รักของฉันคือปล่อยให้เขาโบยบิน
โดย ทิพากร
“แพง แกทำบุญด้วยอะไรวะถึงได้พี่บีมเป็นแฟน ดูสิยังกะพระเอกเกาหลี ตี๋ ขาว สูง เดือนคณะ ร้องเพลงก็เพราะ เล่นกีต้าร์ก็เก่ง นิสัยก็ดี ดูสิดู ถือร่มมายืนรอ กลัวฝนมาโดนน้องแพง โอ๊ย อิจฉาาาา” นุช เพื่อนสนิทเอกภาษาญี่ปุ่น ลากเสียงยาว พร้อมมองพี่บีม รุ่นพี่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ที่กำลังยืนอยู่รออยู่หน้าอาคารเรียนคณะอักษรศาสตร์
“บ้า ไม่ใช่แฟน” ฉันปฏิเสธ
“แกสิบ้า แหกตาดูความหล่อให้ดีๆ หล่อลากไส้ หล่อทั่วราชอาณาจักร หล่อขนาดนี้ ตามจีบแกขนาดนี้ แกไม่เอาเป็นแฟน แกบ้าแน่ๆ” นุชถอนหายใจ “แล้วที่เรียกว่าเขาว่าจิ้งจกเผือกเนี่ย เลิกได้แล้ว”
“เคยเรียกแค่ครั้งเดียวเอง จากนั้นเป็นเขาต่างหากที่ไปบอกใครต่อใครน่ะ”
ฉันไม่ตั้งใจเรียกเขาแบบนั้นหรอก เพียงรำคาญเพื่อนที่เอาแต่พูดถึงพี่บีมแล้วแย่งกันเอาเป็นเอาตาย เลยโพล่งพูดออกมาโดยไม่คิดว่าเขาจะแอบฟังอยู่
“แล้วนี่แกไปไหน” นุชดึงแขนฉันที่เดินไปอีกทาง
“ไปกินข้าวกับพวกแกไง รีบไปเถอะ ป่านนี้เอรอแย่แล้ว”
เอ เพื่อนอักษรเอกไทย ดีกรีดาวมหาวิทยาลัย เธอบอกฉันว่าวันนี้จะจองโต๊ะที่โรงอาหารไว้ให้
“พี่บีม” ไม่ทันไรนุชเรียกพี่บีมเสียงดัง “สวัสดีค่ะ”
เขาหันมอง ยิ้มให้ ก่อนเดินมาหา
“แก ฉันเดินไปหาเอก่อนนะ แกก็ค่อยๆ ตามมาแล้วกัน” นุชยิ้มแล้วบอก “ขอร่มแกหน่อย”
ฉันยังไม่ทันพูดหรือหยิบให้ เธอก็คว้าจากกระเป๋าถือ แล้วเดินทิ้งฉันไว้กับพระเอกเกาหลีของใครหลายคน
“เรานัดกินข้าวเที่ยงวันนี้ จำไม่ได้เหรอ ที่แลกกับคูปองกินเบียร์ฟรีไง” พี่บีมบอก คว้ากระเป๋าถือแล้วกางร่มให้ เม็ดฝนกระทบบนบ่าขวาเขา เปียกเป็นวง ดีที่ตกเบาแล้ว ฉันผลักด้ามจับร่มไปทางเขาเพิ่ม แต่องศาของร่มก็ค่อยๆ เอียงมาหาฉันเหมือนเดิม
“จำได้ แต่ไม่คิดว่าจะมารับ”
คราวก่อนเราแข่งดื่มเบียร์กันที่ร้านเหล้าแถวมหาวิทยาลัย เขาชนะและได้คูปองมา ฉันเอาไปคืน แต่เขาไม่ยอมรับคืน และบอกว่าถ้าเกรงใจก็กินข้าวเที่ยงด้วยกันสักมื้อ พอฉันปฏิเสธ นุชกับเอก็รีบชวนกินข้าวด้วยกัน ฉันลังเล แต่คิดว่าหากมีเพื่อนอยู่ด้วยก็ไม่เป็นไร สุดท้ายเลยยอมตกลง
เสียงฝนกระทบร่มเบาๆ ตลอดทางที่เราค่อยๆ เดินบนพื้นชื้นแฉะ ฉันได้ยินเสียงใครหลายคนเรียกชื่อเขาเป็นระยะ “พี่บีม” ก่อนกระซิบกระซาบต่อว่า “ยัยแว่นนั่นมันใครวะ”
“คนชอบพี่เยอะมากเลยนะ”
“แล้วแพงล่ะ” เขาถามกลับทันที ฉันกำลังตอบ แต่เขาหันมาพูด
“แต่พี่ชอบ” เขาก้มหน้าเดินต่อ ใบหน้าขาวซีดกลับกลายเป็นสีแดงระเรื่อ
“พี่ไม่ได้ชอบหรอก พี่แค่อยากเอาชนะ พี่คงเห็นแพงแปลกที่เรียกพี่ว่าจิ้งจกเผือก มันก็แค่นั้น”
เขาหยุดเดิน ฉันเลยหยุดตามแล้วหันมองเขา เขายังคงก้มหน้า “จำพี่ไม่ได้จริงๆ เหรอ”
“เราเคยเจอกันก่อนหน้านี้ด้วยเหรอ”
ฉันหรี่ตามอง เขาเงยหน้าแล้วยกมือขวาทำท่ากดชัตเตอร์กล้อง และนั่นทำให้ภาพความทรงจำสมัยมัธยมผุดขึ้นมา
“แก รูปแกอย่างเยอะอ่ะ นี่ดีนะที่ฉันอยู่กับแกเยอะ เลยได้รูปที่อยู่ด้วยกัน” บุ๋ม เพื่อนสนิทสมัยมัธยมพาฉันมาดูบอร์ดขายรูป ตากล้องประจำโรงเรียนจะตามถ่ายคนในโรงเรียน แล้วนำรูปมาขายรูปละ ๕ บาท นำเงินเข้าโรงเรียน
บุ๋มจดรหัสที่อยู่บนรูป พร้อมจ่ายเงินให้ตากล้อง ฉันพยายามนึกภาพใบหน้าของเขาแต่ช่างเลือนราง แต่จำได้แม่นว่าเขาขาวและอ้วนมาก และผ่านไปแค่ปีเดียว รูปที่มีฉันก็เริ่มน้อยลง ก่อนรู้ว่าตากล้องคนก่อนย้ายโรงเรียนไปแล้ว
“พี่ตากล้อง” ฉันถาม เขายิ้มกว้างแทนคำตอบ
“พอรู้ว่าแพงมาเรียนอักษรที่นี่ พี่เลยแวะมาที่นี่บ่อยๆ พี่ไม่ได้บังเอิญได้ยินแพงพูดถึงพี่ แต่พี่แอบวนเวียนแถวแพงตลอด แต่ไม่รู้จะเข้าไปทักยังไง คิดดูสิว่าพี่อยู่วิศวะ พี่จะมาทำไรที่อักษร แพงเคยเห็นพี่มองสาวอักษรคนไหนสักคนไหมล่ะ นอกจากแพง” คราวนี้แก้มเขาที่แดงระเรื่อก็ยิ่งแดงเหมือนมะเขือเทศสุก “พี่ไม่ได้เริ่มชอบแพงเพราะแพงเรียกพี่ว่าจิ้งจกเผือก แพงคงจำไม่ได้แล้ว สมัยที่แพงอยู่มอสี่ พี่อยู่มอห้า มีวันนึงที่พี่ลืมบัตรโรงอาหาร แล้วโคตรหิวเลย แล้วต่อแถวตั้งนานจนถึงคิวแล้วไง แต่ไม่มีบัตรจ่าย ถ้าพี่ออกจากแถว ไปซื้อบัตรใหม่ กว่าจะกลับมาต่อแถวอีก โรงอาหารคนอย่างเยอะ พี่หิวเป็นลมตายก่อน แล้วแพงจำได้ไหมว่าตอนนั้นแพงต่อข้างหลังพี่พอดี”
ภาพความทรงจำกลับมาชัดขึ้น ฉันจำได้ว่าฉันยื่นบัตรโรงอาหารให้คนข้างหน้าที่กำลังลนลานหาบัตรตัวเองไม่เจอ
“แพงบอกพี่ว่าแพงมีบัตรสองใบ เลยแบ่งให้พี่ใบนึง พี่บอกว่าจะแค่ขอยืม แต่แพงกลับบอกว่าไม่ต้องคืน พี่บอกว่าจะให้เงินค่าบัตร แพงก็บอกว่าไม่ต้อง แพงยิ้มให้พี่แล้วบอกไม่เป็นไร ไม่คิดเงิน แล้วพี่ก็ได้กินข้าว ตอนพี่นั่งกินพี่สงสัยตลอดว่าถ้าไม่ใช่แพง เป็นคนอื่นมาอยู่หลังพี่ พี่คิดภาพไม่ออกจริงๆ ว่าใครจะยอมให้บัตรฟรีๆ กับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แล้วจากนั้น พี่ก็ตามถ่ายแต่แพงโดยไม่ได้ตั้งใจ สายตาพี่หยุดที่แพงตลอด”
ฉันไม่รู้ควรพูดอะไร ดีที่เขาเป็นฝ่ายพูดต่อ “แต่พี่ไม่เคยกล้าบอกชอบแพงเลย พี่รู้มาว่าแม่แพงไม่อยากให้แพงคบใครตอนเรียนหนังสือ ถึงขนาดจับแพงตัดผมสั้นเหมือนเด็กผู้ชาย”
“พี่รู้ได้ไง”
“พวกมอหกใครๆ ก็พูดถึงแพง ว่าแพงไม่รับรักพี่ประธานนักเรียนเพราะแม่แพงไม่ให้คบใคร”
ฉันไม่อยากเสียเวลาอธิบายเขาว่าเหตุผลที่แท้จริงคือฉันไม่ได้พิศวาสพี่ประธานนักเรียนเลยต่างหาก
“ที่สำคัญ พี่รู้มาว่าแพงชอบคนผอม ร้องเพลงเพราะ เล่นกีต้าร์เป็น แล้วมันตรงข้ามกับพี่ตอนนั้นทุกอย่าง พี่ถ่ายรูปเป็นอย่างเดียว”
“เฮ้ย ทำไมรู้” ฉันตกใจว่าเขาได้ข้อมูลนี้ไปได้อย่างไร ฉันจำได้ว่าตอนเข้าแถว ฉันกับบุ๋มขี้เกียจฟังผู้อำนวยการบ่น เลยจับเข่าคุยกัน บุ๋มชอบคุยถึงเรื่องผู้ชายในโรงเรียน และถามฉันว่าชอบผู้ชายแบบไหน ฉันตอบแบบไม่ได้คิดอะไร “ผอม ร้องเพลงเพราะ เล่นกีต้าร์เป็น” ก่อนที่ฉันจะบอกบุ๋มใหม่ว่า “ล้อเล่น ฉันยังไม่เคยคิด” แต่ไม่นึกเลยว่าประโยคหน้าจะได้ยินเข้าหูคนอื่นเรียบร้อยแล้ว
“ตอนที่พี่ย้ายโรงเรียน พี่ไม่รู้หรอกว่าจะได้เจอแพงอีกไหม แต่อย่างน้อยถ้าเกิดได้เจอกันอีกสักครั้ง แพงจะมองเห็นพี่บ้าง ผอม ร้องเพลงเพราะ เล่นกีต้าร์เป็น พี่ท่องแบบนี้ตลอด และลงมือทำ จนเป็นแบบนี้ ผอม ร้องเพลงเพราะ เล่นกีต้าร์เป็น” เขาพูดหลายครั้ง จนฉันไม่กล้าบอกความจริงว่าคำพูดเหล่านั้นก็แค่คำพูดเรื่อยเปื่อย
“แพงรู้ว่าพี่ทำถึงขนาดนี้แล้ว แพงจะไม่รู้สึกอะไรกับพี่เลยจริงๆ เหรอ” เขาโน้มตัวมาใกล้ใบหน้าฉัน มือหนึ่งเขายังถือร่ม มืออีกข้างจับกรอบแว่นฉันเลื่อนลงมาที่กลางสันดั้ง จ้องตาฉันไม่กี่วินาทีแต่เหมือนนานชั่วกัปชั่วกัลป์
เสียงฝนกระทบร่มคราวนี้ ฉันได้ยินเสียงชัดเจนกว่าตอนแรก ก่อนรู้ตัวว่าฝนหยุดตกไปแล้ว แต่เป็นเสียงหัวใจตัวเองต่างหาก
นับจากวันนั้น ฉันเริ่มเปิดใจกับพี่บีมมากขึ้นเรื่อยๆ อยู่ในสถานะคุยกันมาได้สี่ปีตั้งแต่ฉันเป็นนักศึกษาปีหนึ่ง แต่เราไม่เคยตกลงเป็นแฟนกันเลยสักครั้ง แต่ถึงกระนั้นพอพี่บีมเอ่ยปากไปเจอพ่อเขาที่บ้าน ฉันก็ตอบตกลงทันที
“คิดยังไงจะเป็นครู ชั่วโมงนึงได้เท่าไหร่เชียว” พ่อของพี่บีมถามขณะนั่งกินข้าวเย็นที่บ้าน จริงๆ ควรเรียกว่าคฤหาสน์มากกว่า
พ่อของเขาขายม้า - - - ม้าที่เป็นสัตว์ นับร้อยตัว มีสนามกว้างให้ม้าออกกำลังกายทุกวัน มีคนดูแลม้าที่จ้างมาจากเมืองนอก ดูแลเรื่องโภชนาการไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
“ไม่เท่าไหร่ค่ะ น่าจะได้แค่ขนม้าสักเส้น” ฉันตอบ พ่อเขาดูเป็นคนจริงจังอย่างที่พี่บีมเตือนก่อนหน้า “ถ้าแม่ของแพงว่าดุแล้ว พ่อพี่เรียกว่ายักษ์มาเกิด” พี่บีมเตือนนักหนาว่าอย่าถือสาคำพูดพ่อ เขาเป็นคนพูดจากวนประสาทคนเก่ง อย่าไปโกรธเขาเลย ฉันเลยบอกพี่บีมว่า “เกิดมาแพงยังไม่เคยโกรธใครจริงๆ เลย” แต่พี่บีมมองฉันด้วยสายตาไม่ไว้ใจ
ฉันถามพี่บีมว่าจะให้ฉันเรียกพ่อเขาว่าอะไร พี่บีมบอกว่าเรียก “ลุงเบิ้มแล้วกัน” ลุงเบิ้มเป็นคนใหญ่โต ดูจากปริมาณม้า ราคาตัวนึงก็หลายล้านแล้ว ก็รู้ว่าใหญ่โตจริง แม้ลุงเบิ้มจะมีทรัพย์มาก มีผู้หญิงสาวๆ ตามคอนโดหลายแห่ง ตามคำบอกเล่าของพี่บีม แต่ภรรยาจริงๆ กลับไม่มีสักคน แม่ของพี่บีมคือภรรยาคนที่๒ ที่เคยแต่งงานด้วย ก่อนเลิกราแล้วย้ายไปอยู่อเมริกากับสามีใหม่หัวทอง พี่บีมเป็นลูกชายคนเดียวที่มี ลุงเบิ้มปล่อยภรรยาไปได้ แต่ปล่อยลูกไม่ได้ เชื่อว่าตัวเองดูแลเด็กดีกว่า แต่สุดท้ายก็โยนให้พี่เลี้ยงคอยดูแลตลอดเวลาแทน
“ก็ดีนะเป็นครู พอเหนื่อยสอนเด็ก ก็ให้เด็กนั่งทำแบบฝึกหัดไป งานง่ายๆ ไม่ต้องคิดไรมาก”
ฉันเริ่มสอนพิเศษตั้งแต่เป็นนักศึกษาปี ๑ ทุกครั้งฉันไม่เคยเจอเด็กซ้ำแบบ และแม้แต่เด็กคนเดียวกัน วันแรกเรียบร้อย แต่พอครั้งสอง ครั้งสาม ก็กลายร่างเป็นมารน้อย แผลงฤทธิ์วิ่งพล่านไปทั่ว ราวกับห้องเรียนคือสนามหญ้ากว้างสุดลูกหูลูกตา สุดท้ายก็ชนโต๊ะชนเก้าอี้ระเนระนาด หกล้มเข่ากระแทกพื้น ร้องไห้จ้า ปลอบนานกว่าจะหยุดร้อง เหนื่อยกว่างานสอนมอบความรู้ คือการมอบความรักให้แก่เด็กตัวแสบ - - - ใจเย็น อดทน และมีเมตตา ๓ สิ่งที่ต้องท่องทุกครั้งก่อนเจอหน้าพวกเขา
“ค่ะ สู้เลี้ยงม้าไม่ได้เลย แค่นั่งดูม้าวิ่งก็เหนื่อยแทนม้าแล้ว งานหนักกว่าครูแน่ๆ ค่ะ”
พี่บีมที่นั่งข้างๆ แอบสะกิดขาฉัน เตือนให้ฉันเลิกต่อล้อต่อเถียงพ่อเขาสักที แต่ฉันไม่เคยคิดว่านั่นคือการเถียง ฉันเรียกว่า ‘การชี้แจง’
“ผมจะเหนื่อยอะไร นี่เลี้ยงม้าก็เหมือนงานอดิเรกนี่แหละ เลี้ยงเพราะชอบม้า ไม่ทำงาน ผมก็มีมรดกเก่ากินไม่หมดอยู่แล้ว ผมเป็นลูกชายคนเดียวด้วยน่ะ ตอนพ่อแม่เสียเลยได้ทุกอย่าง ส่วนพี่สาวกับน้องสาวแต่งออกกันหมด พ่อแม่เลยไม่ได้ให้อะไร แล้วนี่พ่อแม่เรามีลูกชายบ้างไหม”
“ไม่มีค่ะ ลูกสาวหมด พี่น้องรวมหนูสี่คนค่ะ”
“ผู้หญิงสี่เลยเหรอ” ลุงเบิ้มหน้าตาตกใจ “แล้วเราเป็นคนที่เท่าไหร่”
“สองค่ะ พี่หนึ่ง น้องสอง”
“พี่สาวอายุเท่าไหร่”
“แก่กว่าสองปีค่ะ”
“ทำงานอะไร”
“เป็นหมอฟันค่ะ เพิ่งเรียนจบ”
“โอ้ เป็นถึงหมอฟัน ทำไมบีมไม่จีบหมอฟันล่ะลูก มาคบกับครูทำไม”
“พ่อเลิกพูดเถอะ ผมพาแพงกลับบ้านดีกว่า” พี่บีมบอก พร้อมจับแขนฉันจะลุกจากที่นั่ง แต่ฉันไม่ลุก
“หนูสวยค่ะ” ฉันตอบพ่อเขา ทั้งพ่อและพี่บีมมองฉันนิ่ง
“อะไรนะ” ลุงเบิ้มถามย้ำ
“ก็ที่ลุงถามว่าทำไมพี่บีมมาคบกับหนูน่ะ หนูเลยตอบให้ว่า เพราะ…หนู…สวย…ค่ะ”
ฉันตอบพร้อมสะบัดผมที่ยาวถึงกลางหลัง ลุงเบิ้มระเบิดเสียงหัวเราะ พี่บีมมองพ่อที่หัวเราะจนหน้าแดง เหมือนคุณลุงซานต้าที่โดนหิมะกัดผิวแก้ม สีผิวของสองพ่อลูกเหมือนกันไม่มีผิด ฉันเคยเรียกพี่บีมว่าจิ้งจกเผือกโดยไม่ตั้งใจ แต่เขากลับชอบและบอกใครต่อใครว่าเขาคือจิ้งจกเผือก และถ้าพี่บีมคือจิ้งจกเผือก ลุงเบิ้มก็คือตุ๊กแกเผือก
“นางหนูนี่ตลกดีนะ เออคุยสนุกดี บีมน่าพามาเจอพ่อบ่อยๆ พ่อจะได้ไม่เหงา”
“ครับ” พี่บีมตอบและยิ้มให้ฉัน
“แล้วพอแพงเรียนจบจะแต่งงานกันเลยไหมล่ะ” ลุงเบิ้มเปิดประเด็นใหม่
“ดูกันยาวๆ ไปก่อนค่ะ” ฉันตอบ
“อ้าว แล้วจะดูกันยังไง บีมมันจะบินไปอยู่กับแม่มันอีกไม่ถึงเดือนนี้แล้ว เราจะไปเรียนต่อที่อเมริกาด้วยกันเหรอ” คำถามของลุงเบิ้มชวนสับสนไปหมด ฉันมองหน้าพี่บีมที่กำลังจ้องพ่อตาไม่กะพริบ
“ผมบอกพ่อแล้วไงว่าเดี๋ยวผมจะพูดกับแพงเอง”
“จนป่านนี้แกยังไม่บอกอีก จะให้ถึงวันเดินทางแล้วค่อยบอกหรือไง”
“แพงว่าแพงขอตัวกลับก่อนดีกว่า” ฉันยกมือไหว้ลุงเบิ้มแล้วเดินออกไป พี่บีมเดินตาม พาฉันขึ้นรถส่งบ้าน เราเงียบอยู่นาน ก่อนเขาพูดขึ้นว่า “พี่จะเรียนต่อโทที่นั่น พี่อยากกลับไปอยู่กับแม่มาตั้งนานแล้ว นี่แพงก็จะจบแล้วหนิ ไปด้วยกันไหม แพงอยากเรียนอะไร เดี๋ยวพี่จัดการให้”
“เรียนจบแล้วยังไงต่อ อยู่เมกาต่อทั้งชีวิตน่ะเหรอ” ฉันถาม
“ใช่ ที่นั่นดีกว่าไทยเยอะเลยนะแพง คนละโลกกับที่นี่เลย พี่เคยไปหาแม่ จำตอนที่พี่ย้ายออกจากโรงเรียนได้ไหม ตอนนั้นพี่ใจร้อนทะเลาะกับพ่อหนัก ดูปากพ่อพี่สิ แพงเก่งคุยกับพ่อพี่ได้ แต่พี่ตอนนั้นคุยคำก็ทะเลาะกันทุกคำ พี่เลยหนีไปอยู่กับแม่ปีนึงแล้วพ่อตามกลับบ้าน บอกว่าเรียนจบปอตรีที่ไทยให้ได้ก่อน ถึงจะให้ย้ายไปอยู่กับแม่ แล้วพี่ดีใจนะที่ตอนนั้นสอบตรงติดวิศวะแล้วมาเจอแพง”
“พี่ไปเถอะ แพงไม่ไป แพงไม่เคยคิดไปอยู่ต่างประเทศเลย”
“งั้นพี่เรียนโทจบ พี่จะกลับไทย แค่สองปีเอง ระหว่างนั้นเราก็คอลกันได้”
“แล้วความฝันของพี่ล่ะ พี่จะทิ้งไปดื้อๆ เหรอ” ฉันถอนหายใจ เสียงแอร์ในรถยังดังกว่าเสียงลมหายใจของเราสองคน
“พี่ว่าแล้วว่าแพงต้องพูดแบบนี้ พี่เลยไม่กล้าบอกแพงไง” เขากลืนน้ำลาย ก่อนเขาเริ่มพูดต่อว่า
“แล้วถ้าวันหนึ่งพี่กลับมา…”
“พี่ไม่ต้องสัญญาอะไรกับแพงเลย” ฉันพูดพลางวางมือลงบนมือเขา “แพงขอแค่ให้พี่ไปด้วยหัวใจที่เบาที่สุด อย่ารู้สึกผิดกับอะไรทั้งนั้น”
เขากำมือฉันไว้แน่นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อย ๆ คลายมันลง
เราจากกันโดยไม่มีคำว่า “เลิก” หรือ “ลาก่อน” มีเพียงรอยยิ้มบาง ๆ กับประโยคสุดท้ายที่ฉันพูดต่อหน้าเขาในวันนั้น
“แพงไม่ได้รักพี่น้อยลงเลยนะ แค่รักในแบบที่…ไม่ต้องอยู่ด้วยกันก็ได้แล้ว”

นับตั้งแต่วันที่พี่บีมบินจากไป แม้เขาจะรู้ดีว่าฉันได้ปล่อยเขาไปแล้วอย่างเต็มใจ แต่เขาก็ยังโทรหาทุกวัน เล่าให้ฟังว่าโลกทางนั้นดีแค่ไหน อากาศสดชื่น ผู้คนเปิดกว้าง และโอกาสมีอยู่ทั่วทุกแห่ง
แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหน มันก็ไม่อาจเปลี่ยนใจฉันได้
เมื่อเขาเริ่มเข้าเรียนต่อ ปริญญาโทก็พาเขาเข้าสู่ความเครียดและตารางสอบที่แน่นขนัด ส่วนฉันเองก็เริ่มต้นชีวิตครูเต็มตัว วัน ๆ หมดไปกับการสอน ตรวจการบ้าน เตรียมบทเรียน วางแผนสัปดาห์ใหม่
บทสนทนาของเราค่อย ๆ ลดน้อยลง
จากที่เคยโทรหากันทุกวัน
กลายเป็นส่งข้อความกันสัปดาห์ละครั้ง
จากสัปดาห์ละครั้งกลายเป็นเดือนละครั้ง
และสุดท้าย…ก็เหลือเพียงปีละครั้ง
ข้อความสุดท้ายที่ฉันส่งถึงเขา คือข้อความอวยพรวันเกิดให้เขา
สุขสันต์วันเกิดนะคะพี่บีม อยู่ที่โน่นหวังว่าสบายดีและมีความสุขเช่นทุกวัน ขอให้พี่บีมได้ใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการ แพงจะติดตามชีวิตพี่บีมผ่านเฟสบุ๊ก มีเวลาก็ลงบ่อยๆ ด้วยล่ะ แพงเอาใจช่วยทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน และเรื่องความรักเสมอนะ แพงมีความสุขที่เห็นพี่มีความสุข แพงก็อยากให้พี่เอาใจช่วยแพงด้วยเช่นกัน แพงก็พยายามใช้ชีวิตในแบบที่แพงเลือก
สำหรับแพง เราไม่ต้องอยู่ด้วยกัน หรือต้องมาคุยกัน พี่จะเป็นคนในความทรงจำ คนที่แพงนึกถึงเวลาต่อคิวซื้ออาหาร เวลาฝนตก เวลาได้ยินเสียงกีต้าร์ เวลาเห็นฝูงม้า หรือกระทั่งเวลาเจอจิ้งจกเกาะข้างกำแพง
เราจะเป็นคนในความทรงจำที่สวยงามตลอดไป และแพงเชื่อว่าจะไม่มีอะไรทำลายความรู้สึกที่เราเคยมีให้กันในช่วงเวลานั้นได้
ขอบคุณที่เข้าใจนะพี่บีม ขอให้เป็นวันเกิดที่ดีที่สุดนะคะ
หลังจากนั้น ฉันกับเขายังเป็นเพื่อนกันในเฟสบุ๊ก มีกดไลก์หรือคอมเม้นท์ให้กันบ้าง ฉันเห็นเขาเรียนจบปริญญาโท ได้อยู่กับแม่อย่างที่เขาเฝ้าฝันมาตั้งแต่เด็ก ได้เดินทางทั่วอเมริกา ฉันเห็นเขาในชุดเจ้าบ่าว แต่เจ้าสาวเป็นสาวหมวยอีกคนที่ไม่ใช่ฉัน ฉันยิ้มให้เขาผ่านรูปถ่าย ในที่สุดเขาก็เจอคนที่ใช่ และผ่านไปอีกแค่ปีเดียวพวกเขาก็มีลูกสาวหน้าตาจิ้มลิ้ม ผิวขาวใสเหมือนพี่บีม - - - จิ้งจกเผือก ไม่มีผิด รูปครอบครัวของพวกเขาช่างเปล่งประกายเหลือเกิน
ฉันว่าคุ้มแล้วล่ะที่ฉันปล่อยเขาไป
เพราะรักของฉัน ไม่ใช่การรั้งเขาไว้
แต่คือการยืนดูเขาโบยบิน ด้วยรอยยิ้ม… และหัวใจที่ยอมรับ
|