใครอีกเช่นเคย
มีแต่กลีบพุดสีเหลืองหม่นบนพื้นถนนห่างออกไปราวสามเมตร
ไม่มีละไม
ซิมโฟนียังบรรเลง โจเซฟไม่เคยลืมกลิ่นเสียงของงานฉลองนักบุญบาร์บาร่า ก่อนคริสต์มาสอีฟปีที่ยี่สิบห้าของเขา หญิงสาวแห่งเอเชียกระซิบบอกมาตามแมสเซนเจอร์
“พุดภูเก็ตบานแล้ว ฉันจะแต่งงานกับคุณ”
โจเซฟประคองกลีบดอกหม่นไว้ในอุ้งมือ เขานิ่งมองมันเนิ่นนาน
คนหนุ่มสาวพบกันใต้หง่อคากี่ บอกรัก แต่งงาน ร่วงโรยและสูญสลาย เป็นเรื่องปกติของเกาะภูเก็ต คืนนั้นเป็นคิวของโจเซฟและละไม อาจมีบางอย่างต่างออกไปเล็กน้อย ฟ้าเต็มไปด้วยดาว ไร้เม็ดฝน โจเซฟ, นักดนตรีจากยุโรปกลาง ผู้ตุปัดตุเป๋มายังประเทศไทยหลังจากคนรักร่วมชาติกลายเป็นอากาศธาตุ โชคชะตาพาเขามาพบกับละไม สาวพื้นเมืองที่ดีดตัวออกมาเป็นนักร้องกลางวงคนชั้นกลางและชั้นกลางสูง มีคนเตือนเกี่ยวกับพื้นหลังของละไม เขาจะพาตัวเองล่มสลาย โจเซฟคิดว่าคำเตือนพวกนั้นไร้สาระสิ้นดี สำหรับเขา ความลับหนึ่งเดียวของละไมคือกลิ่นของเธอหอมเหมือนดอกไม้
มีรายละเอียดบางอย่างต่างออกไปเล็กน้อย โจเซฟจำได้ว่าแม้งานแต่งจะอยากถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย แต่โจเซฟกับละไมก็โต้เถียงกันนิดหน่อย แม้ไม่เคยเห็นแววตาและสีหน้าของละไมขึ้งเครียดขนาดนั้นมาก่อน แต่โจเซฟไม่คิดว่าเป็นสิ่งน่ากังวล การแต่งงานไม่ใช่เรื่องที่จะผ่อนคลายนัก โดยเฉพาะหญิงสาวที่กำลังจะเปลี่ยนชีวิตไปเป็นอีกโลก
อาจเป็นเพราะดอกไม้ ใช่ อาจเป็นเพราะดอกไม้ โจเซฟคิด เธอต้องการโทนสีขาวเหมือนกลีบสาวของดอกพุดภูเก็ต ดอกไม้พื้นเมืองชนิดนี้แรกแย้มมีสีขาวนวล ส่งกลิ่นหอมทั้งวัน ก่อนจะกลายเป็นสีเหลืองและโรยราภายในวันเดียว เธอเกิดมาพร้อมกลิ่นหอมจรุงของมัน วันสำคัญที่สุดของเธอควรเป็นของดอกไม้ชนิดนี้ด้วย เธอยืนยันอย่างนั้น
ขณะเดียวกัน เขาอยากให้ทั้งหาดกมลาถูกแทนที่ด้วยกุหลาบสีแดง เธอขึ้นเสียงพอสมควร โจเซฟหยุดเสียเอง ด้วยนึกขึ้นได้ว่าเขากับเธอเหนื่อยและเครียดกับการจัดเตรียมงานมามากพอแล้ว โจเซฟนิ่งไปหลายนาที ขณะละไมวิ่งออกไปคร่ำครวญกับน้ำทะเล โจเซฟครุ่นคิดถึงเค้าลางบางอย่างในอนาคต แวบหนึ่งเขาคิดถึงจำนวนเต็มของตัวโน้ตนับล้านบนโลก ที่เริ่มจากความผิดพลาดของการตัดสินใจแต่งงานกับกุญแจซอล เขาถามตัวเองว่ารักเธอหรือเปล่า ก่อนสลัดความคิดไร้สาระออกไปจนหมด เขารักเธอ ก็แค่นั้นเอง
โจเซฟให้เธอเป็นธุระเรื่องการติดต่อนักดนตรีเปิดหมวก เธอรู้จักทุกวงในเกาะภูเก็ต เลือกเอาสักวงที่พร้อมรับค่าจ้างเพื่อเล่นซิมโฟนีหมายเลข 9 “From the New World” เติมเต็มให้ความฝันของหญิงสาว
“ไม่ต้องสมบูรณ์แบบเหมือนวงซิมโฟนีออร์เคสตร้าที่ใช้เครื่องดนตรีทุกประเภทในการเล่น ทั้งเครื่องสาย เครื่องลมทองเหลือง เครื่องลมไม้และเครื่องตี หรอกค่ะ ฉันขอเพียงหัวหน้าวงไม่จุกจิกแบบพวกล่าอาณานิคมและคนแก่ขี้เมา สามารถควบคุมวงเล่นจบทั้งสี่มูฟเมนต์ งานแต่งของเราจะสมบูรณ์แบบพร้อมกับโน้ตดนตรีตัวสุดท้าย…”
นั่นเป็นความใฝ่ฝันเนิ่นนานของเธอ
หนึ่งสัปดาห์ก่อนแต่งงาน โจเซฟรับรู้ว่ามีอย่างหนึ่งที่รบกวนจิตใจเธอนิดหน่อย ละไมเล่าว่าพ่อของเธอคลั่งใคล้ ดโวฌาก ในปี 1969 ปีเกิดของเธอ เป็นปีที่นาซ่าส่ง ยานอพอลโล่ 11 เดินทางสู่ดวงจันทร์ นีล อาร์มสตรอง นักบินอวกาศนำแผ่นเสียงเพลงซิมโฟนีหมายเลข 9 “New World Symphony” ติดยานไปด้วยเพื่อซ่อมแซมวิหารแห่งความโดดเดี่ยวของนักบิน
ตอนนั้นพ่อของเธอเฝ้าดูการถ่ายทอดสดของนาซ่า ทิ้งแม่กับเธอซึ่งยังเป็นก้อนเนื้อหยุ่นๆ สีชมพูไว้บนเตียงโรงพยาบาล
“พวกเขาฉกฉวยทุกอย่างไปจากฉันในวันเกิด และดูสิ…เพลงบ้านั่นมันควรเป็นเพลงของเราในวันแต่งงาน” เธอพูด
แนวคิดของเธอ รบกวนจิตใจเขาเช่นกัน เขาคิดว่าเรื่องเล็กน้อยแค่นี้เธอไม่น่าหยิบจับมาใส่ใจ
พวกนักบินอวกาศผิดอะไร ไม่มีใครในโลกที่สมบูรณ์แบบ
“มันเป็นเพลงของเราใช่ไหม ใช่ มันควรเป็นเพลงของเรา”
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายหาดกมลาก็ถูกประดับไปด้วยผ้าฝ้ายสีขาวนับร้อยผืน พวกมันพลิกพลิ้วไปตามกระแสลม หลังเสร็จพิธี ขณะโจเซฟสวมกอดและละเลียดกลิ่นดอกพุด เขาเห็นละไมยิ้มอย่างพึงใจ ก่อนหัวเราะลั่นนานหลายนาที และโดยที่โจเซฟไม่เข้าใจ เธอกลับหยุดเคลื่อนไหวร่างกาย นิ่งเงียบเป็นรูปปั้น และสะอื้นเบาๆ
โจเซฟตกใจ นี่สินะ ความแปรปรวนของน้ำทะเล
ฉันเกลียดคนพวกนั้น ฉันเกลียดคนพวกนั้น เธอย้ำข้อความกับเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากนั้นละไมเริ่มสวดมนต์เป็นภาษาพื้นเมือง หัวเราะ สลับกับร้องไห้คร่ำครวญ
โจเซฟต้องการพาละไมมายังบ้านเกิด เขาบอกว่ามีเงินก้อนหนึ่งพร้อมจะยกให้ครอบครัวของเธอ ละไมลังเล ไม่แน่ใจในข้อเสนอนี้ เธอร้องไห้ บอกกับเขาว่าแม่กับพ่อของเธอจะถูกทิ้งอย่างเดียวดาย โจเซฟคิดว่าแผ่นดินเช็ก แม่น้ำวัลตาว่า และหมอกหนาวอาจทำให้เธอสงบลง เขาสัญญาว่าทุกปีจะพาเธอกลับไปยังเทศกาลดนตรีที่บางลา เกาะภูเก็ต
น้ำในแม่น้ำยังไหลไป ดอกพุดหอมจางลง โจเซฟรู้ว่าสักวันความเหี่ยวเฉาจะยึดครองลมหายใจของพวกเขาทั้งคู่ และของทุกคนบนโลก เขาพร้อมทำใจแต่ไม่ใช่ตอนนี้
ความรักที่ดื้อดึงกลายเป็นรากเหง้าของความเหนื่อยหน่าย เดือนปีที่ผ่านไปทำให้โจเซฟรับรู้เครื่องตีให้จังหวะของเธอที่บรรเลงขึ้นมาในรูปของอาการย้ำคิดย้ำทำ ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง ไม่ใช่แค่วันสองวัน แต่เขารู้ว่ามันจะเป็นไปอย่างนี้ทุกวันตลอดหลายสิบปีของชีวิตคู่ หรือจนกว่าแม่น้ำจะกลายเป็นน้ำแข็งในฤดูหนาว
เขารู้ พ่อของละไมเป็นฟิลิปปิโนผู้ไม่ไยดีการเมืองเท่าศิลปะดนตรี ก่อนนี้อเมริกากับฟิลิปปินส์เหมือนพ่อกับลูก ห้าสิบปีที่ฟิลิปปินส์อยู่ภายใต้การปกครองของอเมริกา ก่อนมาร้าวฉานและตัดขาดกันเพราะนโยบายการปราบปรามยาเสพติดของโรดดิโก ดูเตอร์เต้ ประธานาธิบดีที่สังหารชาวฟิลิปปินส์ไปมากกว่าหกพันชีวิต
เป็นความผิดของเขาเอง ด้วยความเหนื่อยหน่ายและไม่รักษาสัญญา เป็นเขาเองที่ทำลายดอกพุดพื้นเมือง เขาทุบทิ้งด้วยก้อนอิฐทีละก้อน เขาพาละไมข้ามน้ำข้ามทะเลหลายพันไมล์จากไกลบ้านเกิด แต่ทุกปีโจเซฟกลับปล่อยให้เธอนั่งเครื่องบินกลับประเทศไทยอย่างโดดเดี่ยว เขารู้ ละไมจะถูกกลืนหายไปในเทศกาลดนตรีซอยบางลาตามลำพัง และคืนนั้นเธออาจทอดกายให้ใครสักคนที่ไม่รู้จัก ขณะตัวเขาเองขับรถไปยังเชสกี้ครุมลอฟ ยืนฟังเสียงระฆังบนหอนาฬิกาดาราศาสตร์ และเฝ้าแต่ครุ่นคิดถึงระยะห่างจากโลกไปยังดวงจันทร์ คิดถึงรอยเท้าแรกของอาร์มสตรอง โจเซฟมองเห็นความลึกลับเวิ้งว้างบนด้านมืดของดวงจันทร์ที่ถ่างเขากับเธอออกไปทุกที
และเขาคิดถึงตุ่มนูนบนฝ่ามือและในช่องปากของละไม
ตุ่มพวกนั้นแตกตัวเป็นผื่น โจเซฟสังเกตเห็นกระจุกเส้นผมที่มากขึ้นตรงฝารูระบายน้ำ และลดน้อยลงบนหัวของเธอ ละไมชอบท่องคาถาแปลกๆ ขณะเดียวกันกลับหลงๆ ลืมๆ เธอพร่ำหัวเราะ ร้องไห้ ตีอกชกตัว ไม่แตะต้องอาหารและไม่ยอมให้เขาแตะต้องร่างกาย
แม่น้ำวัลตาว่ายังคงไหล โจเซฟมองเห็นวิญญาณเศร้าโศกมากมายลอยไปตามน้ำ
โจเซฟตั้งคำถามที่ไร้คำตอบ หากย้อนเวลาไปเคลื่อนย้ายจุดเล็ก ๆ ที่ทำให้ทั้งสองพบเจอ ชีวิตเขาจะเป็นอย่างไร หรือให้ไกลกว่านั้น หากเขาย้อนเวลาไปยับยั้งการกำเนิดของตัวเอง แล้วจะมีตัวเขาเกิดมาเพื่อกลับไปยับยั้งการกำเนิดของตัวเองได้อย่างไร
หรือแท้แล้ว เขาแค่คนขี้ขลาดที่ยังตอกตรึงตัวเองไว้ในโลกเก่า ทั้งที่รู้ว่าในโลกใหม่ไม่มีใครย้อนเวลากลับไปข้างหลังได้ มีแต่จะต้องดำเนินไปข้างหน้า เหมือนซิมโฟนีที่บรรเลงไปบนยานอพอลโล่ 11 ขณะเคลื่อนไปยังดวงจันทร์
ละไมมองโลกอย่างพร่ามัว ไม่ใช่พร่ามัวในจิตใจ แต่พร่ามัวในดวงตาจริงๆ ของเธอ การหยิบจับข้าวของในบ้านเป็นหน้าที่ของเขา การก่นด่าเป็นหน้าที่ของเธอ หมอบอกว่าตาเธออาจจะบอดในไม่นาน เป็นอาการต่อเนื่องจากโรคประจำตัว
“คุณเป็นโรค...” หมอแจ้งผลการตรวจไม่ทันครบประโยค ละไมกระโจนออกจากโรงพยาบาล ซมซานไปยังแม่น้ำก่อนตะโกนใส่ตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ฉันเป็นโรค...! ฉันเป็นโรค...!
โน้ตตัวขาวกลายเป็นเขบ็ตสองชั้น หลายสิบหลายร้อยตัว จับก้อนเป็นริทึ่มหนักหน่วงและเกรี้ยวกราด ละไมเข้านอนแต่หัวค่ำเพื่อลุกขึ้นมากรีดร้องตอนเที่ยงคืน ฟุบลงไปกับที่นอนอีกครั้งและละเมอหาบ้านเกิดตอนใกล้สว่าง
“ฉันอยากกลับบ้าน…”
“ส่งฉันกลับบ้าน ฉันจะไปจัดการไอ้พวกนักบินอวกาศงี่เง่า”
โจเซฟรู้สึกว่าโลกมืดดับ เขามองหาที่นั่ง ทุกอย่างดำมืดไปหมด หาไม่เจอแม้กระทั่งตัวเอง
-------------------------------------------------
“มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าคะ…”
เสียงใสคุ้นหูปลุกโจเซฟ ชายชราสะดุ้ง เหงื่อตก มือเท้าเย็นไปหมด โลกกลับจากด้านมืด ทุกอย่างรอบตัวเป็นสีน้ำตาลหม่น โจเซฟรู้แล้ว ไม่มีใครอยู่แถวนั้นเช่นเคย มีแต่ชายอายุหกสิบสองกับความทรงจำสีพาสเทล เขาหันไปทางที่มาของเสียง กลีบพุดภูเก็ตคงร่วงอยู่ตรงนั้นเช่นเคย
แต่คราวนี้ต่างออกไป…
หญิงสาวผิวเหลืองซีด รูปร่างบอบบาง ยืนยิ้มให้กับเขาพร้อมอ้าแขนรับการโอบกอด
ชายชราตะลึงงัน ละไมยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว
ผวากอดหญิงคนรัก เตรียมเอ่ยคำขอโทษ
“ผม.....”
ทว่า โจเซฟพบเพียงอากาศเย็นชื้นกับดอกไม้เหลืองหม่น เดียวดาย บนพื้นถนนเฉอะแฉะ
ซิมโฟนีหมายเลข 9 “From the New World” ของ Antonin Dvorak ล่องลอยมาจากแสนไกล
จากนั้น ชายชรายินเสียงระฆังบอกเวลาจากหอนาฬิกาดาราศาสตร์
สั่นไหว เนิ่นนาน..