มรสุมเดือนเมษาฯ พาฉันหลุดโลก
โดย บุหงามารีย์
เป็นปีที่แปลกกว่าทุกปี เมษายนปีนี้มีฝนเกือบทุกวัน เช้าตรู่เริ่มด้วยละอองหมาดชื้นของหยาดฝนเมื่อคืน แสงแดดฤดูร้อนแผดเผาผืนดินจนแห้งผาก พอพ้นเที่ยงกลุ่มเมฆก็ก่อตัวหนักทึบ ก่อนที่บ่ายนั้นสายฝนจะซัดสาดไม่ลืมหูลืมตา
“ตกแล้วหล่าวว ฝนหาดใหญ่เห้ออออ ตกเอาพรื่อออออ” ป้าเอียด ยืนเท้าสะเอวเงยหน้าท้าทายฟ้าฝนตะโกนเสียงดัง “คนเขาอิขายของ ไม่พักได้ขาย ชาดเห้ออออ กูท้อ” ปากโวยวายไป มือก็ดึงพลาสติกผืนใหญ่คลุมแผงผลไม้ไปพอให้พ้นจากความเปียก
“เป็นไงบ้างล่ะหนู ขายมาอาทิตย์หนึ่งแล้ว ฝนตกทุกวันเลย” ป้าเอียด เปลี่ยนโหมดมาพูดภาษากลางกับฉัน ด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรเช่นเคย
“ได้เรื่อยๆ จ๊ะป้า พอมีออเดอร์จัดเบรกไปส่งช่วงเช้ามาบ้างจ๊ะ” ฉันตอบป้าเอียดราวกำลังปลอบใจตัวเอง ด้วยทั้งใส้ขนมทั้งแป้งยังเหลือมากกว่าครึ่ง
ร้านขนมโตเกียวที่ฉันตั้งใจจะเปิดขายเป็นอาชีพหลักแทนงานประจำที่เพิ่งลาออกมาอย่างกระทันหัน แค่สัปดาห์แรกก็เจอพายุฤดูร้อนฝนกระหน่ำทุกวัน เงินลงทุนที่เจียดมาจากเงินเดือนก้อนสุดท้ายก็หมดไปกับค่าเช่า เตา แก๊ส อุปกรณ์จิปาถะ ขนาดประหยัดมากแล้วเงินสดก็แทบไม่เหลือ อย่าถามหาเงินออมเงินสำรองฉุกเฉิน 6-12 เดือนอะไรนั่นเลย ไว้ให้พวกกูรูทางการเงินมันสอนเราปาวๆ ไปเถอะ ชีวิตเดือนชนเดือนจะเหลือเงินที่ไหนมาเก็บ
ย้อนคิดกลับไปถ้าไม่ยื่นใบลาออก ชีวิตฉันคงไปจบในตะรางไม่ก็โรงพยาบาลบ้า ฝืนทนทำงานกับพวกท็อกซิกนั่นมา 7 ปีก็แทบกระอักเลือด ซ้ำซากจำเจหมดไฟไร้แพชชั่นมายาวนาน “ฉันขอลาออก เพื่อไปใช้ชีวิตอิสระ ที่ฉันเลือกเอง” เสียงประกาศกร้าวในวันนั้น ช่างผิดกับเสียงอ่อยๆ ของตัวเองในวันนี้เสียเหลือเกิน
ป้าเอียดได้แต่ยิ้มปลอบใจ ก่อนหลบหายเข้าไปหลังร้าน ปล่อยฉันมองสายฝนที่ไม่อ่อนกำลังลงเลย ท้องถนนระบายน้ำไม่ทัน เริ่มเจิ่งนอง พาเศษหญ้าเศษขยะลอยไปเป็นสาย รถราบางตา มีแค่มอเตอร์ไซค์ขนส่งหลายคันที่ยังฝืนฝ่าฝนไปส่งออเดอร์ให้ลูกค้า
ชีวิตคนเราเกิดมาเพื่อใช้แรงงานทั้งกายทั้งใจไล่ล่าแลกเศษเงินเพื่อต่อลมหายใจแล้วเฝ้ารอวันตายแค่นั้นหรือ ฉันเองที่ฝืนทำงานประจำไป ทั้งๆ ที่ใจอยากลาออกมาตั้งนาน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมความพร้อม เมื่อความอดทนมันขาดผึง บทจะลาออกก็ออกมาเสียดื้อๆ มาเป็นแม่ค้าขนมโตเกียวอยู่นี่ไงล่ะ
เพ้อ
“จะกลับแล้วเหรอ ค่อยกลับตอนหัวรุ่งก็ได้นี่ นอนกอดกันต่ออีกหน่อยไม่ได้เหรอ”
“ต้องกลับแล้วล่ะ คืนนี้ค้างไม่ได้น่ะ”
เขาไม่มองหน้าฉันด้วยซ้ำตอนกดโอนจ่ายค่าตัว ฉันไม่ได้เป็นกะหรี่ ไม่ได้ขายบริการทางเพศ เมื่อก่อนการนัดเจอเพื่อนชายหลากหลายรูปแบบ เฟรนด์วิธเบเนฟิตบ้าง วันไนท์แสตนด์บ้าง กิ๊กบ้าง ฉันไม่เคยเสนอเพื่อรับตังค์สักบาท แต่พอตกงานนานๆ เข้า จะทำไงได้ล่ะ ก็ถือว่าใช้ความสุขแลกเงินไปเลยแล้วกัน
นอกจากตกงานแล้ว ฉันก็เคยทำชีวิตแต่งงานพังพินาศเมื่อ 5 ปีก่อน อารมณ์ล้วนๆ เมื่อความอดทนมันขาดผึง บทจะหย่าก็หย่าเสียดื้อๆ มาเป็นแม่หม้ายอยู่นี่ไงล่ะ
เขา - โปรแกรมเมอร์ อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี เราพบกันเมื่อ 2 ปีก่อนผ่านแอพหาคู่ จากระยะทางไม่ไกลกันมาก ฉันชวนเขามาที่ห้องครั้งแรกเคมีตรงกัน คุยรู้เรื่อง เข้าขากันดี เรานัดเจอกันเรื่อยๆ ตามเวลาว่างจะตรงกัน ฉันเองไม่มีปัญหาหรอก ติดที่เขานั่นล่ะที่มีแฟนอยู่แล้วแต่อยู่ต่างจังหวัด
ฉันเข้าใจขอบเขตการคบหาลักษณะนี้ดี อย่าเอาใจลงไปเล่นเอย อย่าพยายามเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเอย อย่าเปิดเผยตัวต่อสาธารณะเอย ไว้ให้พวกกูรูทางความสัมพันธ์มันสอนเราปาวๆ ไปเถอะ ชีวิตพวกซูเปอร์เซ็นซิทีฟจะเอาความเข้มแข็งที่ไหนมาห้ามใจไม่ให้อ่อนไหว
หลังหย่าร้างฉันไม่อาจคาดหวังว่าตัวเองจะมีความรักที่ดีๆ ได้ ไม่เชื่อว่าตัวเองมีคุณค่าเพียงพอที่จะถูกรัก เทิดทูนเป็นแม่ของลูก ความรู้สึกเหล่านี้เป็นร่องรอยความทรงจำและบาดแผลขนาดใหญ่ในหัวใจเสมอมา ฉันใช้การนัดเจอเพื่อสร้างความรู้สึกดีๆ ให้กัน เป็นพื้นที่สบายใจไม่เรียกร้องไม่ครอบครอง แลกเปลี่ยนความอบอุ่นของร่างกาย หากแต่ภายในใจฉันเองกลับยิ่งเป็นหลุมลึกและไม่มีวันถมเติมได้เต็ม
“ช่วงสัปดาห์หน้าแฟนผมจะมาสัมมนาแถวนี้ เราห่างๆ กันไปสักพักนะ”
เขาบอกฉัน ตอนกอดลา
หาย
เขาหายไปพร้อมกลิ่นฝนยามดึกเดือนเมษาฯ เขาบอกว่าห่างๆ กันไปสักพัก แต่ตอนนี้ผ่านไป 3 เดือนแล้ว เขายังไม่ติดต่อกลับมาเลย ช่องทางออนไลน์ไม่ได้บล็อกแต่แค่ไม่ทักทายพูดคุยหรือส่งข่าว ฉันไม่ได้ส่งข้อความใดๆ เช่นกัน บางครั้งการเงียบหายไปอาจเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุด
ฉันเปิดร้านขายขนมโตเกียวมาสามเดือนกว่าแล้ว ยอดขายดีขึ้น ลูกค้าประจำมากขึ้นเรื่อยๆ การเป็นแม่ค้าก็ดีนะ มีเงินสดหมุนเวียนทุกวันไม่ต้องรอชักหน้าชักหลังไปแต่ละเดือนเหมือนสมัยทำงานประจำ งานค้าขายอยู่ตัวพอเลี้ยงชีพได้ ฉันพยายามเก็บออมเงินให้ได้ตามที่กูรูการเงินคอยบอกคอยสอน
แต่ด้านความสัมพันธ์นั่นแสนเปลี่ยวเหงา เขาคงหายไปทำหน้าที่แฟนหนุ่มผู้แสนดี บางทีเขาอาจกำลังเตรียมตัวแต่งงาน ถ้าอย่างนั้นเขาจะส่งการ์ดเชิญให้ฉันไหมนะ จะบ้าเหรอ เราไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย
ใส่ซอง
เมื่อ 2 ปีที่แล้วฉันยังได้ไปร่วมงานแต่งงานของผัวเก่าอยู่เลย ฉันน่าจะเป็นผู้หญิงไม่กี่คนในโลกที่ได้รับการ์ดเชิญจากคู่บ่าวสาว ที่เจ้าบ่าวคือผัวเก่ากับเจ้าสาวของเขา เชิญฉันในฐานะเมียเก่าและเพื่อนสาวคนที่เจ้าบ่าวยังรักมากอยู่ บางทีฉันเองก็สับสนกับความเป็นตัวเอง
งานถูกจัดในโรงแรมกลางเมืองหาดใหญ่แบบโต๊ะจีน ที่เราจะถูกเสิร์ฟอาหารมาตามสเต็ป นั่งร่วมโต๊ะกับคนที่ไม่ได้สนิท ดูพรีเซนเทชั่น บ่าวสาวตัดเค้ก เปิดแชมเปญ ฉันไหว้สวัสดีอดีตแม่ผัวตอนเข้าไปถ่ายรูปกับแบ็กดรอปสีฟ้าขาวฟูฟ่อง ฉันยังแซวเจ้าบ่าวเลยว่าสมัยเราแต่งกันจัดงานตรงสนามฟุตบอลโรงเรียนในหมู่บ้าน จ้างนักดนตรีเต็มวงยังนึกขำที่ฉันเต้นจนรองเท้าส้นสูงหัก แถมเมาจนรั่ว
เจ้าสาวของผัวเก่าหัวเราะคิกคักเลยทีเดียว “ฉันไม่ดื่มค่ะ” เธอบอกแบบนั้น น้ำเสียงหวานยิ้มสดใส คืนนั้นมีอาฟเตอร์ปาร์ตี้ เจ้าสาวก็ยังคีพลุคไว้ได้ สนุกสนานพอกรุบกริบน่ารัก แขกรับเชิญในฐานะเมียเก่าเต้นจนส้นรองเท้าหักอีกคู่ ชนแก้วกับคนในงานไปทั่ว เมาแล้วโคตรเรื้อน
แต่ถึงเมาแค่ไหนฉันก็ไม่ลืมให้ซอง ปกติฉันไปงานแต่งงานก็ต้องเอาเงินใส่ซอง ฉันรู้ผัวเก่าไม่ได้ต้องการเงินจากฉัน ฉันเขียนบทกวีความยาว 44 หน้ากระดาษ บรรยายถึงมิตรภาพแสนประหลาดระหว่างเราพร้อมคำอวยพรถึงชีวิตสมรสที่มีความสุขเขียนด้วยลายมือบรรจง กลั่นความรู้สึกเป็นงานเขียนที่ตั้งใจอย่างมาก
ฉันกอดลาคนทั้งคู่ ผัวเก่าของฉันและเจ้าสาวของเขา ตอนเดินออกจากงานนั่งแท็กซี่กลับบ้าน
เขียน
ฉันลาออกจากงานประจำมาเขียนหนังสือ มุ่งหวังสร้างงานวรรณกรรมให้เลี้ยงชีพได้ แม้รู้ดีว่าฝีมือการเขียนยังเหลือรับประทาน ต้องเปิดร้านขายโตเกียวบังหน้าให้มีเงินสดเข้ามาเป็นปัจจัยลดความกังวลยามที่งานเขียนยังขายไม่ได้ ไม่ผ่านการพิจารณา ถูกขว้างทิ้งลงตะกร้า การเป็นนักเขียนไส้แห้งช่างน่าหวาดกลัว
ฉันตั้งใจใช้ร่างของแม่ค้าหาเลี้ยงร่างของนักเขียน ไล่ล่าความฝันอย่างบ้าคลั่ง วิ่งวนเวียนอยู่ในความนึกคิด พายุของเรื่องเล่าที่โหมกระพืออยู่ภายใน ชีวิตความเป็นจริงกับช่องว่างแห่งจินตนาการ ช่างแตกต่างเสียเหลือเกิน
หลายคำถามไม่เคยมีคำตอบแน่ชัด ทั้งชีวิต การงาน ความใฝ่ฝัน กระทั่ง รูปแบบความสัมพันธ์พิลึกพิลั่น เพียงการครุ่นคิดและยังลงมือเขียน ฉันอาจพบคำตอบในสักวัน
จดหมาย
สิ่งที่แนบมาด้วยในซองจดหมาย คือ รูปเด็กน้อยฝาแฝดชายหญิงตัวอ้วนกลมตาแป๋วแก้มป่อง ลายมือบรรจงเป็นระเบียบสไตล์คนเจนเอ็กซ์ของผัวเก่าเขียนข้อความประโยคสั้นๆ “ส่งรูปหลานป้ามาให้เป็นที่ระลึก ไว้โตอีกหน่อยจะพาไปเที่ยวเล่นด้วยนะ”
ในที่สุดสิ่งที่เขาปรารถนาก็สมความประสงค์ เขาอยากมีลูกมาโดยตลอด ตั้งใจแต่งงานกับฉันก็เพื่อมีทายาทไว้สืบสกุล เขาคิดไปว่าฉันเองก็คงอยากมีลูกเช่นเดียวกัน ผู้หญิงจะแต่งงานไปทำไมถ้าไม่อยากเป็นแม่ของใครสักคนสองคนหรือสามสี่คนก็ยังดี ฉันไม่เคยคิดไกลไปถึงขั้นนั้น ฉันแต่งงานกับเขาก็ด้วยความรักที่คับแน่นอยู่เต็มหัวใจ เพียงต้องการใครสักคนเคียงข้างไปทุกคืนวัน ฉันไม่อยากเป็นแม่คน จะสร้างอีกชีวิตเพิ่มขึ้นมาผจญเวรผจญกรรมกันไปทำไม วัฏสงสารควรจบสิ้นลงที่รุ่นของฉัน
ฉันมีมดลูก มีรังไข่ มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์พร้อม สะโพกผายและหน้าอกอวบอิ่ม นี่แหละแม่พันธุ์ชั้นเยี่ยม คุณสมบัติผ่านทุกข้อทำให้เขาเอ่ยปากคบหาและขอแต่งงาน เพศสัมพันธ์ของเราเข้ากันได้อย่างลงตัว ฉันปรนนิบัติต่อสามีไม่ขาดตกบกพร่องทั้งปริมาณและคุณภาพ ยิ่งทำให้เขาหวังไปถึงการปฏิสนธิที่เต็มไปด้วยโอกาสและความเป็นไปได้สูงลิบ ในขณะที่ฉันเองคุมกำเนิดสุดฤทธิ์อย่างกับจะเข่นฆ่าสเปิร์มให้สิ้นซากราวกำลังล้างเผ่าพันธุ์
ชีวิตสมรสกลายเป็นสังเวียนต่อสู้ระหว่างการก่อกำเนิดและทำให้ดับสลาย ยื้อยุดกันอยู่นานหลายปี จนเมื่อทุกอย่างจบลง ชีวิตคู่แตกตัวออกเป็นชีวิตเดี่ยว แยกย้ายกันไปมีชีวิตของตัวเอง ปรับเปลี่ยนสถานะมาเป็นเพื่อนที่ปรารถนาดีต่อกัน เขามองหาแม่พันธุ์คนใหม่ ในขณะที่ฉันแค่ค้นหา ‘สักคนที่ใช่’ ไว้โยกสะโพกไปด้วยกัน
กลับ
ฉันอาจเป็นผู้หญิงคนเดียวในโลกนี้ที่ได้รับการ์ดเชิญแต่งงานจากเพื่อนชายคู่นอน หลังหายไปพร้อมสายฝนคืนนั้นเป็นเวลา 6 เดือน เขาปรากฏกายอีกครั้งตรงหน้าร้านขนมโตเกียว ยื่นการ์ดสีชมพูในมือ เขามาคนเดียวแต่รูปเจ้าสาวหน้าตาจิ้มลิ้มที่ยิ้มจนตาหยีดูไปดูมาก็ช่างเหมาะสมกับเขาเสียจริง
“ไปร่วมงานให้ได้นะครับ คุณคือเพื่อนที่ผมรักมาก ยังไงเจอกันนะ”
ตลอดบ่ายนั้นฉันแทบไม่มีสมาธิทำขนมโตเกียว ลูกค้าทั้งขาประจำขาจรเข้ามาอุดหนุนไม่ขาดสาย แต่ฉันก็ยังมีเวลาสลับมือมาจับปากกาเขียนบทกวีในสมุดบันทึก
ฉันเองก็ไม่รู้ว่าที่สุดแล้วบทกวีชิ้นนี้จะมีความยาวกี่หน้ากระดาษ แต่ฉันจะตั้งใจเขียนมันอย่างดีที่สุด ฉันจะเตรียมรองเท้าส้นสูงสีแดงก่ำ เดรสเริ่ดๆ ลิปสติกสีฉ่ำ รับประกันความเมา ด้วยรักและส้นรองเท้า แน่นอน
|