Fragment Of Memories
โดย พิชญ อนันตรเศรษฐ์
มันกระจัดกระจายเต็มไปหมด ความทรงจำประเภทที่ทำให้เชื่อนักหนาว่า มันคือเรื่องจริง ทว่ามันอาจเป็นเรื่องจริงที่กำลังถูกหล่อเลี้ยงด้วยความมดเท็จ
ในความมืด เป็นความมืดที่เหน็บหนาวด้วยอุณหภูมิ 19 องศา เย็นสบายภายหลังจากการเดินทางตลอดทั้งวัน จากกรุงเทพจนถึงความมืด ณ ขณะนี้ คุณกำลังนอนอยู่บนเตียงขนาดคิงไซส์และไม่ได้นอนเพียงลำพัง คุณพบว่าตัวคุณเองกำลังนอนหันข้างเธอ และเธอก็กระทำเช่นเดียวกันเพื่อหันมองคุณ ในความมืด แม้แต่ตัวคุณเองก็มองไม่เห็นระยะห่างที่กำลังค่อยค่อยหายไป
ในแสงสว่างที่แทงทะลุม่านเข้ามา คุณตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกเหนียวเหนอะเพราะเหงื่อที่รินไหล หยิบคว้าโทรศัพท์ข้างหัวเตียง พบว่านี่มันเป็นเวลาเกือบสิบโมงครึ่ง อีกทั้งก็พบว่าข้างเตียงของคุณนั้นเหลือแต่ความยับย่นของผ้านวม คุณจึงลุกขึ้นแล้วเดินลงไปชั้นล่าง คุณพบเธอนั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟา เธอตะโกนด่าคุณว่าให้ไปใส่เสื้อ เธอเกลียดการเปลือยท่อนบนในบ้านหลังนี้ แต่คุณเองก็กำลังมองเห็น ว่าเธอกำลังร้องไห้
ค่ำคืนที่อาบไปด้วยแสงสีเหลืองในร้านหนังสือที่แถบจะไม่มีคน นั่นเพราะมันเป็นค่ำคืนวันพุธ มีแค่คุณ เธอ พี่เจ้าของร้านที่ทั้งคุณและเธอสนิท เพื่อนของเธออีกคน นั่งล้อมวงดื่มเหล้าบ๊วยที่หมักครบรอบปีในคืนนี้ คุณได้แต่กระดกเข้าไปหมดช๊อต แล้วเฝ้ามองรอยยิ้มเปื้อนสีลิปกลอสแท่งใหม่ แล้วเธอก็หันมาหาคุณอย่างฉับพลัน บอกให้อยู่นิ่งนิ่ง ทาลิปกลอสลงบนริมฝีปากของคุณพร้อมเสียงหัวเราะที่เจือปนในอากาศ แล้วเธอก็ถ่ายเซลฟี่กับคุณ แก้มแนบแก้ม และนั่นคือครั้งแรกในชีวิตที่ทั้งคุณและเธอได้สัมผัสซึ่งกันและกัน
เบื้องหน้าของคุณ คือกลุ่มคนราวๆ 4-5 คน เบื้องหลังของคุณคือภาพถ่ายที่ถูกปริ้นต์และติดตั้งบนฝาผนังแกลเลอรี่่แห่งหนึ่งที่คุณเองก็เคยมาเมื่อไม่นานนี้ แต่คุณเลือกที่จะปิดปากเงียบๆเมื่อเจ้าของแกลเลอรี่จำคุณไม่ได้ ไม่มีประโยชน์ที่จะรื้อฟื้นความทรงจำในวันนั้น คุณเริ่มต้นอ่านบทกวีที่มีความยาว 8 หน้ากระดาษ ตั้งชื่อว่า “ประเทศคุณ” คุณอ่านด้วยการตะเบ็งเสียง รีดพลังชีวิตให้ทับถมลงไปในทุกคำที่ได้เปล่งออกมา คุณตั้งใจอ่านราวกับว่าเธออยู่ที่นี่ แต่เธอจะไม่มีวันมาที่นี่ในวันนี้ คุณเห็นสเตตัสที่เธอได้เขียนเอาไว้เมื่อช่วงเย็น เธอเขียนว่า “อยู่บ้านดีกว่า ไม่อยากออกไปเจอสิ่งทุเรศข้างนอก”
ระยะห่างหายไปในที่สุด ภายในความมืดนั้น คุณใช้ริมฝีปากคลำหาใครซักคน ไม่นานคุณก็เจอ ริมฝีปากได้รับการตอบสนองจากอีกริมฝีปาก มือข้างซ้ายของคุณบรรจงแตะแก้มของเธอโดยบางเบา คุณค่อยค่อยกดรอยจูบลงไปอย่างเชื่องช้าแม้ว่าภายในใจจะสั่นระรัวแทบระเบิด คุณรอคอยจูบนี้ คุณรอคอยแววตาที่กำลังพริ้มหลับให้เข้าใกล้จนปลายจมูกได้เฉียดและเขี่ยซึ่งกันและกัน คุณรู้สึกได้ว่าเธอกำลังมีรอยยิ้มปรากฎในขณะที่ต่างก็กำลังจูบโดยไม่ผ่อนจังหวะลง คุณเองก็มีรอยยิ้มเช่นกัน แต่ที่เธอจะไม่มีวันรู้ก็คือ น้ำตาที่คุณรีบใช้มือเช็ดออกอย่างรวดเร็ว มันคงเป็นน้ำตาของการรอคอยที่เพิ่งจะสิ้นสุดลง คุณคิดว่ามันเป็นเช่นนั้น
เธอนั่งกอดเข่าบนโซฟา ระเบิดเสียงร้องไห้ แต่ก็เหมือนจะรีบกลืนเสียงกรีดร้องเหล่านั้นลงคอ แล้วใช้มืออันสั่นเทาควานหายาต้านซึมเศร้า คุณทำอะไรไม่พูดหลังเดินลงมาจากห้องนอนพร้อมกับร่างกายที่มีเสื้อห่มคลุม คุณเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบน้ำมาให้ดื่ม คุณค่อยๆเรียบเรียงคำพูดและเริ่มถามถึงสิ่งที่ทำให้เธอกลายเป็นเช่นนี้ เธอหันหน้ามามองคุณช้าๆ แววตาแดงก่ำและชอกช้ำ คุณรับรู้ถึงสิ่งที่ได้พลั้งเผลอ ได้หลงลืม เธอเอ่ยออกมา ยืดยาวและถาโถม แต่ทั้งหมดนั้นทำให้คุณได้รู้เสียที คุณคือต้นเหตุทั้งหมด
การคิดถึงเธอทำให้คุณร้องไห้แทบจะตลอดเวลา แต่การได้เขียนถึงเธอทำให้คุณได้ปลดปล่อย เพราะคุณตระหนักดีว่า การเขียนคือการปลอบใจตัวเอง ด้วยความจริงที่คุณได้หล่อเลี้ยงไว้ด้วยเหล่าคำโกหกมากมาย คุณสร้างเธอขึ้นมาในพื้นที่ของคุณ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องทนกับการต้องพบว่าตัวเองกำลังแอบลอบมองเธอในโลกแห่งความเป็นจริงที่จะไม่มีวันเป็นจริงสำหรับคุณ วันนี้เธอเพิ่งจะลงรูปการกุมมือของเธอเองกับใครซักคน เป็นวันเดียวกับที่คุณเริ่มเขียนไปได้เกือบครึ่งทางแล้ว
บนรถที่กำลังแล่นไปด้วยความเร็วบนถนนสายย่อยแห่งหนึ่ง เบื้องหน้าคุณมองเห็นภูเขาสูงทอดยาวขนานไปกับขอบฟ้า แต่คุณเลือกที่จะมองด้วยความเงียบ คุณเงียบมาตลอดทางตั้งแต่ออกจากบ้านของเธอ แม้ว่าเธอจะนั่งข้างคุณอยู่ในฐานะคนขับ มีเรื่องราวที่ใกล้จะปะทุออกมา แล้วเธอก็เป็นฝ่ายเริ่มพูด เธอไม่เข้าใจว่าเมื่อคืนนั้นคุณเป็นบ้าอะไร ทั้งการเปิดทีวีเสียงดังจนเธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะประสาทเสียและอาจจะนำไปสู่การกระโดดลงมาจากระเบียงห้องนอน เธอรีบโทรหาจิตแพทย์เจ้าของไข้ของเธอ ในขณะที่คุณยังมัวแต่สนุกสนานกับการดูหนังเรื่องโปรดอยู่ที่ชั้นล่างของบ้านโดยไม่สนใจว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น คุณเอ่ยปากขอโทษพร้อมกับบอกว่าเมื่อคืนมันเป็นเพราะความเมามาย แต่นั่นไม่เท่ากับบางสิ่งหลังจากนั้น เธอพูดด้วยเสียงสั่นเครือถึงผลกระทบของการกินยาคุมกำเนิด เธอไม่เคยหวาดกลัวอะไรเช่นนี้มาก่อน คุณอยากจะกล่าวขอโทษอีกครั้ง ทว่าก็ตระหนักถึงการที่จะต้องขอโทษราวกับไร้ที่สิ้นสุด คุณอยากจะกุมมือเธอที่กำลังจับพวงมาลัยด้วยความตึงแน่น เธอพูดว่าเดี๋ยวมันก็คงจะดีขึ้น ก่อนจะเลี้ยวรถเข้ามาจอดบริเวณที่จอดรถของคาเฟ่แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ใกล้กับพื้นที่ติดอ่างเก็บน้ำของเขื่อนแห่งหนึ่ง
มันเป็นเวลาที่ใกล้จะมีแสงของวันใหม่อาบทอท้องฟ้า แต่คุณก็ยังไม่ได้วางสายจากเธอ เวลานี้คุณง่วงเต็มที่ แต่ก็เหมือนจะลืมไปเสียสิ้นว่าเหตุใดจึงสามารถคุยกับเธอได้ตลอดทั้งคืน ในที่สุดคุณก็เอ่ยบอกปลายสายว่าควรจะแยกย้าย แต่คุณก็ยังมีความสุขเสมอที่ได้ยินเสียงของเธอ ปลายสายส่งเสียงหัวเราะออกมาบางเบา ถามเพียงแค่ว่าอยากฟังเพลงอะไร เธอจะร้องให้ฟัง คุณกล่าวแค่ว่าเพลงอะไรก็ได้ แล้วจากนั้นคุณจึงค่อยค่อยหลับตาลง พร้อมกับเสียงร้องเพลงที่คุณเองก็จำไม่ได้ว่าเพลงของใคร นั่นเพราะคุณสนใจที่จะจดจำแค่ว่า เพลงนี้เธอเป็นคนร้องให้คุณฟัง
.
คุณเดินอยู่ที่ริมอ่างเก็บน้ำ มองริ้วคลื่นและพวยควันที่พุ่งขึ้นไปสูงจนแทบจะมองไม่เห็นปลายทาง คุณจำได้ว่าเวลานี้เป็นช่วงที่แต่ล่ะพื้นที่ในแถบอีสาน กำลังจัดงานบุญบั้งไฟ คุณเหม่อมองอยู่เพียงลำพัง หันหลังมองหาเธอ เห็นเพียงแค่เธอที่กำลังยืนเล่นกับหมาพันธุ์ทางที่อาศัยอยู่บริเวณลานจอดรถของคาเฟ่แห่งนี้ คุณแค่อยากมีเธออยู่ใกล้ใกล้ คุณหวังเพียงการได้มีโอกาสที่จะได้แก้ไขในสิ่งที่ตัวเองได้เผลอทำ แต่นั่นมันก็เป็นความรู้สึกแบบแบ่งรับแบ่งสู้ ด้วยความไม่รู้ว่าคุณจะได้รับโอกาสที่ว่านั่นอีกครั้งไหม
เช้ามืดหลังจากที่คุณและเธอไม่ได้คุยกันเลย และคุณเองก็คิดถึงเธอจนแทบบ้า ในที่สุดเธอก็ส่งข้อความมา คุณอ่าน แล้วคุณก็รู้สึกได้ถึงน้ำตาที่คุณมองไม่เห็น คุณรับรู้ได้ว่าคุณได้เป็นตัวร้ายในชีวิตใครซักคนไปแล้ว มันจบแล้ว คุณทำได้แค่การจะรักษาสัญญาว่า ต่อไปนี้คุณจะหายไปจากชีวิตของเธอตลอดกาล นั่นเป็นสิ่งเดียวที่คุณทำได้ เป็นสิ่งเดียวที่คุณสร้างขึ้นมาเพื่อที่จะถูกใช้นับจากนี้เป็นต้นไปว่า คุณยังเป็นคนดีที่รักษาคำมั่นสัญญา แม้ว่านั่นจะเป็นความจริงที่ถูกหล่อเลี้ยงด้วยคำโกหกของตัวคุณที่มีต่อตัวคุณเองก็ตาม
เธอกดติดตามเพจของคุณ คุณเองก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าคุณและเธอเคยเจอกันเมื่อไหร่ แต่ก็พอจะเดาได้ว่า คงเริ่มจากการไปอ่านบทกวีที่ร้านหนังสือร้านนั้น คุณจำได้แค่ว่าคุณดื่มไปพอสมควร ทำตัวเละเทะพอประมาณ เธออาจจดจำคุณจากภาพความตลกที่ได้เห็น คุณกดดูรูปโปรไฟล์ของเธอ ต้องตาต้องใจกับความน่ารัก คุณจึงอยากลองชวนเธอไปดื่มกาแฟ แต่เธอเป็นฝ่ายเริ่มก่อน คุณกับเธอจึงได้พบกันในอีกไม่กี่วันต่อมา ดื่มกาแฟกันคนละแก้ว พูดคุยกันราวกับมีเรื่องให้คุยเยอะแยะมากมาย ซึ่งนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่คุณตกหลุมรักเธอ เริ่มอยากจะก้าวเข้าไปในชีวิตของเธอ
ก่อนที่คุณจะเดินออกจากบ้าน ไปขึ้นรถที่เรียกผ่านแกร๊ปเพื่อจะมุ่งหน้าไปยังสถานีขนส่ง ความรู้สึกขุ่นมัวบางอย่างยังไม่จางหาย ยังมีหลายเรื่องที่ยังค้างคา คุณจึงเดินตรงไปหาเธอที่กำลังนั่งดูมือถือบนโซฟา ก้มลงจูบหน้าผากของเธอ เอ่ยบอกเพียงว่าคุณจะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นเพื่อเธอ เธอตอบกลับไปว่าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น เพราะต่างก็ไม่มีวันรู้ว่าในอนาคตคุณและเธอจะยังอยู่ด้วยกันเช่นวันนี้ หรือไม่ในอนาคต คุณและเธออาจจะไม่มีวันกลับมาคุยกันอีก ไม่ก็อาจเกลียดกันไปเลยก็ได้ คุณได้แต่ยิ่มโดยไม่เอ่ยอะไรออกมา หอมแก้มเธอ แล้วจึงเดินออกจากบ้าน ทั้งที่ในใจก็จะคอยค้านสิ่งที่เธอได้ว่ามา คุณจะพิสูจน์ให้เธอได้เห็นเอง
คุณพยามจะเค้นทุกเสี้ยวส่วนที่แตกสลายเพื่อนำมาประกอบกัน คุณตั้งใจจะประกอบขึ้นมาใหม่ในฐานะเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง แต่แน่นอน แม้แต่เทคนิคแบบคินสึงิก็ไม่สามารถใช้ได้กับความทรงจำก้อนนี้ คุณไม่กล้าพอที่จะนำเรื่องที่คุณไม่อยากให้ใครรู้เอากลับเข้ามาเป็นส่วนประกอบ มันมีมากกว่านั้น และคุณก็ได้ทำสิ่งนี้ขึ้นมาเหมือนการเป็นโจรปล้นสุสาน ไม่มีประโยชน์อะไรต่อใคร แต่ทั้งหมด คุณจะเขียนขึ้นเพื่อการไม่ปฎิเสธใดใดอีกต่อไป บาดแผลย่อมเป็นบานแผลเสมอต่อให้จะแต่งแต้มเช่นใด
คุณกลับไปหาจุดเริ่มต้นอีกครั้ง อยากลองถามอีกซักครั้งว่าถ้าเริ่มใหม่ได้ คุณจะทำเช่นที่ได้กระทำมาหรือไม่ คุณจะแก้ไขเช่นใด คุณจะเป็นเช่นใดหากว่าได้แก้ไขสำเร็จ จินตนาการหลังจากนี้จะเป็นเช่นใดสำหรับคุณ
ไม่มีคำตอบ ไม่มีทางที่คุณจะล่วงรู้ คุณทำได้แค่ต้องมีชีวิตต่อไป ต่อให้คุณจะเป็นตัวอะไรก็ตามสำหรับคนอื่น บาดแผลจะมีความเป็นนิรันดร์ไม่ต่างกับความจริงและความทรงจำ ไม่ว่าคุณกำลังใช้ความมดเท็จประเภทใดหล่อเลี้ยงอยู่
|