¦ ¦ ¦ ¦


ฉบับที่ 21 : ประจำวันที่ 1 ตุลาคม 2568


แอบรัก
โดย หย่งศรี


1


เสียงคีย์บอร์ดระรัวดังกระหึ่มแข่งกับเสียงเครื่องปรับอากาศ นาฬิกาบอกเวลา ๑๙.๓๐ น. ใกล้เส้นตายของข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์เข้าไปทุกขณะ
เกศินีจดจ่อกับข่าวที่อยู่ตรงหน้า ปากขยับอ่านเนื้อเรื่องที่ตนเองเขียนว่าร้อยเรียงลื่นไหลและข้อมูลครบถ้วนแล้วหรือไม่
“เสร็จแล้วค่ะ พี่สาน” เกศินีหันไปบอกประสาน บรรณาธิการที่นั่งพิมพ์งานอยู่ข้างกัน หลังจากที่อ่านจบมาจนถึงประโยคสุดท้าย
“ดีมาก ส่งไปให้ซับเลยเกด” ประสานพูดโดยไม่หันมามองเกศินี
เกศินีส่งข่าวชิ้นนั้นต่อไปให้เอกสิทธิ์ ซับเอดิเตอร์ผู้ทำหน้าที่ตรวจเรื่องและพิสูจน์อักษรก่อนจะวางหน้า ส่วนรูปประกอบเรื่องนั้นประสานและเอกสิทธิ์ช่วยกันเลือกแล้ว เกศินีจึงไม่ต้องทำ
ระหว่างที่รอตรวจหน้า เกศินีเดินไปหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับวันนี้ที่กำลังจะผ่านพ้นไปมาพลิกดูเล่น เธอเปิดไปเรื่อยๆ จนถึงหน้าสมัครงานที่พิมพ์ด้วยหมึกสีฟ้า หวนนึกถึงสมัยที่หางานตอนเรียนจบใหม่ๆ เธอเปิดหน้าสมัครงานจนท้อใจ เพราะประกาศส่วนใหญ่ถามหาแต่ตำแหน่งวิศวกรหรือนักบัญชี งานสำหรับคนที่เรียนจบนิเทศศาสตร์ เอกหนังสือพิมพ์อย่างเธอนั้นแทบไม่มีเลย
สายตาของหญิงสาวกวาดไปเรื่อย พลันสะดุดกับข้อความกล่องเล็กๆ ขนาดความยาวเพียงสองนิ้ว
“รับสมัครผู้ช่วยนักข่าวต่างประเทศด่วน ภาษาอังกฤษดี ชั่วโมงทำงานยืดหยุ่น ติดต่อเบอร์ 081 - 8324725“
ตั้งแต่ได้งานทำที่หนังสือพิมพ์บางกอกโกล๊บ (Bangkok Globe) เธอก็ไม่เคยเปิดดูหน้าสมัครงานอีกเลย จำเพาะมาเปิดเอาวันนี้และก็มีประกาศหาผู้ช่วยนักข่าวเสียด้วย!
ในประกาศมีเขียนไว้เท่านี้ เกศินีคิดว่าไม่มีอะไรเสียหากจะโทรไปสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม การมีรายได้เพิ่มจากเงินเดือนอันน้อยนิดของนักข่าวหนังสือพิมพ์ย่อมต้องดีกว่าไม่มีแน่ ...........

2


เกศินี ยืนอยู่ที่หน้ากระจกห้องน้ำผู้หญิงที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งใกล้แยกอโศก ภาพบนกระจกเห็นหญิงสาวใบหน้ารูปไข่ ดวงตากลมโต ปากเรียว ผมยาวคลอเคลียบ่า วันนี้เธอตั้งใจไดร์ผมมาเป็นพิเศษ เพราะเป็นการ ”สัมภาษณ์งาน” ครั้งแรกในรอบสามปี


เธอเดินออกจากห้องน้ำ แล้วมุ่งตรงไปยังคาเฟ่ที่นัดไว้ กลิ่นกาแฟหอมโชยมาแต่ไกล ร้านตกแต่งด้วยโทนสีน้ำตาล แอร์เย็น พร้อมดนตรีแจ๊สให้ความรู้สึกอบอุ่นน่านั่ง เกศินีกวาดสายตาไปรอบร้าน มองหานักข่าวจากเยอรมนีชื่อมาร์ติน ชายสูงวัยผมเทาที่เธอจินตนาการไว้ เขาน่าจะเป็นหนึ่งในนักข่าวฝรั่งที่สมาคมนักข่าวต่างประเทศที่เธอเคยเห็น ซึ่งแต่ละคนน่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่าครึ่งศตวรรษ ช่ำชองมากประสบการณ์
ชายหนุ่มต่างชาติผมสีน้ำตาลคนหนึ่ง ลุกขึ้นยืนและเดินมาทางที่เธอยืนอยู่ พร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “คุณเกศินีใช่ไหมครับ”
เกศินีอึ้งกับภาพที่เห็นตรงหน้า ผู้ชายร่างสูงมากคนนี้น่าจะอายุเพียงสามสิบต้นๆ ผมสีน้ำตาลยาวกว่าผมรองทรงไม่มากนัก ดวงตาสีน้ำตาลสว่างสดใส และเมื่อมาพร้อมกับรอยยิ้ม อากาศรอบตัวเกศินีเหมือนถูกดูดหายไปหมด เสียงหัวใจเต้นดังจนหูอื้อ
เกศินีทำได้เพียงพยักหน้าตอบ เขาเชิญเธอไปนั่งที่โต๊ะ พร้อมถามว่าต้องการดื่มอะไรและลุกขึ้นไปสั่งเครื่องดื่ม เกศินีพบว่าใจของตนเองยังเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ เธอพยายามหายใจเข้าลึกๆ หลายครั้ง นึกแปลกใจกับอาการของตนเอง
มาร์ตินเดินกลับมาพร้อมกับขวดน้ำ มองหน้าเธอแล้วถาม
“คุณโอเคหรือเปล่าครับ”
เกศินีประหม่าพูดได้แต่คำว่า “คะ?”
“คุณไม่ต้องกังวลเรื่องสัมภาษณ์งานนี้นะครับ เราคุยกันเฉยๆ สบายๆ” มาร์ตินรีบบอกพร้อมกับรอยยิ้ม ที่ทำให้อาการเธอกำเริบอีกครั้ง
“ขอบคุณค่ะ ฉันแค่แปลกใจเล็กน้อยที่เห็นคุณ” เธอพูดไปตามที่รู้สึก
“ยังไงนะครับ”
“ฉันนึกภาพไว้ว่าคุณเป็นนักข่าวซีเนียร์ ไม่ได้คิดว่าคุณจะเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกัน”
พอได้พูดความรู้สึกออกไป เกศินีรู้สึกโล่งใจ และกลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง เธอหยิบแฟ้มประวัติการเรียน การทำงานของเธอออกมา และยื่นให้เขา
“นี่ค่ะ เรซูเม่ของฉัน ฉันปริ้นท์ออกมาเผื่อด้วย และฉันขออนุญาตแนะนำตัวอีกครั้ง ฉันชื่อ เกศินี คุณเรียกฉันว่า เกด ก็ได้ ฉันเป็นนักข่าวที่หนังสือพิมพ์บางกอกโกล๊บที่โต๊ะต่างประเทศมาแล้วสามปี และคิดว่าตัวเองเหมาะกับตำแหน่งผู้ช่วยนักข่าวที่คุณกำลังมองหาค่ะ”


..........
เกศินีไม่ทันรู้ตัวว่าใช้เวลาในการพูดคุยสัมภาษณ์กับเขาร่วมสองชั่วโมง ทั้งสองคุยกันอย่างออกรสชาติแลกเปลี่ยนประวัติและข้อมูลของกันและกัน
จนเมื่อเหลือบมองนาฬิกา
“ตายจริง คุณมีนัดสัมภาษณ์คนต่อไปอีกหรือเปล่าคะ”
“มีครับ แต่เป็นช่วงบ่าย”
ถึงเขาจะไม่มีท่าทีจะตัดบทสนทนา แต่เธอก็อยากแสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพในการทำงาน จึงเอ่ยปากลาพร้อมทิ้งท้าย
“ขอบคุณสำหรับการสัมภาษณ์ค่ะคุณมาร์ติน ถ้าคุณตัดสินใจอย่างไรแล้ว กรุณาโทรบอกฉันด้วยนะคะ ไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไร”
“ได้ครับ คิดว่าไม่เกินวันอังคารหน้า คุณน่าจะได้รับโทรศัพท์จากผม”
มาร์ตินลุกเดินมาส่งเธอที่หน้าร้าน เกศินีไหว้ลาเขาตามมารยาทไทย แล้วเดินออกมาขึ้นรถไฟฟ้าเพื่อเข้าออฟฟิศ
หญิงสาวไม่ปฏิเสธใจตนเองว่าอยากได้งานนี้มากขึ้นหลังจากที่ได้คุยกับนักข่าวเยอรมันคนนี้ มาร์ตินเป็นคนมีความรู้และมีมุมมองที่แตกต่าง ให้เกียรติ และคุยสนุก การได้ร่วมงานกับเขาหมายความว่าเธอจะได้เจอและพูดคุยกับเขาอีก
……
ตลอดทั้งสัปดาห์เกศินีเหลือบดูโทรศัพท์บ่อยจนรำคาญตัวเอง ได้แต่ปลอบใจให้สงบและมีสติต่องานตรงหน้า จนกระทั่งวันนี้ ระหว่างที่เธอกำลังง่วนกับการแปลข่าว เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น หน้าจอปรากฎชื่อ “มาร์ติน” เธอร้องกรี๊ดในใจ รีบคว้าโทรศัพท์ออกไปยืนคุยที่ระเบียงด้านนอกของตึก กลั้นหายใจ กดรับสายเพียงแค่ได้ยินเสียงของเขา หญิงสาวก็ใจเต้นรัว
“ยินดีด้วยนะครับ คุณได้งานผู้ช่วยของผมครับ”
แม้จะค่อนข้างมั่นใจว่าตอนสัมภาษณ์ตัวเองทำได้ดี แต่การได้ยินเสียงเขาที่ยืนยันว่าเธอได้รับเลือก ใจที่หนักหน่วงและลุ้นมาตลอดทั้งสัปดาห์รู้สึกโล่ง ยิ้มกว้างจนเจ็บแก้ม
“ขอบคุณมากนะคะ” เธอพูดตะกุกตะกัก
“ขอบคุณอะไรกันครับ ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณ ผมดีใจมากที่จะได้ร่วมงานกับคุณ เดี๋ยวเรานัดเจอกันนะครับ ผมจะได้บรีฟประเด็นที่ผมอยากให้คุณช่วย”
“ได้ค่ะ” เธอตอบ
เกศินีเดินกลับเข้าไปทำงานด้วยความรู้สึกเริงร่า ก้อนเมฆที่เคยกดทับจิตใจได้สลายไปสิ้น เหลือเพียงท้องฟ้าสดใสที่เต็มไปด้วยความสุข ความสบายใจที่ถาโถมเข้ามา พร้อมกับความตื่นเต้นที่จะได้พบหน้าและรอยยิ้มของเขาในไม่ช้า

3


เกศินีนั่งพิมพ์งานอยู่ในออฟฟิศที่ตอนนี้ประดับประดาไปด้วยสายรุ้งเตรียมฉลองปีใหม่ งานผู้ช่วยนักข่าวให้มาร์ตินดำเนินควบคู่ไปกับงานหลักของเธอได้อย่างดี ถึงตอนนี้เธอช่วยเขามาเกือบครึ่งปีแล้ว ทั้งแปลคลิปข่าวที่เขาส่งมาให้ ติดต่อหาแหล่งข่าวที่เขาต้องการสัมภาษณ์ รวมทั้งไปช่วยสัมภาษณ์ด้วยเมื่อโอกาสเอื้ออำนวย
ประเด็นข่าวที่มาร์ตินสนใจหลากหลายมาก อาทิ เรื่องการสาธารณสุขของไทยที่เป็นนิยมของคนต่างชาติโดยเฉพาะจากประเทศตะวันออกกลาง ความหลากหลายชาติพันธุ์และเพศสภาพในประเทศไทย เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าคนเยอรมันสนใจประเทศไทยขนาดนี้ มาร์ตินเป็นคนคุยสนุก เปิดโลกเธอเสมอ เขาช่างสังเกตและมักมีคำถามมาให้เธอได้ฉุกคิด เช่น ทำไมกระดาษทิชชู่ที่ร้านอาหารถึงเป็นสีชมพู ทำไมนามสกุลของคนไทยจึงยาวมาก ทำไมชื่อเล่นถึงไม่เกี่ยวข้องกับชื่อจริง ฯลฯ
เธอได้พบเขาเกือบแทบจะทุกสัปดาห์ มาร์ตินชวนเธอไปดูหนังบ้าง คอนเสิร์ตบ้าง หรือบางทีก็ขอให้เธอพาไปเดินชมย่านชุมชนต่างๆ ของกรุงเทพฯ ทุกครั้งที่ถูกชวน หัวใจของเกศินีก็พองโตขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ เกศินีพยายามบอกตัวเองว่า เขาคงแค่สบายใจที่มีเธอเป็นผู้ช่วยเท่านั้น หรืออาจเป็นเพราะเขาสามารถสอบถามข้อมูลทุกอย่างจากเธอได้ เธอพร่ำบอกตัวเองซ้ำๆ เพื่อดับความรู้สึกบางอย่างในใจที่เริ่มก่อตัวขึ้น แต่แววตาของเขาที่เป็นประกายระยิบระยับขึ้นทุกครั้งที่เธอปรากฏตัว รวมทั้งคำชวนนอกเวลางานที่ไม่เคยขาดสาย ก็ทำให้เสียงที่บอกตัวเองนั้นเบาลงเรื่อย ๆ พร้อมกับหัวใจที่สั่นไหวมากขึ้นทุกวัน นี่มันเกินกว่าคำว่า 'ผู้ช่วย' ไปแล้ว
เขามีใจให้เธอใช่มั้ย?
คำถามนี้ดังก้องอยู่ในหัวของเกศินี มันเป็นคำถามที่เธอไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงมันจริงจัง เธอกลัว... กลัวว่าถ้าคำตอบไม่ใช่อย่างที่หวัง เธอจะรับไหวหรือไม่ เธอจึงเลือกที่จะเก็บงำความรู้สึกและคำถามนั้นไว้ในส่วนลึกของใจ ปล่อยให้มันเป็นความคลุมเครือที่ปลอบใจได้มากกว่าความจริงที่อาจจะเจ็บปวด จนกระทั่งเมื่อมีงานนอกสถานที่ครั้งใหม่เข้ามา ปมในใจของเธอก็เริ่มจะคลายออกอย่างช้าๆ
“ผมอยากไปทำข่าวชาวกะหร่างครับ”
“คุณหมายถึงชาวกะเหรี่ยงใช่ไหมคะ ที่อยู่ทางเหนือ” เกศินีคิดว่าเขาพูดผิดไป
“ไม่ใช่ครับ ชาวกะหร่าง อยู่ในป่าลึกแถวเพชรบุรี”
เกศินียอมใจกับความช่างสรรหาประเด็นข่าวของเขา
“ผมมีเบอร์ติดต่อเจ้าหน้าที่อุทยานแล้ว เขาชื่อสมศักดิ์แต่พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ ผมเลยอยากถามว่า คุณพอจะมาด้วยกันกับผมได้ไหม เรื่องค่าใช้จ่ายคุณไม่ต้องกังวล ผมจัดการเอง”
เมื่อเสร็จจากเยี่ยมชาวกะหร่างแล้ว มาร์ตินจะเดินทางลงใต้ต่อเรื่อยไปจนถึงภูเก็ต และจะอยู่ยาวจนพ้นปีใหม่ เขารู้ว่าเธอไม่สามารถลางานยาวตามไปช่วยเขาได้ กระนั้น ก็ยังเอ่ยพร้อมสายตากึ่งออดอ้อนผสมจริงจัง
“ถ้าคุณตามไปได้ผมจะดีใจมาก”
เกศินีแทบจะวิ่งไปลาออกจากงานเสียเดี๋ยวนั้นเลย แต่ก็ทำได้เพียงรับปากจะไปเป็นล่ามที่เพชรบุรีเท่านั้น เธอเห็นแววตาผิดหวังของเขาชั่วเสี้ยววินาทีก่อนจะยิ้มกว้าง

4


สมศักดิ์มารับแต่เช้าที่สถานีรถทัวร์ของอ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี แล้วพาทั้งคู่นั่งรถปิ๊กอัพเข้าไปที่หมู่บ้านซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในเขตอุทยาน เบาะที่นั่งหลังคนขับแม้จะนุ่มมากแต่ไม่ได้ถูกออกแบบมาสำหรับเส้นทางขึ้นเขาสุดทรหด ถนนไม่ได้ลาดยาง เป็นหลุมบ่อ กระแทกจนท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด
จนกระทั่งถึงที่หมายตอนบ่ายคล้อย ทันได้เห็นความเขียวชะอุ่มของป่าลึก หมู่บ้านชาวกะหร่างในพื้นที่นี้มียี่สิบกว่าหลังคาเรือน บ้านทำจากไม้ไผ่ พวกเขาใส่เสื้อยืด กางเกง เหมือนคนพื้นราบทั่วไป ไม่ได้ใส่ชุดชาวเขาอย่างที่เธอเคยเห็นในภาพโฆษณาของการท่องเที่ยว
ชาวกะหร่างมีภาษาเป็นของตนเอง พวกเขาทำอาชีพการเกษตรทั่วไป และภัยที่น่ากลัวอย่างยิ่งคือ โรคมาลาเรีย
“นึกว่าประเทศไทยปลอดโรคมาลาเรียแล้วเสียอีกค่ะ”
“ในที่พื้นราบคงไม่มีแล้วมั้ง แต่ว่าในป่าลึกแบบนี้ มียุงชุมก็เป็นเรื่องธรรมดา แล้วถ้าลงไปหาหมอไม่ทันก็เป็นอันตรายถึงชีวิตได้” สมศักดิ์บอกพร้อมเสริมด้วยว่า ยาจึงเป็นสิ่งสำคัญที่พวกเขาต้องมีติดพื้นที่ไว้ และคราใดที่ลงเขาเข้าเมือง ก็ต้องซื้อมาไว้ให้เต็ม
สมศักดิ์พามาร์ตินเดินชมโดยรอบและตอบทุกข้อสงสัยของชายหนุ่ม เมื่อตะวันลับตา บรรยากาศมืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากตะเกียงเท่านั้นที่ยังช่วยให้มองเห็นอยู่ได้
ทั้งสามคนนั่งสนทนากันต่อที่หน้ากระท่อมไม้หลังหนึ่ง ชาวบ้านสองสามคนช่วยกันนำอาหารเย็นมาให้ เป็นผัดผักที่เกศินีไม่เคยเห็นมาก่อน และแกงจืดอย่างง่ายๆ มาร์ตินยังคงพูดคุยกับสมศักดิ์อย่างถูกคอ โดยเกศินีเป็นคนแปล จนเวลาล่วงเลยเกือบสี่ทุ่ม
“ดึกแล้ว พวกน้องๆ ก็นอนกันที่กระท่อมนี้แหละนะ ชาวบ้านเขากางมุ้งไว้ให้แล้ว จะได้ไม่โดนยุงกัด” สมศักดิ์บอก
เกศินียกกระเป๋าเป้เดินเข้าไปทางทิศที่สมศักดิ์บอกอย่างว่าง่าย การเดินทางยาวนานและสะบักสะบอมทั้งวัน ทำให้เธออยากนอนเต็มแก่แล้ว แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไป เกศินีก็ต้องชะงัก
มีมุ้งหลังเดียวอยู่ในห้องนั้น!!!
เกศินีชะงักงันกับภาพตรงหน้า หัวใจเต้นระรัวอย่างห้ามไม่ได้ เธอหันไปมองหาสมศักดิ์และมาร์ตินที่ยืนอยู่ด้านนอก สมศักดิ์เดินเข้ามาพร้อมคำขอโทษ เขากล่าวว่าไม่ได้รับแจ้งว่าล่ามที่มาด้วยเป็นผู้หญิงจึงได้ให้ชาวบ้านกางมุ้งไว้เพียงหลังเดียว ครั้นจะไปตามให้ชาวบ้านมากางอีกมุ้ง ทุกคนก็คงเข้านอนกันหมดแล้ว
"แค่คืนเดียวคงไม่เป็นอะไร" สมศักดิ์บอกพลางยิ้มเจื่อนๆ
มาร์ตินที่เดินตามเข้ามาเห็นมุ้งเพียงหลังเดียว ก็หัวเราะเบาๆ ดวงตาสีน้ำตาลสว่างสดใสเป็นประกายซุกซน "คุณกลัวว่าผมจะทำอะไรคุณเหรอ?" คำพูดของเขาทำให้เกศินีร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้า เธอทำได้เพียงส่ายหน้าปฏิเสธ
คืนนั้น เธอเลือกที่จะนอนหันหลังให้เขา ตัวแข็งทื่อราวกับท่อนไม้ พยายามข่มตาให้หลับลงให้ได้ แม้ว่าในใจจะเต้นรัวไม่เป็นจังหวะไปตลอดทั้งคืน จู่ๆ อากาศก็เย็นยะเยือกขึ้นมา ทำให้เธอต้องขยับตัวเข้าไปในผ้าห่มให้มากขึ้น และในจังหวะเดียวกันนั้นเอง ปลายนิ้วของเธอก็เผลอไปสัมผัสเข้ากับปลายนิ้วของมาร์ตินที่อยู่ข้างกันโดยไม่ได้ตั้งใจ เกศินีสะดุ้งเฮือก หัวใจเต้นโครมครามจนเหมือนจะทะลุออกมา เธอพยายามจะขยับหนี แต่ช่องว่างในมุ้งก็มีจำกัด ความอบอุ่นเพียงน้อยนิดที่ส่งผ่านจากปลายนิ้วของเขาสร้างความประหลาดใจกับปฏิกิริยาของตัวเอง มาร์ตินเองก็ขยับตัวเล็กน้อย แต่ไม่มีคำพูดใดๆ ออกมา ความเงียบที่เต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง ทำให้เกศินีนอนไม่หลับไปจนเกือบเช้า
หลังจากกลับจากหมู่บ้านชาวกะหร่าง เกศินีใช้เวลาหลายวันทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น ความรู้สึกที่เธอพยายามเก็บซ่อนไว้ตลอดมาชัดเจนขึ้นจนยากจะปฏิเสธ เธอชอบมาร์ตินจริงๆ และจากท่าทีของเขา เธอรู้สึกว่าเขาไม่ได้มีทีท่ารังเกียจเธอเลย คำถามผุดขึ้นในใจว่า เธอควรจะทำอย่างไรต่อไปดี
ส่วนหนึ่งในใจอยากบอกความรู้สึกนี้ออกไปตรงๆ เพราะเธอมั่นใจในความรู้สึกของตัวเอง แต่ในอีกมุมหนึ่ง ความกลัวก็เข้าครอบงำ มาร์ตินคือเจ้านายของเธอ ถ้าเธอสารภาพออกไปแล้วเขาไม่ได้รู้สึกเหมือนกัน ความสัมพันธ์ในการทำงานจะยังคงราบรื่นอยู่ไหม? เธอรู้ดีว่าตัวเองเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย แต่กับเรื่องนี้ เดิมพันสูงเกินไป บางทีเธอควรปล่อยให้ทุกอย่างตกตะกอนนิ่งเสียก่อน บางทีเมื่อมาร์ตินกลับขึ้นมากรุงเทพหลังปีใหม่ เธอคงได้คำตอบ

5


ปีใหม่พ้นไปสองสัปดาห์แล้ว แต่มาร์ตินก็ยังไม่ติดต่อมาจนเกศินีแปลกใจ อันที่จริง หลังจากที่ลงใต้ เขาไม่ติดต่อมาอีกเลย ขณะที่ยังไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี มาร์ตินก็ส่งข้อความมาหาเธอ ขอนัดพบที่ร้านกาแฟที่ทั้งสองคนได้พบกันครั้งแรก หัวใจเกศินีเต้นระรัวดีใจที่จะได้เจอเขาอีกครั้ง
เธอเดินเข้าไปที่ร้านกาแฟที่คุ้นตา เสียงดนตรีแจ๊สยังบรรเลงคลอเคลียเคล้ากลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟ ไม่กี่อึดใจเธอก็พบใบหน้าคุ้นตา ผมสีน้ำตาลสวยของเขายาวขึ้น ผิวคล้ำขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขานั่งอยู่ที่โต๊ะกาแฟด้านในสุด โบกมือให้เธอ แต่เขาไม่ได้นั่งอยู่คนเดียว มีหญิงสาวผิวสีน้ำผึ้งนั่งเคียงข้างอยู่ด้วย
หัวใจของเกศินีเต้นโครมคราม แต่เธอพยายามทำหน้าให้ปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ มาร์ตินลุกขึ้นต้นรับพร้อมผายมือ
“สวัสดีครับเกด นี่น้ำตาล แฟนของผมครับ” มาร์ตินผายมือ พร้อมกับยิ้มอย่างเขินอาย
เหมือนสายฟ้าฟาดมากลางใจ เกศินีหวังเป็นอย่างยิ่งว่าใบหน้าของเธอคงจะไม่ทรยศ แสดงอาการหวั่นไหวให้สองคนตรงหน้าได้เห็น
“ดีใจที่ได้รู้จักค่ะ คุณน้ำตาล” เกศินียกมือไหว้ น้ำตาลรีบยกมือไหว้ตอบอย่างนอบน้อม
“เรียก น้ำตาล เฉยๆ ก็ได้ค่ะพี่ มาร์ตินพูดถึงพี่เกดให้น้ำตาลฟังเยอะมากเลยค่ะ” หญิงสาวยิ้มกลับ
มาร์ตินเล่าว่าเขาพบกับน้ำตาลที่ภูเก็ต ทั้งสองคนตกหลุมรักกันอย่างรวดเร็ว ตอนนี้น้ำตาลย้ายมาอยู่กับเขาที่กรุงเทพฯ แล้ว และวางแผนกันว่า หากทั้งสองฝ่ายเข้ากันได้ดี ก็จะทำเรื่องแต่งงานและย้ายกลับเยอรมนี เกศินีได้แต่อ้าปากค้าง
“มันเร็วมากเลยนะคะ” เธอเผลอพูดออกไป เวลาเพียงแค่เดือนกว่าเท่านั้นที่เขาหายไป เรื่องราวกลับตาลปัตรได้เพียงนี้เชียวหรือ!?
“ครับ ผมก็ว่าอย่างนั้น... ผมฟังเรื่องแบบนี้มาเยอะ แต่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง” มาร์ตินหันไปมองหญิงคนรักของเขา แววตาหยาดเยิ้มเปี่ยมรักแบบที่เกศินีไม่เคยเห็นมาก่อน
“เอ่อ... แล้วที่คุณนัดฉันวันนี้ มีประเด็นข่าวอะไรให้ฉันช่วยทำอีกคะ” เธอเอ่ยถาม พยายามปิดบังอารมณ์ของตัวเอง ในเมื่อเรื่องความรักหมดหวัง ก็โฟกัสเรื่องงานก็แล้วกัน
มาร์ตินดูเกร็งขึ้นมาถนัดตา เขานิ่งไปชั่วอึดใจ ก่อนที่จะเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่นุ่มกว่าปกติว่า
“สำหรับเรื่องนั้น ผมก็จำเป็นต้องแจ้งให้คุณทราบด้วยว่า ผมคงไม่ต้องใช้ความช่วยเหลือของคุณแล้ว น้ำตาลเรียนจบเอกอังกฤษมา เธอแปลข่าวได้ดี และช่วยผมสัมภาษณ์ได้”
เกศินีรู้สึกเหมือนโดนสายฟ้าฟาดเป็นครั้งที่สอง เธอไม่ได้นึกอยากเกลียดชังผู้หญิงผมยาวดำขลับคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเลย แต่การที่ถูกพรากสิ่งที่รักทั้งสองอย่างไปพร้อมกันขนาดนี้ จะบอกว่ารู้สึกดีด้วยคงเป็นไปไม่ได้จริงๆ


หลังจากกลับจากร้านกาแฟ ความรู้สึกทุกอย่างถาโถมเข้าใส่จนเกศินีแทบยืนไม่ไหว ไม่ใช่แค่ความเสียใจที่ชายหนุ่มที่เธอแอบชอบกำลังมีคนรัก แต่ยังรวมถึงความเจ็บปวดที่งานพิเศษซึ่งเธอทุ่มเทก็ถูกพรากไปพร้อมกัน "โอ๊ย... ผู้ชายก็ไม่ได้ งานก็เสีย..." เธอพร่ำบ่นกับตัวเองซ้ำๆ แม้จะพยายามปลอบใจว่า "ไม่เป็นไรน่า... แล้วมันก็จะผ่านไป" แต่คำปลอบเหล่านั้นกลับดูไร้ความหมายในโมงยามที่ทุกอย่างดูมืดมิดไปหมด
เธอยังคงพยายามทำตัวเป็นมืออาชีพที่สุดเท่าที่จะทำได้ ให้คำแนะนำน้ำตาลและรวบรวมไฟล์งานที่ทำค้างส่งให้มาร์ตินจนครบถ้วน 'ยัยแม่พระ' เสียงเสียดสีในหัวดังขึ้นมา แต่เธอก็ย้ำกับตัวเองว่า 'เขาคือเจ้านาย การส่งมอบงานให้ดีที่สุดคือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว' เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่
"ความรักมันเกิดขึ้นได้รวดเร็วขนาดนี้เลยเหรอ? มันคือความรักแน่เหรอ?" เธอพร่ำคิดวนเวียน "มาร์ตินที่ฉันรู้จักเป็นคนลุ่มลึก ไม่น่าจะตกหลุมรักใครได้รวดเร็วขนาดนี้..." น้ำเสียงของเธอเริ่มสั่นเครือเมื่อความจริงอันเจ็บปวดชัดเจนขึ้น "หรือว่าฉันโง่เอง... ฉันคิดว่าฉันรู้จักเขา แต่จริงๆ ไม่ใช่เลย"
ความผิดหวังทวีคูณเมื่อนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา "แล้วที่เขาคุยกับฉันมาครึ่งปี สายตาที่มองมา... มันไม่มีความหมายอะไรเลยใช่ไหม? ฉันคิดไปเองใช่ไหม?" ก้อนความเจ็บปวดในใจยิ่งปรากฏชัด ทวีความหนักหน่วง เธอเข้าใจแล้ว... เธอมโนไปเองทั้งสิ้น
แม้จะยินดีที่เขาพบคนที่ใช่ แต่เธอก็ผิดหวังในตัวเขา และที่สุดแล้ว... "ผิดหวังในตัวเองที่หลงชอบคนผิดไป"
เกศินีรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่ถาโถม เธอพยายามกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหล แต่หยดน้ำอุ่นๆ ก็ร่วงหล่นลงมาไม่ขาดสาย ในวินาทีนั้น เธอรู้สึกว่างเปล่า ราวกับหัวใจถูกควักออกไป ความฝัน ความหวัง และความรู้สึกทั้งหมดที่เคยมีให้กับเขา บัดนี้กลายเป็นเพียงเถ้าธุลีที่ลอยเลือนหายไปในอากาศ เธอจ้องมองหยาดน้ำตาที่ไหลลงมาบนฝ่ามือ นี่คือทั้งหมดที่เหลืออยู่จากการเดินทางในใจกว่าครึ่งปี และเธอรู้ดีว่า มันคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าที่แผลในใจจะสมานได้

6


เกศินีนั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศ สองสัปดาห์ที่ผ่านมาเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงในกรุงเทพฯ ทวีความรุนแรงขื้นเรื่อยๆ เมื่อวานนี้มีเหตุปะทะกันที่หน้าทำเนียบรัฐบาล มีการจุดไฟเผาข้าวของและรถยนต์ เจ้าหน้าที่ต้องใช้น้ำและแก๊สน้ำตาสลายการชุมนุม นักข่าวของบางกอกโกล๊บถูกส่งลงพื้นที่หมด ยกเว้นเกศินี
เกศินีประท้วงกับประสาน แต่เขาให้เหตุผลว่า “พี่ให้เธออยู่ในออฟฟิศเพราะเธอจับประเด็นไวและมีเซนส์เลือกข่าวพาดหัวดีกว่าใคร เพราะฉะนั้นเธอทำหน้าที่ของเธอให้ดีที่สุด ช่วยทำข่าวของเพื่อนๆ ในพื้นที่ออกมาให้ดี ให้พวกเขาไม่เหนื่อยเปล่า”
เกศินีไม่อาจพูดแย้งอะไรได้อีกจึงทำหน้าที่มอนิเตอร์ถังข่าวอย่างตั้งใจ และเปิดโทรทัศน์ติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด เมื่อเช้าเกิดการปะทะกันอีกครั้ง มีรายงานว่ามีผู้บาดเจ็บแต่ยังไม่มีผู้เสียชีวิต
ตกบ่ายเริ่มมีรายงานข่าวเข้ามาว่าผู้บาดเจ็บถูกส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล ABH หนึ่งในนั้นมีนักข่าวต่างประเทศด้วย
เกศินีปรายตาดูรายชื่อผู้บาดเจ็บ ก็ต้องสะดุดกึก
มาร์ติน กุสตาฟสัน
เธอจ้องมองชื่อนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า 'ไม่มีทาง' เสียงในหัวเธอดังก้อง นักข่าวต่างประเทศที่ชื่อมาร์ติน กุสตาฟสันในประเทศไทยจะมีสักกี่คนเชียว? ความทรงจำที่เธอพยายามก้าวผ่านตลอดหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา พุ่งเข้าชนอย่างจัง ครั้งสุดท้ายที่คุยกัน เขาบอกว่าจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว แล้วเหตุใดชื่อเขาจึงมาอยู่ในลิสต์นี้ได้? 

..........
เกศินี ยืนอยู่หน้าห้องผู้ป่วยภายในของโรงพยาบาล หน้าห้องมีแถบป้ายชื่อ มาร์ติน กุสตาฟสันเธอเคาะประตูห้อง ก่อนกลั้นหายใจก่อนหมุนลูกบิดประตูเข้าไป ภาพที่เห็นคือผู้ชายร่างยาว ผมสีน้ำตาล มีผ้าพันที่ศีรษะ แขน และลำตัว ใบหน้ามีรอยแผลเล็กน้อย นอนหลับตาอยู่บนเตียง แม้สภาพจะต่างไป แต่เธอรู้แน่ชัดว่านี่คือมาร์ติน ที่เธอรู้จัก
มาร์ตินลืมตาขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงประตูเปิด เขาทำหน้าฉงนอย่างเห็นได้ช้ดเมื่อเห็นเธอ
“เกด... คุณมาที่นี่ได้ยังไง... คุณรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่” เกศินีอธิบายว่าเห็นชื่อของเขาในรายงานข่าวจึงตามมาดูให้แน่ใจ มาร์ตินยิ้มอ่อนแรงพลางกล่าว
“สมเป็นนักข่าวจริงๆ”
โดยที่เกศินีไม่ต้องเอ่ยถาม มาร์ตินก็เล่าเรื่องราวทั้งหมด เขาดำเนินการทำวีซ่าให้น้ำตาล ขายข้าวของในอพาร์ตเมนท์จนหมด พร้อมกับซื้อตั๋วเครื่องบินเตรียมตัวย้ายกลับแล้ว แต่หนึ่งอาทิตย์ก่อนออกเดินทาง เขาจับได้ว่าน้ำตาลคบซ้อน เธอมีแฟนอยู่แล้วเป็นฝรั่งประเทศแถบสแกนดิเนเวีย คบทางไกลกันมาหลายปี น้ำตาลร้องไห้บอกขอโทษและบอกว่าเธอรักเขา แต่หัวใจของเขาแตกสลายไปเสียแล้ว เขาตัดสินใจกลับเยอรมันไปคนเดียว และใช้เวลารักษาใจอยู่เกือบปี โดยยังคงทำงานเป็นนักข่าว
ตั้งแต่ต้นปีที่สถานการณ์ในประเทศไทยคุกรุ่นขึ้น ต้นสังกัดเขาอยากได้เรื่องเอ๊กซ์คลูซีฟหลายอย่าง บวกกับเขาเสนอโปรเจ็กต์หนังสือเกี่ยวกับประเทศไทยให้กับสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง ได้รับเงินล่วงหน้ามาก้อนหนึ่ง ทำให้เขาเดินทางกลับมาประเทศไทยอีกครั้ง
เมื่อถึงที่นี่ น้ำตาลก็บังเอิญติดต่อมาพอดี เธอขอให้เขายกโทษ เธอผิดไปแล้ว เธอยังรักเขาอยู่ และอยากขอกลับมาคืนดี
มาร์ตินเล่าถึงตรงนี้ สายตาเขามองต่ำลง เหมือนกำลังพูดกับตัวเอง
“ผมไม่ได้รักน้ำตาลแล้ว เธอเป็นเพียงแค่คนที่ผมเคยรัก”
เกศินีรู้สึกเหมือนตนเองตกอยู่ในภวังค์ สิ่งที่ออกมาจากปากของมาร์ติน สะท้อนความรู้สึกของเธอที่มีต่อชายหนุ่มเช่นกัน เพราะเมื่อเธอมองใบหน้าอ่อนโรยตรงหน้า แม้ใจจะไม่ปวดร้าวเหมือนเก่า แต่ก็ยังคงสัมผัสได้ถึงบาดแผลจาง ๆ ที่เคยถูกทิ้งไว้ไม่ใช่ความรู้สึกโรแมนติกอีกต่อไป หากแต่เห็นความรู้สึกเห็นใจและเข้าใจในโชคชะตาของกันและกัน
เขาเองก็เป็นเพียงคนที่เธอเคยรัก และเธอได้ก้าวผ่านมาแล้วจริง ๆ
“ส่วนสภาพผมที่เป็นอยู่อย่างที่เห็นนี้ ก็เพราะเข้าไปสังเกตการณ์แล้วโดนลูกหลง” มาร์ตินพูดพร้อมกับผายมือให้เห็นสภาพร่าง
“คุณพูดได้มากขนาดนี้ ฉันว่าคุณไม่เป็นอะไรมากแน่ค่ะ อีกไม่กี่วันก็คงออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว” ทั้งสองฝ่ายหัวเราะครืน
“ผมเล่าเรื่องของผมเสียยืดยาว แล้วคุณล่ะครับเกด เป็นอย่างไรบ้าง” มาร์ตินถาม
“ดีค่ะ ฉันก็ยังทำข่าวอยู่ที่บางกอกโกล๊บเหมือนเดิม”
เกศินีอมยิ้ม ยังไม่ทันได้เอ่ยปากเล่าอะไรไปมากกว่านี้ คุณพยาบาลก็เข้ามาพอดี เธอบอกมาร์ตินว่าขอตัว เพื่อจะได้ไม่ต้องไปทำงานสาย และจะกลับมาเยี่ยมเขาอีก หากมีอะไรเร่งด่วนให้เขาติดต่อเธอที่เบอร์มือถือได้
ประกันสุขภาพและอุบัติเหตุของมาร์ตินครอบคลุมค่าใช้จ่ายทุกอย่าง และทางโรงพยาบาลมีเจ้าหน้าที่ที่เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษ ทำให้เกศินีไม่มีอะไรที่ต้องช่วยเหลือชายหนุ่มมากนัก หลังจากที่หายดีแล้ว มาร์ตินอยู่ทำวิจัยและเขียนหนังสือจนเสร็จ โดยเกศินีได้ช่วยเหลือบ้างประปราย
วันที่เขาเดินทางกลับประเทศ เธอไปส่งเขาที่สนามบิน
เกศินีอดอมยิ้มไม่ได้ที่เห็นสาวๆ หลายคนที่เดินผ่านมาร์ตินไป หันกลับมามองและแอบกรี๊ดเขา มาร์ตินยังคงเป็นชายหนุ่มร่างสูงยาว ผมสีน้ำตาล ดวงตาสดใสที่หน้าตาดีมากคนหนึ่ง ขณะที่กำลังจะจากกัน เขาหันมายิ้ม ดวงตาเป็นประกายแวววาว "บางที... ผมอาจจะแวะมาเมืองไทยบ่อยขึ้น”
หัวใจของเกศินีวูบไหวเพียงชั่วเสี้ยววินาที เธอยังคงจดจำความรู้สึกนั้นได้ดี แต่ภาพของน้ำตาลที่นั่งเคียงข้างมาร์ติน ใบหน้าเปี่ยมสุขของทั้งคู่ รวมถึงความเจ็บปวดที่เธอต้องนอนซม ซึมเศร้า เบื่ออาหารอยู่เป็นเดือน และการที่ต้องใช้เวลาเกือบปีครึ่งเพื่อเยียวยาหัวใจตัวเองให้กลับมาเป็นปกติ ทั้งหมดนี้แล่นเข้ามาในความคิดอย่างรวดเร็วและชัดเจน
เธอสูดหายใจลึกๆ และยิ้มตอบเขาอย่างเป็นธรรมชาติ มาร์ตินยังคงเป็นคนน่าสนใจ แต่ในวันนี้ เกศินีรู้ดีว่าเขาเป็นเพียงคนที่เคยทำให้เธอผิดหวังและเป็นคนที่ไม่ชัดเจนกับความรู้สึก ความเจ็บปวดในวันนั้นสอนให้เธอตระหนักว่า ความรู้สึกวูบไหวเพียงชั่วครู่ไม่อาจนำพาไปสู่ความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนได้ เธอเข้าใจตัวเองมากขึ้น เติบโต แข็งแกร่ง และพร้อมจะก้าวเดินต่อไปบนเส้นทางของตัวเอง ด้วยหัวใจที่ปลอดโปร่งอย่างแท้จริง





ขอสงวนสิทธิ์ข้อความทั้งหมดภายในเว็บไซท์
Copyright by http://www.espressoandcigarette.com