¦ ¦ ¦ ¦


ฉบับที่ 21 : ประจำวันที่ 1 ตุลาคม 2568


รอยร้าวที่ไม่มีเสียง
โดย โกโก้ร้อน


บทนำ


เสียงข้อความดังขึ้น แจ้งเตือนการนัดหมาย
เย็นวันนี้ฉันต้องไปเจอเขาเพื่อทำหน้าที่คนสนิทที่มีศักยภาพพอจะช่วยในการตัดเลือกคนเข้ามาทำงานในบริษัทของเขาได้ หน้าจอโทรศัพท์เด้งข้อความจากเขาในไม่กี่หน้าที่หลังจากเสียงเตือนนัดพบว่า ฉันอาจจะต้องเจอหล่อนที่เคยสนิทกับฉัน นั่นจึงทำให้ฉันตระเตรียมใจไว้บ้าง และคิดว่าความสนิทของฉันและหล่อนในเมื่อก่อนคงไม่ทำให้เราทั้งคู่ฟาดสายตาหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งใส่กันแน่นอน
ฉันขับ SUV คันดำเข้ามาจอดยังลานจอดรถที่หมาย ทันทีที่ฝีเท้าก้าวลงจากรถ ความหนักแน่นในอกก็ปะทุขึ้นตามจังหวะการเคลื่อนไหว แม้ว่าใบหน้ายังคงนิ่งสงบแต่ภายในใจราวกับอยู่บนคลื่นในมหาสมุทรมราเพียงฉันคนเดียว
เสียงแรกที่ได้ยินไม่ใช่เสียงของเขา... แต่เป็นเสียงของน้องสาวหล่อน
“พี่กี้ สวัสดีค่ะ” น้ำเสียงผ่านหน้ากากอนามัย ฟังดูเหมือนจะเรียบร้อย แต่ดวงตาของน้องสาวหล่อนชัดเจนกว่านั้น มันวาวและแผ่วลงไปด้วยเรื่องราวและบางคำถามที่ดูเหมือนกลืนลงคอไปเสียก่อนจะเอ่ย
ฉันยิ้มบาง ๆ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น “ปิดหน้าปิดตาซะมิดเลยนะ” แล้วเดินนำออกไป
มหาสมุทรความคิดเริ่มถาโถมใส่ฉันหลังจากที่ได้เห็นแววตานั้น ถึงแม้ว่าเท้ากำลังก้าวอยู่ตลอด แต่ภาพในสมองหยุดอยู่ที่แววตานั่น มันเป็นดั่งสัญญาณยกธงแดงขึ้นเหนือศีรษะแล้วกดลงต่ำสู่พื้นดิน พร้อมกับมีเสียงแผแว๊ดคำว่า เริ่ม! จากหล่อนทั้งคู่
ฉันไม่ได้อยากลงไปเล่นในเกมส์ของพวกหล่อน และไม่อยากหันไปเจอหล่อนที่อาจกำลังยืนอยู่ด้านหน้าซุ้มขายอาหารที่หล่อนดูแลอยู่ ฉันจึงทำตัวเป็นดั่งม้าที่ใส่แผ่นบังคับสายตา ไม่ลอกแลก ไม่วอกแวก มองตรงไปที่จุดหมาย นั่งลงข้าง ๆ เขาในทันที
แปลกดี นี่เป็นครั้งแรกในรอบปีที่เราได้พบหน้ากันอีกครั้งแต่ความรู้สึกในอกมันกลับไม่มี “ความคิดถึง” อยู่เลย ทั้งที่เมื่อก่อนเรานัดเจอกันอาทิตย์ละ 1 วัน หล่อนมักจะขอให้ฉันพาไปนั่งชิมกาแฟที่คาเฟ่ต์ใหม่ ๆ และอาทิตย์ไหนที่ฉันหรือหล่อนไม่ว่าง เราสองคนจะรีบหาเวลามาเจอกันให้ได้ ด้วย “ความคิดถึง”
ฉันนั่งทิ้งระยะห่างจากเขาพอประมาณ ไม่ใกล้พอจะดูอ่อนแอ แต่ก็ไม่ห่างจนดูเหมือนไม่มีอะไร
โดยปกติความเงียบข้างตัวเขาจะให้ความรู้สึกปลอดภัย แต่ในวันนี้มันกลับกลายเป็นกำแพงที่ฉันมองไม่เห็น
ฉันก้มดูโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือพยายามร้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนที่กำลังออนไลน์ในเฟสบุ๊คอยู่ตอนนี้ แต่พอฉันเริ่มที่จะพิมพ์อะไรลงไปนิ้วของฉันกลับแข็งทื่อไปซะอย่างนั้น
หล่อนเริ่มขยับเข้ามาอยู่ในระยะหางตาของฉัน มันเป็นเพียงเงาลางที่ส่งความรู้สึกราวกับมีสายตาของคนนับพันยืนถือมีดกำลังจ้องมา
ถึงครานี้มือที่พิมพ์ไม่ออกกลับมีความคล่องแคล่วราวกับถูกปลดลอค ฉันแสร้งหัวเราะจากข้อความของเพื่อนในสิ่งที่ไม่ได้ตลก พยายามทำให้ความรู้สึกทุกอย่างกลืนหายไปกับอากาศ ยังไม่ทันที่ความรู้สึกไม่ปลอดภัยจืดจางก็มีเสียงหัวเราะอีกสองเสียงแทรกขึ้นมาแทนที่ เสียงของคนสองคนที่อยู่ปลายหางตา ฉันเงยหน้าขึ้นโดยไม่ทันคิด จ้องมองไปที่พวกหล่อน สายตาประสานกันเป็นประกายไฟ ฉันไม่หลบตาและหล่อนเองก็เช่นกัน
หล่อนก้าวเท้าเข้ามาหาเขาเพื่อกระซิบกระซาบข้างหู ใบหน้าใกล้ชิด หากมองอีกฝั่งคงคิดได้ว่า หล่อนกำลังกู๊ดบายคิสกับเขาอยู่ ในตอนนี้กายหยาบของฉันยังคงนิ่งดุจหินแกร่ง แต่กายละเอียดได้ถอดออกไปนั่งอยู่บนหัวของหล่อนเรียบร้อยแล้ว
“กลับก่อนนะ จะไปกินข้าวต่อ” เสียงอ่อนออดอ้อนออกจากปากหล่อน พร้อมกลิ่นน้ำหอมที่หล่อนชอบผ่านหลังของฉันไป น้องสาวของหล่อนที่ยืนอยู่ไกล ๆ ส่งเสียงร่ำลาลอยตามมาบ้าง
เขาเงยหน้าขึ้นเพียงเล็กน้อย พยักหน้าลง แล้วกลับไปก้มหน้าทำงานต่อ
เขาแสร้งไม่ถือสาพฤติกรรมของหล่อนหรือเขาเคยชินกับพฤติกรรมนี้ของหล่อนกันนะ ฉันคิด
ฉันยังคงนิ่งเงียบอยู่ข้างเขาอย่างใจระส่ำ กำแพงที่ฉันมองไม่เห็นมันกำลังทำงาน มันสร้างตัวเองให้หนามากขึ้น จนร่างกายของฉันถอยห่างเขาออกมาอีกเล็กน้อย
“อยากเสริมอะไรไหม” เขาหันมาถาม ฉันยิ้มกลับ ยิ้มเพราะไม่รู้จะพูดอะไร ยิ้มทั้งที่ใจเริ่มสับสน ยิ้มเพราะว่าที่เขากำลังนั่งสัมภาษณ์งานตำแหน่งผู้จัดการอยู่นั้น ฉันไม่ได้ฟังอะไรเลย

1


ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ฉันจะยังยื่นมือไปช่วยเธอเหมือนเดิมไหม ความคิดนี้ผุดขึ้นมาชั่วขณะ นี่เป็นคำถามที่ฉันยังไม่สามารถหาคำตอบได้
ในเย็นวันหนึ่งของเดือนพฤษภาคมปีที่ผ่านมาหล่อนโทรหาฉัน ใช้น้ำเสียงของความอ่อนน้อมที่ฉันเคยไว้ใจและมอบมิตรภาพที่แท้จริงให้
“อยากเริ่มต้นใหม่ อยากกลับไปทำอะไรให้ตัวเองมีคุณค่าอีกครั้ง” หล่อนกล่าว เพราะที่ผ่านมาหล่อนเป็นเพียงคนเฝ้าญาติผู้ใหญ่ที่นอนติดเตียงอยู่บ้าน อีกทั้งแฟนของหล่อนยังออกไปทำงานที่ต่างจังหวัดโดยไม่มีกำหนดกลับมาหาหล่อน
ฉันจำได้ดีว่า หล่อนเคยเป็นเพื่อนที่คอยให้คำปรึกษาและชอบมีส่วนร่วมทุกสถานการณ์ในชีวิตฉัน ฉันจึงไม่ได้คิดอะไรเลยนอกจากคำว่า “เพื่อนที่ดี” ในเมื่อหล่อนต้องการความช่วยเหลือฉันจะปฏิเสธได้ลงอย่างไร
เวลานั้นมันช่างเป็นช่วงเวลาที่ประจวบเหมาะกับการที่ คนสนิทของฉันกำลังมองหาคนตรวจนับสตอคให้กับบริษัทของเขาอยู่
ในตอนนั้นฉันเพียงรู้ว่า เธอต้องการหางานทำ และฉันพอมีช่องให้ช่วยเท่านั้นเอง
ฉันจึงแนะนำให้หล่อนได้รู้จักกับเขา แน่นอนว่า การพาใครเข้ามาทำงานสักคน ฉันต้องมั่นใจและเชื่อมั่นมากพอที่จะให้เข้าใกล้เขา และ “หล่อน” คือคนคนนั้น
ในวันสัมภาษณ์งาน ฉันนั่งข้างเขาเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา โดยมีหล่อนและน้องสาวของหล่อนนั่งตรงข้าม ด้วยท่าทางสุภาพ ถามคำตอบคำ เหมือนคนที่ตั้งใจมาทำงานจริง ๆ
เขาไม่รีรออธิบายงานให้หล่อนฟังแล้วจึงให้หล่อนเสนอราคาค่าจ้าง หล่อนพูดขึ้นว่า “ไม่ได้ซีเรียสเรื่องเงินเท่าไหร่ ให้ตามสมควรก็ได้ค่ะ แบบว่า ไม่ได้ร้อนเงิน อยากให้เท่าไหร่ก็ได้ค่ะ”
ฉันเหลือบตามองหล่อนในขณะนั้น แต่ไม่ได้รู้สึกเอะใจอะไรในประโยคที่หลุดออกมาจากปากของหล่อน กลับยังรู้สึกชื่นชมความพยายามและความทะเยอทะยานในวันที่ตัวเองไม่เดือดร้อนอะไรของหล่อนอีกด้วย
เขารับฟังที่หล่อนพูดมาจนจบประโยคและไม่ได้พูดอะไรมากได้แต่พยักหน้ารับไว้ พร้อมหันมาถามความคิดเห็นของฉัน
ฉันแนะนำเพื่อนคนนี้อย่างเต็มใจ เพราะหน้าที่การตรวจนับสตอคต้องอาศัยคนที่รอบคอบและช่างสังเกตุอยู่ตลอด นั่นเป็นคุณสมบัติหลักของหล่อนที่ฉันรับรู้ตลอดมา
ไม่มีอะไรมาเตือนให้ฉันรู้เลยว่าคำแนะนำของฉันในวันนั้น มันกำลังสร้างสังเวียนระหว่างหล่อนกับฉันเรื่อยมาจนวันนี้
ไม่กี่วันให้หลัง หล่อนเริ่มขอให้ฉันนัดเจอเขาบ่อยมากขึ้น อ้างว่าต้องการคุยเรื่องงานทั้งที่เขายังไม่เริ่มให้หล่อนทำงาน ครั้งนึงที่ฉันขับรถพาหล่อนไปคุยรายละเอียดงานอีกครั้ง ฉันขอตัวกลับหลังจากคุยเสร็จ แต่หล่อนขอนั่งรถไปกับเขาสองคนเพราะอยากติดตามเขาไปศึกษางานนอกสถานที่
ฉันกลับมาถึงบ้าน - หลังจากเหนื่อยมาทั้งวันฉันอยากฟังเพลงโปรดบนโซฟาตัวโปรดและเครื่องดื่มสุดโปรด แต่เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นขัดจังหวะทุกอย่างลง
หล่อนโทรมาบอกว่า พรุ่งนี้เขาจะต้องไปทำงานต่างจังหวัดพร้อมกับเล่าเรื่องการทำงานของเขาในวันนี้ให้ฉันฟัง ฉันในฐานะคนสนิทถึงแม้เรายังไม่มีสถานะให้กันอย่างเปิดเผย แต่ในบางเรื่องฉันต้องการให้เขาเป็นคนบอกเอง ไม่ใช่หล่อนที่จะมาเป็นพรายกระซิบ
วันหนึ่ง ฉันแซวเขาเล่นในขณะที่เรานั่งอยู่บนรถด้วยกันว่า “เลขาคุณเก่งนะ” เขากลับมีคิ้วที่ผูกติดกันแล้วถามกลับมาว่า “คนไหน”
“ก็เพื่อนของฉันไง”
“ไม่ได้เป็นเลขานะ เป็นคนตรวจสอบสตอคเฉย ๆ” เขายืนยันหนักแน่น
ฉันจึงเล่าเรื่องราวที่หล่อนทำตัวเป็นพรายกระซิบให้เขาฟัง ใบหน้าของเขาดูเรียบเฉย ตาที่มองตรงไป ปากที่หุบสนิท ใบหน้าที่มีเลือดฟาด ปีกจมูกเริ่มเคลื่อนไหวเล็กน้อย ในความเงียบสองอึดใจ เสียงของเขาก็เริ่มเอื้อนเอ่ยขึ้น “ผมดูแลผู้หญิงคนนั้นในฐานะเพื่อนของคุณเท่านั้น”

2


เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในช่วงเช้าของการทำงาน ฉันไม่ว่างที่จะรับสายจึงเลือกโทรกลับไปในอีก 30 นาทีต่อมา หล่อนขอให้ฉันสละเวลาซักนิดเพราะหล่อนอยากไปนั่งคาเฟ่ต์เพื่อคุยเล่นกับฉันพร้อมคุยงานกับเขาด้วย “ต้นไปด้วยหรอ” ฉันถามหล่อน หล่อนตอบด้วยเสียงออดอ้อนและขอให้ฉันช่วยโทรนัดเขาให้หน่อย
ในการไปคาเฟ่ต์ครั้งนี้ จึงมีเราสามคน ฉันเป็นคนจัดแจงหาคาเฟ่ต์และมาถึงที่นัดหมายก่อนใคร หล่อนเดินเข้ามานั่งตรงข้ามฉัน เว้นที่ข้าง ๆ ของหล่อนไว้ เพียงไม่กี่นาทีเขาเดินตามหล่อนเข้ามาในร้านและนั่งลงข้างหล่อน ฉันที่นั่งตรงข้ามทั้งสองคนได้เพียงแต่มองและข่มความรู้สึกฝืนยิ้มทักทายเขาไป
ที่ว่างข้างหล่อนตรงนั้น หล่อนว่างไว้เพื่อเขา
หล่อนทักทายเขาด้วยท่าทางสนิทสนม เขาเริ่มเขยิบตัวเข้าใกล้หล่อน พร้อมกับที่หล่อนหยิบเอกสารบางอย่างขึ้นมาบังใบหน้าของทั้งคู่และบอกกับฉันว่า นี่เป็นเรื่องภายในบริษัท
ฉันไม่ได้เป็นพนักงานในบริษัทเขา เป็นเพียงคนสนิทที่ตอนนี้ฉันไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่า ฐานะคนสนิทนั้นฉันยังสามารถเป็นได้อยู่ไหม แล้วฉันควรต้องทำอย่างไร
หลังจากเหตุการณ์นั้นฉันไม่ติดต่อเขาอีกเลยราวหนึ่งสัปดาห์ ในขณะที่ข้อความจากเขายังถูกส่งมาไม่ขาดสาย
“ว่างไหม” “กินข้าวหรือยัง” “คิดถึงจัง ไม่ได้คุยกันเลย” “เทคแคร์นะครับ คนสำคัญ” “ผมยังยืนยันนะ ว่าผมเทคแคร์เขาในฐานะเพื่อนของคุณเท่านั้น” “รับโทรศัพท์ผมหน่อย” “ขอแค่ได้ยินเสียงของคุณเท่านั้น”
“ไปคาเฟ่ต์กัน” ข้อความล่าสุดที่เขาส่งมาในวันที่ฉันกำลังติดอยู่ในมหาสมุทรกว้างใหญ่เพียงคนเดียว
ฉันทิ้งโทรศัพท์ไว้ข้างกายและกำลังใช้ความเงียบตัดสินใจระหว่าง “ให้อภัย” กับ “ตัดออก” อันไหนจะทำร้ายใจตัวเองน้อยกว่ากัน
“ที่ไหน” ฉันตอบกลับเขา
เขาเลือกสถานที่นัดหมายเป็นร้านกาแฟประจำของฉัน ร้านที่เราเคยนั่งหัวเราะเรื่องไร้สาระด้วยกัน ร้านที่มีโกโก้ร้อนแก้วประจำของฉันวางอยู่ตรงมุมเดิม
เขามาถึงหลังจากฉัน 5 นาที ด้วยสีหน้าที่ฉันแปลความไม่ออก เหมือนคนมีเรื่องจะพูด แต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน “สั่งอะไรหรือยัง?” เขาถาม ฉันยกแก้วโกโก้ขึ้นตอบแทนคำพูด
เขานั่งลงตรงข้าม ถอนหายใจแรงราวกับแบกภูเขามาทั้งลูก
สายตาเขาวูบไหว เหมือนคนที่กำลังจะสารภาพบาป
“คุณเป็นอะไรไหม ท่าทางแปลก ๆ”
“ผมรีบออกมาก่อนที่ สมายจะมาที่บ้านของผม” เขากล่าว
ฉันนิ่ง นี่ฉันต้องมารับรู้อะไรในความสัมพันธ์ของพวกเขาอีก
เขาเอ่ยต่อไปว่า ช่วงหลังหล่อนเริ่มขอเข้าไปนั่งทำงานในบ้านของเขาและเริ่มเจ้ากี้เจ้าการจัดแจงระบบงานในบริษัท รวมถึงคุยกับลูกค้าของเขาด้วย
“เรื่องนี้ฉันช่วยอะไรคุณไม่ได้จริง ๆ ค่ะ คุณเองที่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้” ฉันตัดบทของเขาก่อนที่ทุกอย่างจะพรั่งพรูออกมามากกว่านี้
เราสองคนปล่อยให้บรรยากาศทำงานของมันไป
ฉันจำได้แม่นบ้านหลังนั้นที่เขาเคยบอกว่าไม่ชอบให้ใครเข้าไป แม้แต่เพื่อนสนิท
หล่อนที่ฉันเคยรู้จัก ไม่ใช่คนที่จะไปบ้านของคนอื่นได้ง่าย ๆ นี่ถ้าไม่ใช่เขาพูด ฉันคงไม่เชื่อว่าหล่อนจะขอเข้าไปที่นั่น หรือบางทีฉันอาจไม่เคยรู้จักหล่อนจริง ๆ เลยก็ได้ ฉันพ่นลมหายใจออกมาเสียงดังโดยที่ไม่รู้ตัว “คุณกำลังกังวลอะไรอยู่หรือเปล่า” ชั่วขณะที่สิ้นประโยค สายตาของฉันช้อนขึ้นมองใบหน้าของเขาที่ดูไร้เดียงสา และฉันก็ตระหนักได้ว่า ฉันกำลังคุยอยู่กับสัตว์โลกชนิดใด “เปล่าค่ะ คิดเรื่องงานนิดหน่อย” “บอกผมได้นะ”
ฉันปล่อยให้บรรยากาศทำงานของมันอีกครั้งและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา จนกระทั่งเขาขอตัวไปเข้าห้องน้ำ
สตอรี่ของหล่อนปรากฏขึ้นบนฟีดไอจี เป็นรูปหมาตัวใหม่ที่บ้านของเขา หล่อนใส่ตัวอักษรตัวเล็ก ๆว่า “เจ้าจมูกชมพู” ฉันไม่เคยรู้จักหล่อนจริง ๆ ด้วยซิ่นะ
เราแยกย้ายกันไปทำงานที่คั่งค้างและโทรหากันอีกครั้งในเย็นวันนั้น
ในขณะที่เรากำลังมีบทสนทนากันอยู่ จู่ ๆ ก็มีสายเข้า เสียงแหลมแทรกขึ้นมา เสียงแหลมโหยหวนแบบที่ฉันเคยรู้จักดี แล้วสายก็ตัดไป
สองวันผ่านไป ฉันไม่เห็นการเคลื่อนไหวจากหล่อนในโซเชียล เลยลองเข้าไปดู ถึงได้รู้ว่า เราไม่ได้เป็นเพื่อนในโซเชียลกันอีกต่อไปแล้วในทุกช่องทาง
ฉันเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟังวันถัดมา เขาทำหน้างุนงง ถามกลับว่า “ไปทะเลาะกันตอนไหน” ฉันยังจำแนกไม่ได้จริง ๆ ว่าฉันกำลังคุยกับสัตว์โลกประเภทใดอยู่
ฉันไม่รู้หรอกว่าจุดแตกหักคืออะไร อาจจะเป็นวันที่เขาลงรูปคู่กับฉันบ่อยเกินไป หรืออาจจะเป็นวันที่ฉันไม่พูดอะไรกับหล่อนอีกเลย

3


วันเวลาผ่านไปเป็นปี ฉันไม่คิดว่า สังเวียนนี้ยังคงเข้มข้นอยู่ จนได้พบกับหล่อนอีกครั้งในวันนี้ สถานะของฉันกับเขายังไม่ได้เลื่อนขั้นไปไหน และตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันเริ่มตกตะกอนในการตัดสินใจ
“อยากเสริมอะไรไหม” เขาหันมาถาม ฉันยิ้มกลับ ยิ้มเพราะไม่รู้จะพูดอะไร ยิ้มทั้งที่ใจเริ่มสับสน ยิ้มเพราะว่าที่เขากำลังนั่งสัมภาษณ์งานตำแหน่งผู้จัดการอยู่นั้น ฉันไม่ได้ฟังอะไรเลย
“ไม่มีค่ะ” ฉันแค่นพูดออกไป “ขอบคุณที่มาสัมภาษณ์ในวันนี้นะคะ” ฉันหันไปพูดกับคนที่มาสัมภาษณ์งาน ในขณะที่คนนั้นเริ่มลุกขึ้นยืน ฉันเองก็ลุกขึ้นยืนเช่นเดียวกัน
“เดี๋ยวซิ่ คุณจะกลับแล้วหรอ เรายังไม่ได้ทานข้าวกันเลยนะ”
“ค่ะ ฉันอยากกลับแล้ว”
“มีงานต่อ หรือ ว่านัดใครต่อ ผมเริ่มไม่มั่นใจแล้วนะ”
“ไม่มีอะไรทั้งนั้นค่ะ แต่พึ่งจะนึกขึ้นได้ว่า เพลงโปรดโซฟาตัวโปรดและเครื่องดื่มสุดโปรดกำลังรอฉันอยู่ที่บ้าน”
เขานิ่งเงียบไม่พูดจา ฉันยกมุมปากขึ้นเบา ๆ ส่งให้เขา แล้วหันหลังเดินจากมา
มันไม่มีเหตุผลอะไรที่ฉันจะต้องอยู่ในความสัมพันธ์ที่คลุมเครือ ความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคง ฉันเหนื่อยมามากพอแล้วตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา และขอบคุณเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ อย่างน้อย ๆ ฉันก็คัดสรรคนให้ออกจากชีวิตอย่างง่ายดาย และมีพื้นที่ว่างให้ตัวเองมากพอที่จะเป็นตัวของตัวเอง





ขอสงวนสิทธิ์ข้อความทั้งหมดภายในเว็บไซท์
Copyright by http://www.espressoandcigarette.com